อาหารเช้านี้มีโยเกิร์ต แยมแอปพริคอต แยมสตรอเบอร์รี่ น้ำผึ้ง มะกอกดอง มะเขือเทศ ชีสหลากประเภท ยังมีลูกพลัมและองุ่น รวมทั้งเห็ดแชมปิญองผัดน้ำมันมะกอกเจ็ดชิ้นสุดท้าย “คุณชอบเห็ดนี่เอง เดี๋ยวผมทำเพิ่มอีกหน่อยแล้วกัน” พ่อบ้านที่ดูแลอพาร์ตเมนต์พูดขึ้นเมื่อเห็นฉันกำลังโกยเห็ดชิ้นสุดท้ายลงจาน นี่เป็นมื้อเช้ามื้อแรกของเราที่เมืองเฟทิเย (Fethiye) เมื่อมาถึงที่นี่ จังหวะเดินทางของเราก็ช้าลง 

เฟทิเยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของตุรกี ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมืองนี้ต้อนรับเราด้วยอากาศเย็นสบายในฤดูใบไม้ร่วง ผู้คนไม่พลุกพล่าน มีผืนน้ำใสต้องประกายแดด เทือกเขาทอรอสสูงตระการ มีสถานที่เที่ยวที่รอให้ไปหาอย่างไม่เร่งเร้า และขนส่งมวลชนอย่างมินิบัสที่ทั้งสะดวกและรวดเร็ว

ทำเลของเมืองนี้ทำให้มันเหมาะจะเป็นที่พักเพื่อไปเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังหลายแห่งที่อยู่ใกล้กัน ใครชอบเดินป่าก็มีทางเดินชมธรรมชาติสวยระดับโลกที่เรียกว่า “ลิเชียน เวย์” (Lycian way) ลัดเลาะไปตามชายฝั่ง นั่งมินิบัสไปสักพักก็ถึงเมืองร้างคายาคอยและทะเลสาบน้ำเค็มสีฟ้าแห่งเออลุเดนีซ เลยไปหน่อยจะพบเมืองโบราณชื่อทลอสและช่องแคบระหว่างหุบเขาที่มีลำธารไหลผ่านอย่างโกรกธารซัคลึแคนต์ ส่วนคนขี้เกียจคงดีใจเมื่อได้รู้ว่าสุสานริมผาแบบลิเชียและพิพิธภัณฑ์เฟทิเยอยู่ในตัวเมืองนี่เอง วันอังคารยังมีตลาดนัดขายผัก ผลไม้ทั้งแห้งและสด ชีส น้ำผึ้ง และองุ่นดำที่หวานจนเสียวฟันโลละ 35 บาท เกิดวันไหนนึกครึ้มใจอยากว่ายน้ำก็โดดลงเรือแท็กซี่ไปหาดชาลิช ซึ่งเป็นหาดเดียวในเฟทิเย ไกด์บุ๊กพูดถึงหาดนี้ว่า “ไม่มีอะไรพิเศษ แต่เป็นที่ที่ใกล้ที่สุดหากอยากว่ายน้ำ” เอาน่า อย่างน้อยน้ำที่ชาลิชก็ใส มองไปก็เห็นภูเขาที่ปกคลุมด้วยต้นสน แค่นี้ใครเล่าจะไม่รักเฟทิเย

คาเฟ่ริมอ่าว

เที่ยงวัน เรามานั่งที่คาเฟ่ริมอ่าวเฟทิเยและสั่งแซนวิชปลาพร้อมชาสองแก้ว เนื้อปลาสดชิ้นโต สด เค็มนิดๆ ใครมาแถวอ่าวนี้เขาแนะนำให้มากินแซนวิชปลาที่นี่ เนื้อปลาที่นี่คุณภาพดีกว่าเนื้อปลาแถวสะพานกาลาตาในอิสตันบูลที่นักท่องเที่ยวนิยมไปกินกันเสียอีก 

