ครั้งแรกในชีวิตที่ได้ยินชื่อประเทศ ‘ไอซ์แลนด์’ น่าจะราวยุค 80s-90s จากศิลปินนักร้องแนวเพลงที่ไม่สามารถหาคำจำกัดความได้อย่าง บียอร์ก (Björk) เธอเกิดและเติบโตที่ประเทศไอซ์แลนด์ และพอเราได้ไปไอซ์แลนด์กลับมาจึงพอเข้าใจว่า ทำไมเธอถึงเป็นคนที่มีความคิดแปลก มีจินตนาการที่แตกต่างและหลุดโลกไปได้ขนาดนั้น

ก่อนที่จะตัดสินใจไปประเทศนี้ ระหว่างหาข้อมูล เรารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของการผจญภัยและความตื่นเต้น เพราะชนชาติแรกที่ไปตั้งถิ่นฐานจริงจังบนเกาะแห่งนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 870 คือเผ่านักรบ ชาวไวกิง (Viking)

เราจำเป็นต้องหาคนไปร่วมผจญภัยทริปนี้ ยิ่งไม่แน่ใจว่าจะมีใครไปด้วยกันไหม โดยเฉพาะแม่ของเรา เพราะแม่ไม่ชอบเรื่องตื่นเต้น แม่ไม่ชอบการผจญภัย แม่ไม่ชอบสถานที่ที่คาดเดาอะไรไม่ได้

“หม่าม้า ไปดูแสงเหนือกันไหม”

“ไปสิ”  คำตอบสั้นๆที่ทำเรางงไปพักใหญ่ ก่อนจะอธิบายว่ามันคือประเทศอะไรและต้องเดินทางกันยาวนานแค่ไหน

“ไปสิ ไปกัน ลองดู

ความรู้สึกของเราตอนนั้นดีใจมากที่แม่อยากไปด้วย แต่ความกังวลอีกมากมายมหาศาลก็ตามมาในการจัดการทริปนั้นให้ลุล่วงไปด้วยดี เมื่อรวบรวมสมาชิกได้ 4 คนพอนั่งสบายในรถที่เราจะเช่าขับรอบเกาะ แผนก็ดำเนินไปตามขั้นตอนเรื่อย ๆ เรามีเวลาแค่ 14 วัน จึงต้องคำนวณระยะทางให้สัมพันธ์กับเวลาที่เราจะไปถึงที่พักแต่ละที่ให้ดี ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนทั้งหมด

การเดินทางเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่ยังไม่หนาวจัดอยู่ที่ 4-10 องศาเซลเซียส หิมะยังไม่ปกคลุมถนน เป็นช่วงเวลาที่ปลอดภัยในการขับรถและตามล่าแสงเหนือ ตามเมืองใหญ่ ๆ จะมีซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่บ้าง พอที่จะให้เราซื้อหาเสบียง

เราเริ่มเดินทางจากทางใต้แล้วขับไปตามถนนสาย 1 ทวนเข็มนาฬิกาเลาะรอบเกาะไปเรื่อย ๆ ตอนกลางของประเทศส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาและปากปล่องภูเขาไฟจึงไม่มีคนอยู่เท่าไรนัก สิ่งที่ทำให้เราต้องหยุดจอดรถระหว่างทางทุก ๆ 10-20 กิโลเมตรคือภูมิทัศน์สองข้างทางของประเทศนี้ ซึ่งในสี่วันแรกของการเดินทาง เราใช้เวลาจอดรถถ่ายรูประหว่างทางไปน้ำตกต่าง ๆ มากกว่าเวลาที่เราใช้อยู่ที่น้ำตกเสียอีก

ทะเลสาบน้ำแข็งโยคูลซาร์ลอน (Jökulsárlón glacial lake)

