“ปีใหม่ไทยแล้ว อยากได้อะไรไหม”
ในโมงยามของเทศกาล เราอาจใช้คำถามนี้พูดคุยกับครอบครัวในวันหยุดยาว หรือถามเด็กน้อยที่วิ่งกรูเข้ามาเวลาอยากได้ของเล่นหรืออะไรอื่นๆ ถึงจะเป็นคำถามที่ดูไม่ใหญ่โตโก้หรู แต่อย่างน้อยเราคงได้รู้ว่าพวกเขาคาดหวังอยากได้สิ่งใด
แต่หากมองย้อนมายังชุมชนหลังโรงแรมรัตนโกสินทร์ช่วงสงกรานต์ปีนี้ น้อยคนนักที่จะออกมาเฉลิมฉลอง กลิ่นอายของเทศกาลถูกแทนที่ด้วยกลิ่นปลาร้า ไก่ย่าง และกลิ่นน้ำมันนวด ตามด้วยเสียงเคาะ เสียงตีจากร้านขายอาหาร ผสมปนเปไปกับเสียงเชื้อเชิญลูกค้าตามร้านรวงในตรอกสาเก
ผู้อาศัยในชุมชนแห่งนี้ดูท่าจะไม่ค่อย ‘อิน’ กับสงกรานต์ และดูเหมือนพวกเขากำลังอยู่ในเวลางานมากกว่าจะหยุดยาวเฉลิมฉลองเหมือนกับคนอื่นๆ
The Momentum พาเดินสำรวจความคาดหวังของ ‘คนธรรมดา’ ในตรอกสาเก ว่าพวกเขาคาดหวังอะไรในปีใหม่ไทยปีนี้บ้าง
ริมถนนราชดำเนินของวันที่ 11 เมษายน 2567 ป้ายประกาศริมถนนแจ้งว่าจะมีขบวนสงกรานต์ผ่านถนนเส้นดังกล่าวในช่วงเย็น กลุ่มพ่อค้าแม่ขายเริ่มตั้งแผงริมถนน ที่นั่งอัฒจันทร์ถูกนำมาวางตั้งไว้เตรียมรองรับผู้ชมขบวนจากทั่วทุกสารทิศ ใต้เงาไม้ริมถนนราชดำเนินมีเสียงกวาดใบไม้ดังขึ้นเป็นระยะๆ
เจ้าของเสียงคือ ‘เปิ้ล’ และเพื่อน พนักงานสวมเสื้อกั๊กเขียวส้มที่กำลังปฏิบัติงานริมถนนราชดำเนิน
เปิ้ลไม่ได้จับขันหรือถือปืนฉีดน้ำเข้าร่วมเทศกาลเหมือนคนอื่น หากกำลังจับไม้กวาดกับที่ตักเศษใบไม้ทำหน้าที่ในฐานะพนักงาน กทม.ที่มีหน้าที่ดูแล ‘ภาพลักษณ์’ โดยรวมของงานวันนี้
“ร้อนไหมคะ” เราเดินเข้าไปถามพี่พนักงาน 2 คน
“ร้อนมาก แต่ก็อยู่สุขสบายดีนะ”
ท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุและหมอกควัน ทำเอาพนักงานหญิงและชายเหงื่อไหลโชกตัว เราอดคิดไม่ได้ว่า การทำงานภายใต้สภาพอากาศที่บั่นทอนสุขภาพเช่นนี้เป็นเวลานาน เขาจะได้ค่าแรงสมน้ำสมเนื้อหรือไม่
“เหนื่อย” พนักงานหญิงเอ่ยกับเรา พรางใช้ผ้าซับเหงื่อที่เกาะแก้ม “พนักงาน กทม.งานหนักนะ เวลามีงานที พวกพี่ก็กวาดไม่หยุด แทบไม่ได้พักกันเลย พี่เข้างานบ่าย เลิกอีกทีก็สามทุ่ม”
การทำงานในเมืองหลวงอาจเป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคน เพราะมองว่า เงินเดือนสูง โอกาสก้าวหน้าเติบโตมีมากกว่า แต่สงกรานต์นี้สำหรับพนักงานทำความสะอาดสังกัด กทม.อย่างเปิ้ล ยังคงคาดหวังให้ กทม.เพิ่มค่าตอบแทนให้สมน้ำสมเนื้อกับงานที่เธอทำอย่างเหน็ดเหนื่อย
“ขอให้เพิ่มเงินเดือนขึ้นมาหน่อย อยากให้ตัวเองมีเงินเดือนเยอะๆ
“ขอให้มีโบนัสออกปีหน้า ขอให้ปรับเงินเดือน” เสียงจากความคาดหวังของพนักงาน กทม.