เรากินปลา มองน้ำใสแจ๋วและเรือสีขาวประดับธงตุรกีที่จอดเรียงรายริมอ่าว พลันก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากสองโต๊ะถัดไปว่า “แวร์อาร์ยูฟรอม” เราตอบไปว่าไทยแลนด์ การตะโกนโต้ตอบไปมานำมาสู่การทำไม้ทำมือชวนให้ย้ายโต๊ะ แบ่งปันองุ่นดำและลูกพลัม เลี้ยงน้ำชาและถั่วตัด มีคนร้องเพลง Kardelen ที่แปลว่าดอกสโนว์ดรอปให้ฟัง และมีคนสอนประโยคฉันรักเธอในภาษาตุรกีให้

เพื่อนใหม่ของเราคือชายวัยเกษียณชาวตุรกีสามคนที่มานั่งร้านกาแฟริมอ่าวนี้ทุกวัน ลุงมูฮัมหมัดแนะนำร้านอาหารอร่อยราคาไม่แพงที่คนแถวนั้นนิยมไปกินกัน ร้านชื่อ Lezzet Lokantasi เสิร์ฟอาหารเป็นเซ็ต มีกับข้าวหนึ่งอย่าง ข้าวหนึ่งอย่าง สลัดหรือโยเกิร์ต ทั้งหมดแค่ 10 ลีรา ใครไปแถวนั้นแล้วเจอลุง ฝากบอกด้วยว่ามีคนคิดถึง

พิพิธภัณฑ์เฟทิเย

เล็กแต่ดี แถมเข้าฟรีอีกด้วย คือคำจำกัดความของพิพิธภัณฑ์เฟทิเย (Fethiye Museum) โบราณวัตถุที่นี่มาจากแถบลิเชีย ทั้งในยุคสัมริด ยุคก่อนคลาสสิกและยุคคลาสสิกของกรีก ยุคโรมัน ทั้งยังมีโบราณวัตถุที่ค้นพบที่ทลอสและคอนอส สวนรอบพิพิธภัณฑ์ยังมีโลงศพหินที่ฝาแกะสลักงดงาม โบราณวัตถุที่จัดได้ว่าสำคัญที่สุดของที่นี่คือแผ่นศิลาจารึกสามภาษา โดยข้อความที่สลักบนศิลานี้มีทั้งภาษาลิเชีย กรีก และแอราเมอิกทำให้มันเป็นกุญแจสำคัญในการอ่านภาษาลิเชียอันลึกลับ 

ทุกวัตถุที่นำมาจัดแสดงมีคำบรรยายภาษาอังกฤษประกอบ ใครที่จะไปดูหลุมฝังศพริมผาของอามินตัสอยู่แล้วก็ควรแวะไปที่นี่ด้วยเพราะอยู่ใกล้กันมาก

สุสานหินริมผาของอามินตัส 

สุสานสไตล์ลิเชียของอามินตัส (Amyntas) ตั้งอยู่บนเนินเขา โดดเด่นด้วยสถานที่ตั้ง (วิวดีขนาดนี้ วิญญาณคงสงบสุข) การตัดหินทำเลียนแบบบ้าน และภาษากรีกที่สลักไว้ว่า “อามินตัสบุตรชายของเฮอร์มาจิออส” 

สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้อยู่ในตัวเมือง สุสานริมผาสวยมีเสน่ห์ แต่ที่ประทับใจกว่าคือวิวอ่าวเฟทิเยจากเนินเขาตรงนี้ มองไปหลังคาอิฐสีส้ม ท่าเรือ ผืนน้ำสีฟ้า เรือแล่นผ่านผิวน้ำทิ้งรอยยาวสีขาวเป็นสาย เรือเหล่านั้น มองจากที่ไกลเห็นเป็นลำเล็กๆ เหมือนถูกจับวางอยู่ตรงนั้นตรงนี้ เทือกเขาทอรอสโอบอ่าวเฟทิเยไว้ในอ้อมกอด ภูเขาลูกใกล้หน่อยเขียวขรึ้มด้วยต้นไม้ ลูกที่อยู่ไกลออกไปเลือนรางด้วยม่านหมอก มีลมโชยเบาๆ รอบตัวเงียบสงบ มาชมสุสานโบราณ แต่เรากลับหันหลังให้สุสาน และหันหน้ามองทะเลเสียนี่ 