จากชายฝั่งทะเลที่มีหาดทรายสีดำและหน้าผาหินเป็นชั้น ลดหลั่นกันดูแปลกตาที่เมืองวิค (Vík หรือ Vík í Mýrdal) ไปจนถึงทะเลสาบน้ำแข็งโยคูลซาร์ลอน (Jökulsárlón glacial lake) ซึ่งบริเวณนี้มีส่วนของภูเขาน้ำแข็ง (Iceberg) ที่หักลงและถูกกระแสน้ำพัดมากองรวมกันที่ริมฝั่งทะเลสาบ ทำให้เราสามารถปีนป่ายไปบนก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ รูปร่างแปลกตา ไปจนถึงคว้าก้อนพอดีมือโยนเล่นไปมาได้ เราใช้เวลาถ่ายรูปและเล่นก้อนน้ำแข็งกันนานมาก นานจนลืมเวลาที่เราต้องรักษา เพื่อที่จะเข้าที่พักของวันนั้นก่อนฟ้าจะมืด และเป็นเหตุให้เกิดการนอกแผนขึ้นครั้งแรก

Vatnajokull Glacier Lake

คืนนี้เราวางแผนที่จะขับรถไปพักยังเมืองเอกิลสตาดีร์ (Egilsstadir) เมืองเล็กๆ อีกแห่งทางตอนเหนือ ซึ่งถนนช่วงนี้ต้องเรียกว่าอันตรายมาก ด้านขวาเป็นหน้าผาสูงชัน ไหล่ทางไม่มีรั้วกั้น ด้านล่างเป็นมหาสมุทรแอตแลนติก ด้านซ้ายเป็นเทือกเขาสูง หากดูตามแผนที่แล้วจะเห็นว่า ด้านตะวันออกของประเทศมีลักษณะแหว่งเว้า เป็นแหลมและอ่าวมากมาย ถนนหลักที่ใช้ก็ต้องลัดเลาะไปตามรูปทรงที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ใช้เวลาในการขับรถมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก เป็นช่วงเวลาที่ขับรถแล้วใจเต้นแรงมากอีกช่วงหนึ่ง ตอนนั้นเกือบสองทุ่มแล้ว เราจึงตัดสินใจ แวะที่พักที่ใกล้ที่สุดเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในคณะ

การเดินทางในวันต่อมา เราจึงต้องวางแผนกันใหม่และรัดกุมมากขึ้น ช่วงที่ขับรถเป็นเส้นยาวทางตอนเหนือ เราก็ได้คำตอบที่ว่า ทำไมเมื่อก่อน องค์การนาซ่า (NASA) จึงใช้ประเทศไอซ์แลนด์เป็นสถานที่ฝึกนักบินอวกาศก่อนจะขึ้นไปเดินบนดวงจันทร์ คำตอบนั้นเราเห็นได้ด้วยตาและความรู้สึก ช่วงตอนเหนือของประเทศเป็นที่ราบแห้งแล้ง มีเนินเขาบ้าง บางช่วงสลับกับเหว ลมแรงขนาดยืนนิ่ง ๆ ไม่ได้ หินและดินส่วนใหญ่ที่เราเห็นมีสีดำหรือน้ำตาลเข้ม มองเห็นปล่องภูเขาไฟและเทือกเขาซับซ้อนอยู่ไกล ๆ ภูมิประเทศล้วนแปลกตาและประหลาดเป็นที่สุด ด้วยความรู้สึกที่ตื่นตาตื่นใจยังไม่ทันไร เราต้องเจอกับอุปสรรคอีกครั้ง

ขณะที่ขับรถมุ่งหน้าน้ำตกเดตตี้ฟอสส์ (Dettifoss) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป อยู่ดี ๆ ทัศนวิสัยที่เรามองไปหน้ารถกลับกลายเป็นศูนย์ เราเห็นเพียงไฟหน้ารถที่ส่องออกไปไม่เกิน 2 เมตร มองดี ๆ จึงพบว่าด้านหน้านั้นเป็นลมพายุทรายขนาดรุนแรง ที่พัดเป็นแนวขนานกับพื้น เราได้ยินเสียงทรายกระทบตัวรถตลอดเวลา เราต้องขับรถไปช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อคงระยะห่างของรถด้านหน้าและด้านหลังไว้ ราว 10 นาทีเราก็ผ่านช่วงวิกฤตออกมาได้ แต่ลมที่พัดก็ยังรุนแรงมากอยู่ เราจึงตัดสินใจไม่แวะที่น้ำตกเดตตี้ฟอสส์ และขับเลยผ่านไป ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกเหมือนขับรถอยู่บนผิวดวงจันทร์จริง ๆ ด้วย

