ผ่านมาราวๆ 2 สัปดาห์แล้วนับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) คว้าชัยในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยกวาดคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ไปถึง 312 เสียง ในขณะที่คู่แข่ง กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) ได้เพียง 226 เสียงเท่านั้น

เช่นเดียวกับการเลือกตั้งอื่นๆ ชัยชนะครั้งนี้ของทรัมป์ได้รับทั้งเสียงสรรเสริญและโห่ไล่ มีทั้งคนยินดีและคนร่ำไห้ ที่น่าสนใจคือ ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยแสดงออกว่ารู้สึกไม่ปลอดภัยภายใต้รัฐบาลทรัมป์ ถึงขั้นรณรงค์ให้หยิบยืม 4B Movement จากเกาหลีใต้มาใช้

แล้ว 4B Movement คืออะไรกันแน่ ทำไมชัยชนะของทรัมป์จึงนำมาซึ่งกระแสต่อต้านในเชิงนี้ The Momentum จะพาไปหาคำตอบพร้อมกัน

1.

เกาหลีใต้เผชิญปัญหาความรุนแรงทางเพศมาช้านาน เมื่อปี 2016 หญิงสาวคนหนึ่งในช่วงวัย 20 ปี ถูกชายแปลกหน้าแทงตายแถวย่านกังนัม โดยคนร้ายสารภาพว่า ทำไปเพราะตน “รู้สึกเหมือนถูกพวกสาวๆ เมินอยู่ตลอด” ตั้งแต่ปี 2009 ถึง 2017 มีผู้หญิงเกาหลีถูกฆ่าอย่างน้อย 824 ราย ถูกคนรักกระทำรุนแรงเกือบถึงชีวิตอีก 602 ราย ไหนจะคดีแอบถ่ายต่างๆ ตลอดจนความไม่เท่าเทียมในที่ทำงานอีกมากมาย

เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้ 4B Movement ถือกำเนิดขึ้น ตัว B ย่อมาจาก Bi ที่แปลว่า ‘ไม่’ ในภาษาเกาหลี มีแนวทางปฏิบัติหลักๆ 4 ข้อ ได้แก่

1. Bihon ไม่แต่งงาน

2. Bichulsan ไม่มีลูก

3. Biyeonae ไม่ออกเดต

4. Bisekseu ไม่มีเซ็กซ์

ภายใต้สภาพสังคมที่ผู้หญิงมีสิทธิจำกัด ผู้เข้าร่วม 4B Movement เลือกต่อต้านผ่านวิธีที่พอจะทำได้ นั่นคือ การใช้ร่างกายตัวเองเป็นข้อต่อรอง แก้เผ็ดปิตาธิปไตยโดยไม่ปฏิเสธสัมพันธ์ใดๆ ก็ตามกับผู้ชาย

ปัจจุบันยังไม่มีสถิติชัดเจนว่า มูฟเมนต์นี้มีผู้เข้าร่วมจริงๆ เท่าไร ในสัมภาษณ์กับ The Guardian สาวโซลวัยทำงานคนหนึ่งกล่าวว่า “ฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ 4B มาก่อนจนเมื่อเร็วๆ นี้” ส่วนอีกคนบอกว่า “ฉันและเพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่ก็แค่สนใจเรื่องงานมากกว่าการออกเดต ไม่เกี่ยวอะไรกับ 4B ค่ะ”

“ตัวมูฟเมนต์เองไม่ได้แพร่หลายนัก แต่แนวความคิดที่อยู่เบื้องหลังมูฟเมนต์นี้เป็นสิ่งที่หลายคนเห็นด้วย” จูฮี จูดี้ ฮัน (Ju Hui Judy Han) ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาเพศสภาพศึกษา (Gender Studies) มหาวิทยาลัย UCLA อธิบาย 

แต่ถึงแม้ 4B จะไม่ได้แพร่หลายในประเทศต้นกำเนิด มันกลับถูกพูดถึงอย่างมากจากผู้หญิงชาติอื่นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงอเมริกันหลังจากทราบผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

2.

หากใครติดตามการเลือกตั้งสหรัฐฯ อยู่บ้างคงเห็นว่า สิทธิการทำแท้งถูกหยิบยกมาพูดถึงค่อนข้างบ่อย นั่นเพราะในปี 2022 ศาลสูงสุดตัดสินล้มล้างคำพิพากษาคดี Roe v Wade ที่ระบุว่า การยุติการตั้งครรภ์เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ คำตัดสินนี้ทำให้สิทธิการทำแท้งไม่ครอบคลุมทั่วประเทศอีกต่อไป และรัฐที่เป็นอนุรักษนิยมสามารถสั่งห้ามการทำแท้งได้ 

ศาลสูงสุดชุดปัจจุบันมีสัดส่วนตุลาการที่เป็นอนุรักษนิยมต่อเสรีนิยม 6:3 โดยในบรรดา 6 คนนี้ ถูกแต่งตั้งโดยทรัมป์ถึง 3 คน ไม่แปลกที่เขาจะอวดอ้างอย่างภูมิใจว่า “หลังจากความล้มเหลว 50 ปี ในที่สุดผมก็กำจัด Roe v Wade ได้ ถ้าไม่มีผม ฝั่ง Pro Life คงพ่ายแพ้ต่อไปเรื่อยๆ”