หมู่บ้านร้างคายาคอย 

วันรุ่งขึ้นเราใส่บิกินีแทนชุดชั้นใน โยนผ้าเช็ดตัวและลองเท้าแตะลงกระเป๋า เราจะไปว่ายน้ำกันที่ทะเลสาบสีฟ้าแห่งเออลุเดนีซ (Oludeniz) แต่ก็ไม่ลืมเตรียมหมวกและใส่รองเท้าผ้าใบไปด้วย เพราะเราจะแวะที่หมู่บ้านร้างคายาคอย (Kayakoy) เสียก่อน

“ลองจินตนาการถึงชีวิตหมู่บ้านนี้เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เมื่อคนงานกลับจากไร่หรือแต่งตัวไปโบสถ์วันอาทิตย์”

ไกด์บุ๊กบอกให้เราใช้จินตนาการแปลงบรรดากล่องสี่เหลี่ยมไร้หลังคาจำนวน 600 กว่าหลังให้เป็นหมู่บ้านบนเนินเขาที่คึกคักเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวเมื่อสมัยเกือบร้อยปีก่อน คายาคอยทุกวันนี้คือเนินเขาที่ประกอบด้วยบ้านร้าง บ้างกำแพงหายไปด้านหนึ่ง กำแพงบางด้านเจาะช่องสี่เหลี่ยมให้พอเดาได้ว่าเป็นหน้าต่าง เราเดินบนทางเดินแคบที่ปูด้วยหินที่แซมด้วยหญ้าป่า วัชพืช และไลเคน มีโบสถ์ มองลงไปเห็นวิวสวยของหุบเขาเบื้องล่าง

ที่นี่คืออดีตหมู่บ้านชาวกรีกผู้นับถือศาสนาคริสนิกายออร์โทดอกซ์ ซึ่งถูกบังคับให้ย้ายออกจากในปี 1923 จากโครงการแลกเปลี่ยนประชากรระหว่างสาธารณรัฐตุรกีและกรีก แต่ชาวมุสลิมจากมาซิโดเนียที่มาถึงเห็นว่าผืนดินบริเวณนี้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ที่ตนเคยอยู่ จึงทยอยกันย้ายออกไป ทิ้งให้คายาคอยเป็นหมู่บ้านร้างจนถึงทุกวันนี้ 

ใครที่ชอบเดินป่า ว่ากันว่าทางเดินจากคายาคอยไปยังทะเลสาบสีฟ้าแห่งเออลุเดนีซนั้นเลาะไปตามชายฝั่งที่มีทัศนียภาพตื่นตายิ่งนัก มองเห็นวิวทะเล และผ่านป่าสน ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง เราเองก็จินตนาการไว้ว่าจะทำอย่างนั้น แต่นั่นเป็นก่อนที่เราจะเห็นสองนักท่องเที่ยวชาวสก็อตส์หน้าเกรียมแดดสวนทางมา เลยถามว่าการเดินทางระหว่างคายาคอยไปเออลุเดนีซเป็นอย่างไร ได้คำตอบว่าทางข้างหน้ามีทางแยกมากมายจนต้องขอยอมแพ้ เรามองทั้งสองหัวจรดเท้า เห็นรองเท้าเดินป่า เป้ กระติกน้ำ และท่าทางสมบุกสมบันของทั้งสองมิทันไรก็ได้ข้อสรุปว่า เราขอยอมแพ้ด้วยแล้วกัน เราจึงเปลี่ยนแผนมานั่งมินิบัสจากคายาคอยไปยังเออลุเดนีซแทน