Vatnajokull Glacier

เราแวะพักที่ ทะเลสาบมิวัตน์ (Myvatn Lake) เพื่อแช่บ่อน้ำแร่ตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากน้ำร้อนที่ดันขึ้นมาจากชั้นหินภูเขาไฟใต้ดิน มีสีฟ้าสดใส มีส่วนผสมของแร่ซิลิกาและกำมะถัน ซึ่งแตกต่างกับบลูลากูน (Blue Lagoon) บ่อน้ำแร่ที่มีชื่อเสียงที่สุดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ เป็นบ่อที่มนุษย์หัวใสขุดขึ้นใกล้ ๆ กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal power plant) เพราะในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้านั้นจะทำให้เกิดน้ำแร่ขึ้นเป็นจำนวนมาก จึงขุดบ่อขึ้นและสร้างเป็นสถานที่พักผ่อนขนาดใหญ่ ซึ่งเราจะไปแวะพักในวันก่อนกลับบ้าน บ่อน้ำแร่เหล่านี้จะมีอุณหภูมิไม่สูงมาก ราวๆ 38-40 องศาเซลเซียส อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์ ช่วยบำรุงผิวพรรณได้ดี

น้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss Waterfall)

จากทะเลสาบมิวัตน์มาไม่ไกล จะพบน้ำตกโกดาฟอสส์ (Godafoss Waterfall) น้ำตกขนาดใหญ่ ที่มีส่วนโค้งได้รูปสวยงาม ด้วยขนาดที่กว้างและโค้งเว้ามาก จึงไม่สามารถจะเก็บมุมมองทั้งหมดได้ต้องเดินวนขึ้นไปเนินเขาข้างๆ และถ่ายรูปจากมุมสูงถึงจะเก็บภาพได้ทั้งหมด

ตอนเหนือของประเทศนั้น มีเมืองท่าสำคัญอยู่หลายแห่งที่เราแวะพัก ทั้งเมืองอาคูเรย์รี (Akureyri) เมืองท่าขนาดใหญ่เป็นศูนย์กลางการประมงของประเทศ เมืองนี้ตั้งอยู่บริเวณฟยอร์ด (Fjords) ที่ยาวที่สุดของไอซ์แลนด์ ฟยอร์ดคือส่วนของชายฝั่งที่เว้าแหว่งซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง ทำให้เกิดเป็นอ่าวแคบ ๆ ที่มีหน้าผาสูงชันขนาบข้าง ทำให้เราสามารถถ่ายรูปเก็บทั้งเมืองอาคูเรย์รีได้ โดยยืนอยู่หน้าผาฝั่งตรงข้ามเมืองนั่นเอง

เมืองท่าอีกแห่งทางตะวันตกเฉียงเหนือคือ สติกกิชฮอลเมอร์ (Stykkisholmur) เมืองนี้มีความเป็น Nordic สูงมาก คือวัฒนธรรมของประเทศแถบยุโรปตอนเหนือ จากที่ถามความกับร้านอาหารที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองอย่างร้าน Narfeyrarstofa restaurant and café ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1906 ก็เล่าให้ฟังว่าเมืองนี้เป็นต้นกำเนิดนิยายเก่าแก่ของประเทศไอซ์แลนด์หลายเรื่อง บ้านเรือนหลายหลังก็ถูกเก็บรักษาไว้เพราะเก่าแก่หลายร้อยปี เป็นเมืองเงียบ ๆ ที่อากาศไม่หนาวมาก แต่คุยกันได้ไม่เท่าไร ลูกค้าก็เพิ่มขึ้นจนเต็มร้าน อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ หนีไม่พ้นเมนูปลาชนิดต่างๆ ทานคู่กับขนมปังอบใหม่ อร่อยดี