ชัยชนะครั้งที่ 2 ของทรัมป์ปิดโอกาสทวงคืนสิทธิการทำแท้งไปอีก 4 ปี สร้างความกังวลแก่ผู้หญิงจำนวนมาก อ้างอิงจากสถิติของ KFF มี 14 รัฐที่สั่งห้ามการทำแท้งโดยสมบูรณ์ไม่ว่าจะตั้งครรภ์ได้กี่สัปดาห์ และ 9 รัฐที่ไม่มีแม้กระทั่งข้อยกเว้นให้กับเหยื่อข่มขืนหรืออินเซสต์

ในขณะเดียวกันกลุ่มขวาจัดบนโลกอินเทอร์เน็ตก็เริ่มส่งต่อข้อความ ‘Your body, my choice (ร่างกายของคุณ ฉันจะตัดสินใจให้เอง)’ เป็นการล้อเลียนสโลแกน ‘My body, my choice (ร่างกายของฉัน ฉันขอตัดสินใจเอง)’ ที่ผู้หญิงใช้เพื่อเรียกร้องสิทธิในร่างกายตัวเอง

ความรู้สึกไม่ปลอดภัยและสิทธิในร่างกายที่ถูกคุกคาม ลิดรอน ตลอดจนเย้ยหยัน กลายเป็นชนวนให้ผู้หญิงอเมริกันส่วนหนึ่งหันมาสมาทาน 4B Movement

“สาวๆ เราต้องเริ่มพิจารณา 4B Movement เหมือนอย่างผู้หญิงเกาหลีบ้างแล้วนะ ทำให้อัตราการเกิดในอเมริกาดิ่งลงฉับพลัน อย่าปล่อยให้ผู้ชายพวกนี้ได้หัวเราะทีหลัง เราต้องสู้กลับ”

“4B Movement คือการประท้วงปิตาธิปไตย ถ้าพวกเขาอยากมีอำนาจเหนือร่างกายของคุณ ก็อย่าปล่อยให้พวกเขาได้ดั่งใจ มูฟเมนต์นี้เริ่มต้นขึ้นในเกาหลี และตอนนี้คุณเองก็ควบคุมชีวิตตัวเองภายใต้ ‘เขา’ ได้เช่นกัน”

ข้างต้นคือ เสียงจากผู้ใช้งานทวิตเตอร์ หรือเอ็กซ์ (X) ในชื่อแอ็กเคานต์ @lalisasaura และ @enzophoria โดยทั้ง 2 ทวีตนี้มียอดไลก์สูงถึงหลักแสน และยอดการมองเห็นรวมกันเกิน 30 ล้าน

3.

ถึงแม้กระแสในอินเทอร์เน็ตจะมาแรง แต่หลายๆ คนก็ยังกังขาว่า 4B Movement จะใช้ได้กับบริบทของสหรัฐฯ จริงหรือ?

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฮันวิจารณ์ว่า 4B Movement ยังคงติดอยู่ในกรอบเพศทวิลักษณ์ (Gender Binary) กล่าวคือ ตัวมูฟเมนต์พุ่งเป้าไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชาย จนอาจจะลืมเลือนปัญหาเรื่องเพศในมิติอื่นๆ ไป นอกจากนั้นผู้หญิงที่เลือกทรัมป์ก็มีเยอะเหมือนกัน

อ้างอิงจาก Exit Poll ของ CNN มีผู้หญิงเลือกแฮร์ริสประมาณ 53% และเลือกทรัมป์อีก 45% ความแตกต่าง 8% นับเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก ทั้งๆ ที่แคมเปญของแฮร์ริสชูเรื่องสิทธิของผู้หญิงเป็นหลัก

“ฉันไม่ได้คาดหวังให้ทุกคนในอเมริกาจับมือตกลงกันว่าจะไม่เดตผู้ชายหรอกค่ะ” หนึ่งในสาวอเมริกันผู้เข้าร่วม 4B Movement กล่าวกับ CNN “แต่ฉันคิดว่า มูฟเมนต์นี้คงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในบางแง่”

สุดท้ายแล้วคงต้องติดตามกันต่อไปว่า คุณภาพชีวิตผู้หญิงอเมริกันจะเป็นอย่างไรภายใต้รัฐบาลทรัมป์สมัยที่ 2 และการเคลื่อนไหวต่อต้านต่างๆ จะส่งผลมากน้อยแค่ไหน

อ้างอิง

https://www.nytimes.com/interactive/2024/11/05/us/elections/results-president.html 

https://www.theguardian.com/world/2024/nov/15/4b-south-korea-feminist-movement-donald-trump-election-backlash 

https://edition.cnn.com/2024/11/09/us/4b-movement-trump-south-korea-wellness-cec/index.html 

https://www.bbc.com/thai/international-61930948

https://www.supremecourt.gov/about/biographies.aspx

https://www.nbcnews.com/politics/donald-trump/trump-was-able-kill-roe-v-wade-rcna84897 

https://www.kff.org/policy-watch/rape-incest-exceptions-abortion-bans-restrictions/ 

https://x.com/NickJFuentes/status/1854015641218355621 

https://x.com/lalisasaura/status/1854042360415412584 

https://x.com/enzophoria/status/1854170542053478518 

https://edition.cnn.com/election/2024/exit-polls/national-results/general/president/0 

Tags: , , , , , ,