เออลุเดนีซ

หาดที่นี่ประกอบด้วยกรวดสีขาวและเศษบุหรี่ ตกแต่งด้วยเตียงผ้าใบเรียงเป็นตับและสาวน้อยสาวใหญ่ในชุดบีกินี ฝั่งหนึ่งเป็น “ทะเลสาบน้ำเค็มสีฟ้า” หรือ Blue Lagoon อันเลื่องชื่อ ตื้นเหมือนสระว่ายน้ำเด็ก อีกฝั่งหันออกทะเล น้ำที่นี่สีฟ้าอมเขียวสมคำร่ำลือ 

ทะเลแห่งนี้ชวนมองด้วยภูเขาบาบาสูงตระหง่านและร่มร่อนหลากสีที่แต้มสีสันให้แบ็กกราวด์สีเขียว ที่นี่เป็นแหล่งยอดนิยมของการเล่นร่มร่อน (paragliding) ระดับต้นๆ ของโลก เอาเถอะ อย่าร่อนไปชนภูเขาบาบาแล้วกัน เห็นสวยอย่างนี้ ชนแล้วเจ็บเอาการ “เมื่อกี้มีคนร่อนไปชนภูเขา ก่อนชนก็เหวี่ยงใหญ่เลย” เพื่อนร่วมทางที่ไม่พิศวาสการว่ายน้ำของฉันเล่า เขาว่าเหตุเกิดขณะตนกำลังจิบน้ำทับทิมสีเข้มเหมือนเลือดและอ่านหนังสือพลางรอใครบางคนว่ายน้ำ

ทลอส

รถมินิบัสจอดส่งเรากลางทาง “จากตรงนี้เดินไปอีกสี่กิโล อย่าลืมนะว่ารถเที่ยวสุดท้ายคือหกโมงครึ่ง” คนขับบอก แต่ที่เขาไม่ได้บอกด้วยคือสี่กิโลที่ว่าคือการเดินขึ้นเขาอย่างต่อเนื่อง ทางราบมีอยู่เพียงไม่กี่ร้อยเมตรแรก เราผ่านต้นทับทิม สวนมะเขือเทศ ไร่ข้าวโพดขนาดเล็ก ผ่านแกะขาวแกะดำ ผ่านหมา ไก่ วัว ผ่านกลิ่นขี้วัว ยิ่งเดินสูงขึ้นไปทิวทัศน์ด้านล่างดูก็อลังการขึ้นเรื่อยๆ แต่ความเหนื่อยทำให้เราไม่เห็นความงาม จนเมื่อใกล้จะถอดใจแล้วเท่านั้น ก็มีลุงคนหนึ่งชะลอรถแล้วเอ่ยคีย์เวิร์ดว่า “ทลอส?” เยส เยส ทลอส ฉันดีใจแบบไม่ให้ออกนอกหน้า เมืองโบราณทลอส (Tlos) อยู่นั่นไง แต่ที่ขโมยซีนทลอสคือหมาน้อยตัวสีขาวที่ยืนทำหน้าทำตาน่ารักอยู่หน้าเพิงขายตั๋ว ด้วยความใจอ่อนจึงแบ่งขนมปังซีมิตที่พกเป็นเสบียงมา กินเสียด้วย หมาบ้าอะไรกินขนมปัง ไม่หิวจริงก็คงตะกละมาก หลังจากเสียเสบียงเกือบทั้งหมดที่พกมา คนที่มาด้วยก็ซื้อหนังสือเกี่ยวกับทลอสหนึ่งเล่ม เจ้าหน้าที่ที่นั่นแอบให้เราเข้าชมทลอสฟรี! ไม่รู้เป็นเพราะเราอุดหนุนหนังสือหรือเพราะเห็นว่าฉันเป็นคนมีน้ำใจต่อหมา (เดาว่าอย่างหลัง)