สองพันกว่ากิโลเมตร ที่เราขับรถมา หากจะไม่พูดถึงออโรรา (Aurora) ก็คงประหลาดอยู่ ออโรรา เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่พบเห็นได้บ่อยบริเวณขั้วโลก หากพบในแถบตอนเหนือของโลกก็จะเรียก แสงเหนือ (Northern Light) แสงเรืองที่เกิดขึ้นบนฟ้านี้ อยู่ห่างจากพื้นโลกเพียงแค่ 100-300 กิโลเมตรเท่านั้น แต่บอกได้เลยว่าส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เวลาเรามองคลื่นออโรราที่กำลังโบกสะบัดอยู่บนท้องฟ้า จะมีแรงดึงดูดบางอย่างทำให้เราหยุดกิจกรรมทุกสิ่งและจ้องมองความสวยงามของเจ้าออโรร่านี้แบบไม่ละสายตา แสงเหนือที่สวยที่สุดต้องมองด้วยตาเปล่าเท่านั้นจริง ๆ

เมืองเรคยาวิก (Reykjavík)

ในการเดินทางสิบกว่าวัน เราและคณะได้พบเห็นแสงเหนืออยู่หลายครั้ง ถือว่าเป็นโชคดีของเราแล้ว วันสุดท้ายก่อนกลับ เราพักที่บ้านเช่าอยู่ใกล้สนามบิน ในเมืองหลวงเรคยาวิก (Reykjavík) เจ้าของบ้านเป็นคุณป้าใจดีที่ชอบทำเบเกอรีเป็นชีวิตจิตใจ หลังอาหารค่ำ คุณป้าเชิญชวนเราออกไปนั่งชมวิวหลังบ้าน เราจึงถามถึงความถี่ของแสงเหนือที่เกิดขึ้นแถวนี้ คุณป้าตอบแบบยิ้มมุมปากว่า เห็นบ่อย ๆ ช่วงนี้เห็นเกือบทุกวัน เดี๋ยวพวกเราก็น่าจะได้เห็น

คืนนั้นราว 5 ทุ่ม คุณป้ามาเคาะประตูห้องชวนพวกเราออกมาอีกครั้ง เมื่อมองลอดประตูห้องออกมา เราต้องตกใจและวิ่งกลับไปคว้ากล้องในทันที คืนนี้เป็นคืนที่เราเห็นแสงเหนือมากและยาวนานที่สุด คุณป้ายิ้มให้และขอตัวกลับไปนอน ทิ้งให้เรานั่งมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงเรืองรองจากธรรมชาติ สีเขียว สีฟ้า สีม่วง สลับกันเริงร่าพร้อมดวงดาวมากมายเป็นพื้นหลัง เหมือนแสงเหนืออยากจะฝากความทรงจำดี ๆ ให้เราก่อนกลับบ้า

เราจบการเดินทางครั้งนี้ด้วยความประทับใจและการอำลาที่ยิ่งใหญ่หลังบ้านคุณป้านี้เอง

เหมือนคำพูดที่ว่า ของบางอย่างยิ่งหา ยิ่งไขว่คว้า ยิ่งไม่เจอ…

ณ ประเทศไอซ์แลนด์

บันทึกภาพโดย Olympus Pen F (17mm f1.8, 45mm f1.8, Summicron-M 50mm f/2)

Fact Box

  • ปัจจุบันยังไม่มีบินตรงไปประเทศไอซ์แลนด์ เราสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯและไปต่อเครื่องได้หลายประเทศ เช่น นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ อังกฤษ รวมถึงอีกหลายประเทศในทวีปยุโรปและอเมริกา
  • คนไทยสามารถขอวีซ่าไปไอซ์แลนด์โดยผ่านสถานทูตเดนมาร์ก ซึ่งปัจจุบันต้องยื่นคำร้องผ่านศูนย์รับคำร้องขอวีซ่ากลุ่มประเทศเชงเก้น VFS เท่านั้น
Tags: ,