อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง ทั่วโลกประสบปรากฏการณ์ ‘หันขวา’ กันถ้วนหน้า เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือกรณีของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ชนะการเลือกตั้งไป 312 เสียงต่อ 226 เสียง หรือแม้แต่ในยุโรปเอง แนวคิดขวาจัดก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น ประเทศอิตาลี เยอรมนี และฮังการี ล้วนมีพรรคฝ่ายขวาอยู่ในรัฐบาล
ภายใต้บรรยากาศทางการเมืองแบบนี้ ไม่แปลกที่กลุ่มคนชายขอบจะกังวลเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพของตัวเองเป็นพิเศษ ขณะที่สังคมเรากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านวัตถุ แต่การเคารพความเป็นมนุษย์ของกันและกันกลับถดถอย
ตั้งแต่คำสั่งให้มีแค่ 2 เพศในอเมริกา ไปจนถึงกฎหมายต่อต้าน LGBTQIA+ ในฮังการี คอลัมน์ Gender สัปดาห์นี้อยากพาผู้อ่านไปสำรวจสถานการณ์ของกลุ่ม LGBTQIA+ จากทั่วทุกมุมโลก
เพราะถึงแม้กรุงเทพฯ จะกำลังเฉลิมฉลอง แต่ยังมีอีกหลายเมืองและหลายประเทศที่ชาว LGBTQIA+ ไม่เหลือที่ให้ยืน
สหรัฐอเมริกา
ไม่พูดถึงสหรัฐฯ เลยก็คงไม่ได้ เพราะทุกการขยับตัวของ ‘พี่ใหญ่’ ล้วนส่งผลต่อการเมืองโลกมหาศาล ข้อมูลล่าสุดเผยว่า ในปี 2025 ทั้ง 50 รัฐของอเมริกามีร่างกฎหมายเชิงต่อต้านคนข้ามเพศรวมกัน 920 ฉบับ ผ่านแล้ว 112 ฉบับ โดยส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่การศึกษาและการรักษาพยาบาล บ้างก็แบนไม่ให้สอนเรื่องความหลากหลายทางเพศในโรงเรียน บ้างก็แบนไม่ให้คนข้ามเพศได้เข้าถึงบริการทางสุขภาพต่างๆ ที่จะช่วยรองรับเพศสภาพ (Gender-affirming Care)
นอกจากนั้นประธานาธิบดีเองยังลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ให้อเมริกามีได้แค่ 2 เพศคือ ชายและหญิง โดยยึดจากเพศที่บันทึกไว้ตอนเกิด รวมถึงยุติโปรแกรมส่งเสริมความหลากหลาย และล่าสุดก็ตัดงบวิจัยด้านสุขภาพของกลุ่ม LGBTQIA+ มากกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 261 ล้านบาท)
ตั้งแต่ตอนหาเสียงจนถึงวันนี้ จุดยืนของทรัมป์ชัดเจนเหมือนเดิมคือ ‘อเมริกาจะไม่โว้กอีกต่อไป’
สหราชอาณาจักร
ถัดจากสหรัฐฯ ช่วงนี้สหราชอาณาจักรก็เป็นที่พูดถึงมากทีเดียว เนื่องจากอัยการศาลสูงสุด (Supreme Court) เพิ่งตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ให้คำว่า ผู้หญิงครอบคลุมเพียงแค่ ‘ผู้หญิงตามหลักชีววิทยา’ เท่านั้น ส่วนผู้หญิงข้ามเพศ ต่อให้มีใบรับรองเพศสภาพ (Gender Recognition Certificate) ก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองแบบเดียวกัน
นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิหลายคนกล่าวว่า คำตัดสินนี้เป็นการกีดกันคนข้ามเพศในพื้นที่สาธารณะอย่างชัดเจน ทำให้คนข้ามเพศตกเป็นเป้า ถูกเหยียด และถูกโจมตีได้ง่ายขึ้นไปอีก
อ้างอิงจากสถิติปี 2021 มีคนข้ามเพศในสหราชอาณาจักรตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crime) มากถึง 2,630 กรณี คำถามต่อมาคือ จะเกิดอะไรขึ้นหากกฎหมายไม่สามารถปกป้องพวกเขาเหล่านี้ได้
ฮังการี
ย้ายจากฝั่งเกาะมายุโรปกลางกันบ้าง อันที่จริงฮังการีปกครองด้วยพรรคฝ่ายขวาชาตินิยม ‘ฟิเดสซ์’ (Fidesz) มานานแล้ว และในการเลือกตั้งปี 2022 วิกเตอร์ ออร์บาน (Viktor Orbán) จากพรรคฟิเดสซ์ก็ชนะอีกครั้ง แถมเป็นชัยชนะแบบแลนด์สไลด์ นับตั้งแต่นั้นมาฮังการียิ่งออกนโยบายต่อต้าน LGBTQIA+ หนักขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุดเดือนมีนาคม 2025 มีการแก้รัฐธรรมนูญว่า ประเทศฮังการีจะยอมรับแค่ 2 เพศคือ ชายและหญิง คล้ายกับคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ นอกจากนั้นออร์บานยังสั่งห้ามจัดงานสาธารณะที่มีสัญลักษณ์ของ LGBTQIA+ เช่น มีธงสายรุ้งหรือมีคนแต่งกายไม่ตรงกับเพศกำเนิด โดยเขาอ้างเหตุผลว่า เป็นอันตรายต่อเด็กๆ ในประเทศ