ทลอสคือเมืองโบราณบนเนินเขาอัคดัก (Akdağ) ด้านบนสุดคือซากป้อมปราการออตโตมัน มีสุสานริมหน้าผาที่เกิดจากการตัดหินเป็นรูปบ้านไม้สมัยโบราณแบบลิเชีย ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งอะโครโพลิสซึ่งประกอบด้วยอัฒจันท์ความจุ 6,000 ที่นั่ง มีโรงอาบน้ำ ตลาดและที่ชุมนุม รวมทั้งวิหารบูชาเทพเจ้า และเสาหินโบราณที่ตอนนี้กลายเป็นที่ตากพริกของใครไปเสียฉิบ

นอกจากซากปรักหักพังแล้ว ภูมิทัศน์โดยรอบของที่นี่ยังมองลงไปเห็นวิวหุบเขาแซนทอส (Xanthos) บ่ายสองโมง อากาศกำลังสบาย แดดบ่ายทาบทาภูเขา ภูเขาบางลูกมีสีขาวโรยอยู่ด้านบนคล้ายน้ำตาลไอซิ่ง ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว หญ้ารอบทลอสกรอบเป็นสีเหลืองอร่าม ดูต้นสนนั่นสิ แล้วก็ต้นไม้ตรงนั้น ตรงโน้น และตรงนี้ ฉันอยากรู้จักชื่อต้นไม้ทุกต้นที่นี่

ขากลับเราพบอุปสรรคขวางหน้ามาในรูปหมาสีดำตัวใหญ่ ที่รอดเขี้ยวหมามาได้ไม่ใช่เพราะวิ่งเร็วหรือด้วยไหวพริบปฏิภาณ แต่เพราะเจ้าของหมารีบตามมาจับหมาได้ทัน ใครคิดจะเดินไต่เนินเขาไปทลอส โปรดระวังหมาด้วย ทั้งหมาน่ารักที่ทำให้เสียขนมและหมาดุที่ทำให้ใจเต้นรัว

ตลาดนัดวันอังคาร

การได้สำรวจอาหารการกินและชิมผลไม้ท้องถิ่นเป็นเรื่องสนุก เมื่อลุงที่ดูแลอพาร์ตเมนต์บอกเราว่าที่นี่มีตลาดสดวันอังคาร เราก็ตื่นเต้นและรอคอยเช้านี้

ของดีต้องไปเลือกแต่เช้า นี่คือกฎของการจ่ายตลาด 

เราได้องุ่นดำ ลูกพลัม ทับทิม อินทผาลัมแห้ง เห็ดแชมปิญอง ซูกินี และมะเขือม่วง ผักผลไม้ที่นี่สดและถูก กองโตแข่งกันอวดสีสัน องุ่นสีเขียวและดำ มะเขือม่วงสีม่วงเข้มผิวเป็นเงา มีชีสมากมายขนมาเต็มกระบะ ตลาดนัดมีทุกวันอังคาร เปิดตั้งแต่เช้ายันเย็น ตั้งอยู่ข้ามสนามกีฬาของเมืองนี่เอง (ดูพิกัด)

เฟทิเย่อาจไม่ใช่เมืองใหญ่เหมือนอันทาลยา ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนอิสตันบูลหรือคัปปาโดเกีย แต่หากคุณเป็นคนชอบเดินทางจังหวะช้าๆ มีความสุขกับการนั่งมองน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์สะท้อนประกายแดด ชมวิวเทือกเขาแนวยาวที่ปกคลุมด้วยต้นสน หรืออยากไปแหล่งท่องเที่ยวทั้งหลายที่เราอุตส่าห์สาธยายมาละก็ จำชื่อนี้เอาไว้…เฟทิเย