ในปี 2024 คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินการมาถึงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) หรือที่คุ้นหูกันว่า ‘เอไอ’
เทคโนโลยีดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถคิดและทำงานแทนมนุษย์ผ่านการเรียนรู้ของจักรกล (Machine Learning) โดยอาศัยความรู้ทางคณิตศาสตร์และสถิติมาประยุกต์ใช้ ผ่านการป้อนชุดข้อมูลเพื่อให้จักรกลได้เรียนรู้ และสามารถทำนายพฤติกรรมต่อไปในอนาคต
ก่อนหน้านี้ หลายบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลก นำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามาเสริมทัพกับอุปกรณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น Samsung บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากประเทศเกาหลีใต้ กับการเปิดตัว Galaxy S24 Ultra เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยมีฟีเจอร์ AI หลายตัวเข้ามาร่วมสร้างประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เช่น การใช้ AI เพื่อแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสื่อสารได้ง่ายขึ้น ขณะที่โทรศัพท์มือถือสัญชาติจีนอย่าง OPPO ก็ไม่น้อยหน้า ส่ง Reno12 Series เป็นโทรศัพท์มือถือ AI รุ่นแรกของค่าย โดยมีฟีเจอร์ช่วยลบคนหรือสิ่งกีดขวางออกจากรูปถ่ายได้อย่างเนียนตา
สำหรับ Apple บริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกัน เปิดตัวระบบปฏิบัติการ iOS18 ในงาน WWDC24 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยฟีเจอร์สำคัญอย่าง ‘Apple Intelligence’ เป็นหัวหอกในการเดินหน้าเข้าสู่สนามแข่งขัน AI Phone และเมื่อวานนี้ (9 กันยายน 2024) เวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศสหรัฐอเมริกา Apple ได้เปิดตัว iPhone 16 ที่ทั้งไลน์อัปพัฒนามาเพื่อรองรับการใช้งาน Apple Intelligence โดยเฉพาะ
ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับฟีเจอร์ AI ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone 16 นั้นมาพร้อมกับขุมพลังอย่างชิป Apple Silicon A18 ที่มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 3 นาโนเมตร ทำให้ประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าที่ 30%
ฟีเจอร์หลักที่ Apple Intelligence สามารถทำได้ ประกอบด้วย 4 ส่วน ทั้งภาษา (Language), รูปถ่าย (Image), การใช้งาน (Action) และบริบทส่วนตัว (Personal Context)
เคร็ก เฟเดริกิ (Craig Federighi) รองประธานฝ่ายวิศวกรซอฟต์แวร์ของ Apple เปิดเผยว่า Apple Intelligence จะช่วยให้ผู้ใช้งานเกลาภาษา เพื่อใช้ในการสื่อสารระดับต่างๆ เช่น การเชิญรับประทานอาหารเย็น หรือการส่งข้อความถึงหัวหน้างาน รวมทั้งการตรวจทานภาษาให้มีความเหมาะสม อีกทั้ง AI ดังกล่าวยังสามารถช่วยสร้างอิโมจิ (Emoji) ในรูปลักษณะต่างๆ ตามที่ผู้ใช้งานต้องการเพื่อใช้แทนการสื่อสารผ่านตัวอักษร
อีกทั้งยังรวมไปถึงการสรุปข้อความในอีเมล (Email) และการแจ้งเตือน (Notification) เพื่อให้ผู้ใช้งานสะดวกและง่ายต่อการอ่านว่า การแจ้งเตือนดังกล่าวมีความสำคัญมากน้อยเพียงใด
ขณะที่การใช้งานแอปพลิเคชันรูปภาพ AI ของ Apple จะช่วยจัดกลุ่มรูปภาพตามคำค้นหาที่ผู้ใช้งานต้องการ และช่วยจัดเรียงเป็นเรื่องราวได้อย่างชาญฉลาด
เฟเดริกิเสริมอีกว่า Apple Intelligence จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ Siri ซอฟต์แวร์ผู้ช่วยอัจฉริยะของ iPhone ที่จะได้รับการพัฒนาให้มีความเป็นธรรมชาติ ตรงประเด็น และเป็นส่วนตัวมากขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับความสามารถ ‘การรับรู้บนหน้าจอ’ (Screen Awareness) ที่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งาน เพื่อรอการสั่งการของผู้ใช้งานต่อไป เช่น หากมีเพื่อนส่งเพลงที่ชื่นชอบมาให้ผ่านการพูดคุยใน iMessage ผู้ใช้งานสามารถสั่งให้ Siri เล่นเพลงนั้นได้ทันที
นอกเหนือจากนั้น ฟีเจอร์ Apple Intelligence ที่มีอยู่เฉพาะใน iPhone 16 มีชื่อว่า ‘Visual Intelligence’ ที่ประสานการทำงานระหว่าง AI กับกล้องในการค้นหาข้อมูลของสัตว์ สิ่งของ หรือสถานที่ทันที
“ด้วยวิธีใหม่ๆ ในการแสดงออกและรำลึกถึงความทรงจำ พร้อมด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณจัดลำดับความสำคัญและมีสมาธิเพื่อให้คุณทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น Apple Intelligence จะเปลี่ยนโฉมสิ่งที่คุณทำกับ iPhone มากมาย” เฟเดริกิกล่าว
ในเรื่องความปลอดภัย (Security) ซึ่งหมายรวมไปถึงความเป็นส่วนตัว (Privacy) จากการรายงานของ Apple ระบุว่า หัวใจสำคัญของการประมวลผลเพื่อการใช้งาน AI จะเป็นการประมวลผลบนอุปกรณ์เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าจะ ‘ไม่มีการจัดเก็บข้อมูล’ การใช้งานของลูกค้า
อย่างไรก็ตาม หากผู้ใช้งานต้องการการประมวลผลที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอุปกรณ์ ระบบจะดำเนินการร้องขอเพื่อให้ใช้ Private Cloud Compute (PCC) ที่เปรียบเสมือนศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของ Apple ในการประมวลผล โดยจะเป็นเพียงการนำส่งข้อมูลเฉพาะเรื่องไปประมวลบนเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลให้กับบริษัท อีกทั้ง Apple ยังเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโค้ดที่ทำงานอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ได้อีกด้วยว่า บริษัทได้ดำเนินการตามนโยบายความเป็นส่วนตัวหรือไม่
กำหนดการปล่อยให้ผู้ใช้งานได้ทดลองใช้ AI ของ Apple เฟเดริกิระบุว่า จะทดลองใช้ในเวอร์ชันเบต้า (Beta) ช่วงเดือนตุลาคมนี้ โดยเริ่มที่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันเป็นหลัก และจะเริ่มขยายประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในสำเนียงต่างๆ ทั้งสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ นิวซีแลนด์ และแคนาดา ในเดือนธันวาคม และเริ่มการใช้งานในภาษาต่างๆ ทั้งภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาฝรั่งเศส และภาษาสเปน ได้ในปีถัดไป (2025)
ทั้งนี้หากผู้ใช้งานในไทยรอคอยการใช้งาน Apple Intelligence คงต้องรอเวลาอีกระยะ เหมือนกับทุกฟีเจอร์ของ Apple ที่เคยเปิดตัวมา เพราะในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อวานนี้ ยังไม่ได้ระบุกรอบเวลาชัดเจนของการเปิดใช้งาน Apple Intelligence ในรูปแบบภาษาไทยแต่อย่างใด