“เราจะไม่ยอมให้อุดมการณ์โว้กมาทำอันตรายต่อเด็กๆ ของเรา” ออร์บานกล่าว
สำหรับประชาชนที่ยังฝ่าฝืน พยายามจะเดินขบวนไพรด์ รัฐบาลจะใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า และปรับสูงถึง 550 ยูโร (ประมาณ 2 หมื่นบาท)
บัลแกเรีย
ข้ามมาถึงยุโรปตะวันออก เมื่อเดือนสิงหาคม 2024 บัลแกเรียเพิ่งประกาศแก้กฎหมายด้านการศึกษา โดยห้ามให้หลักสูตรในโรงเรียน ‘โฆษณาชวนเชื่อ ส่งเสริม หรือปลุกปั่นแนวคิดใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับเพศที่ไม่ตรงตามขนบ หรือไม่ตรงตามชีววิทยา’ สร้างความไม่พอใจแก่ประชาชนจำนวนมาก จนมีการเดินขบวนประท้วงนอกทำเนียบ
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ร่างแก้กฎหมายดังกล่าวเสนอโดยพรรครีไววัล (Revival) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดโปรรัสเซีย พรรครีไววัลเองไม่ได้มีเสียงส่วนใหญ่ในสภา แต่พรรคอื่นๆ กลับสนับสนุนร่างนี้ทำให้ผ่านออกมาได้ในที่สุด ไม่แปลกหาก LGBTQIA+ ชาวบัลแกเรียจะรู้สึกเหมือนโดนหักหลังมากเป็นพิเศษ
“โฆษณาชวนเชื่อ LGBTQIA+ เป็นการต่อต้านมนุษยชาติ และจะไม่ถูกยอมรับในบัลแกเรีย” คอสตาดิน คอสตาดินอฟ (Kostadin Kostadinov) หัวหน้าพรรครีไววัล กล่าว
ตรินิแดดและโตเบโก
ตรินิแดดและโตเบโกเป็นเกาะในแถบแคริบเบียน คนไทยเราอาจไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไรนัก แต่ที่หยิบยกขึ้นมาพูดวันนี้ เนื่องจากกรณีของตรินิแดดและโตเบโกแสดงตัวอย่างของการ ‘ก้าวถอยหลัง’ ได้ชัดเจนที่สุด
ในอดีตประเทศนี้เป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ กฎหมายที่จัดให้ความสัมพันธ์ชายรักชายเป็นอาชญากรรมก็ได้มาจากอังกฤษตั้งแต่ปี 1925 หากผู้ชายคนไหนโดนจับได้ว่าเป็นเกย์ มีโอกาสติดคุกนานถึง 25 ปี
หลังจากประชาชนกลุ่ม LGBTQIA+ ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ มานาน ในที่สุด ปี 2018 ศาลสูง (High Court) ของตรินิแดดและโตเบโกก็ตัดสินว่า กฎหมายล้าหลังจากยุคอาณานิคมนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญและสมควรที่จะยกเลิกไป ถือเป็นพัฒนาการอันยิ่งใหญ่สำหรับประเทศ
แต่น่าเศร้าที่พัฒนาการไม่ยั่งยืน เพราะล่าสุดเดือนมีนาคม 2025 คำตัดสินของศาลสูงกลับถูกยกเลิกเสียอย่างนั้น ตรินิแดดและโตเบโกจึงวนกลับมาที่เดิม ที่ซึ่ง LGBTQIA+ เป็นอาชญากรรม เพียงแต่ลดโทษจำคุกจาก 25 ปีลงมาเหลือ 5 ปีเท่านั้นเอง
จริงอยู่ที่เดือนไพรด์เป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง ทั้งยังเป็นพื้นที่ให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจในตัวตนอันหลากหลายและสวยงาม แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันมีขึ้นเพื่อรำลึกถึงการต่อสู้ของ LGBTQIA+ ทุกคน นับตั้งแต่เหตุจลาจล ณ สโตนวอลล์อินน์ จวบจนถึงปัจจุบัน
ที่เราเลือกเขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์ไม่สู้ดีของกลุ่ม LGBTQIA+ ในเดือนนี้ ไม่ได้เจตนาขัดความสุขใคร เพียงแต่อยากย้ำเตือนว่า การต่อสู้ยังไม่จบลง ยังคงมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ LGBTQIA+ ต้องเคลื่อนไหว เรียกร้อง และดิ้นรนกันต่อไป
กว่าจะไปถึงความเท่าเทียมอย่างแท้จริง
อ้างอิง
https://www.bbc.com/news/articles/czx84en1yp4o
https://www.dw.com/en/hungary-passes-constitutional-changes-targeting-lgbtq-rights/a-72242414
https://www.politico.eu/article/bulgaria-anti-lgbtq-law-ban-propaganda-school-ruman-rudev/
https://www.thepinknews.com/2025/04/04/trinidad-and-tobago-recriminalises-homosexuality/
Tags: LGBTQIA+, LGBTQ+ Rights, QUEER IS HERE, Right Wing, Gender, LGBT, LGBTQ, ความเท่าเทียมทางเพศ