ก่อนจากกัน เปิ้ลบ่นให้เราฟังเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำงานในช่วงเทศกาลที่หนักหน่วง ทั้งการทำงานค่ำมืดซึ่งควรเป็นเวลาหัวถึงหมอน และในคืนวันถัดไป พนักงาน กทม.สาวรายนี้ต้องทำงานล่วงเวลาถึงตีห้าเลยทีเดียว
ณ ตรอกสาเก ตั้งแต่ปากซอย ยันท้ายซอยเรียงรายไปด้วยเก้าอี้สีน้ำเงินและแดง ลักษณะของเก้าอี้เหมือนกันแทบทุกตัว บางตัวมีเจ้าของ บางตัวตั้งวางเฉยๆ ไร้เงาคนมานั่ง
“มันเป็นเก้าอี้ของพนักงานบริการ” เราพูดกับช่างภาพ พลางชายตามองเก้าอี้ที่ตั้งเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบไปจนสุดซอย เสมือนศิลปะจัดวางแขนงหนึ่ง
ปากซอยติดคลองหลอด ‘อร’ พนักงานบริการหญิงวัยกลางคนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมฟุตบาท
เธอปล่อยผม อำพรางใบหน้าด้วยหน้ากากอนามัย มือข้างหนึ่งกำลังพัดวี ส่วนมืออีกข้างกำกระเป๋าไว้ ขณะที่สายตาจ้องมองมาทางเราอย่างหวาดระแวง อาจเพราะเราถือกล้องถ่ายรูปอยู่ในมือ
เราเดินเข้าไปพูดคุยกับอรจนพอบรรเทาความระแวง หลังพูดคุยจึงทราบว่า ก่อนหน้านี้อรถูกสื่อบางสำนักฉวยเก็บภาพขณะทำงานโดยไม่ขอความยินยอม
“เขาอยู่บนรถ แล้วถ่ายเรากับคนในซอยนี้ โดยไม่ขอก่อน” เธอพูด
เราชะงักชั่วครู่กับสิ่งที่ได้ยิน ย้อนคิดถึงจรรยาบรรณวิชาชีพของตัวเองอยู่เล็กๆ อย่างไรก็ดีวันนี้เราขออนุญาตสัมภาษณ์อรเรียบร้อย และเธอก็เต็มใจที่จะพูดกับเราโดยไม่ตะขิดตะขวง
“ตรอกนี้เปลี่ยนไปเยอะ คนไร้บ้านเยอะมาก จากเมื่อก่อนที่ไม่มีเลย แต่ทุกวันนี้เยอะจริงๆ คนไม่มีงานทำเลยกลายเป็นคนไร้บ้าน”
ตั้งแต่ตรอกสาเกไล่ยาวไปถึงริมถนนราชดำเนินเป็นที่หลับนอนของคนจร แต่ละคนจากบ้านมาด้วยหลายเหตุหลายผล บ้างเพราะพิษเศรษฐกิจ บ้างมีปัญหาครอบครัว ทำให้ทั้งซอยมีกลิ่นอายของการถูกทอดทิ้งลอยคลุ้งไปทั่ว
แต่สำหรับอร เธออยู่ที่ตรอกสาเกในวันนี้เพราะมีภาระต้องรับผิดชอบ
“พี่มีลูกหลาย คนบางคนเรียนจบแล้ว บางคนกำลังเรียน เขาไม่รู้ว่าพี่มาทำแบบนี้”
สงกรานต์ปีนี้ก็เป็นวันธรรมดาที่เธอยังต้องทำงานต่อ มีเพียงความคาดหวังเล็กๆ ที่หากดีขึ้นได้จริงตามที่เธอหวัง ไม่ใช่แค่กับอรเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ แต่จะดีสำหรับคนอื่นด้วยเช่นกัน
“อยากให้ประเทศชาติเปลี่ยน ถ้าธุรกิจดีขึ้น อยากให้ทุกคนจะได้ลืมตาอ้าปากได้”
อาคารเก่าผนังขึ้นราตั้งตระหง่านอยู่กลางซอย เสียงพระสวดจากวิทยุดังก้องไปทั่วบริเวณเสมือนต้องการให้คนในซอยได้ฟังร่วมกัน รถเข็นคลาสสิกสำหรับจำหน่ายเครื่องดื่มเย็นจอดสงบนิ่ง มียายชรายืนเงียบอยู่ข้างๆ
“สวัสดีค่ะ” เรากล่าวทักทาย
“หวัดดีจ้ะ”
วันนี้ ‘ป้าศรี’ ปิดร้าน อาจเป็นเรื่องปกติที่แรงงานพลัดถิ่นต่างพากันกลับภูมิลำเนาในวันสงกรานต์ แต่สำหรับป้าศรี เธอปิดร้านเพียงพักกายในช่วงเทศกาล ไม่ได้ออกเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด เพราะตึกเก่าตรงหน้าเรานี่แหละคือที่หลับที่นอนของเธอ
ป้าศรีหรือยายศรีตามแต่จะเรียกขาน เป็นที่รู้จักในฐานะของผู้ดูแลพนักงานบริการและคนจนเมืองในตรอกสาเก และอาคารเก่าขึ้นรานี้ก็รู้จักในฐานะศาลาพักใจของคนในละแวก วันนี้ตำแหน่งแห่งที่ของป้าศรียังคงเดิม มิได้ชราไปตามเวลา
“ป้าดูแลชุมชนคนยากคนจน คนที่อดอยากที่อยู่ที่นี่เราก็ช่วยเหลือเขาทุกอย่าง ถ้าเรามีกินเราจะให้เขากิน ถ้าเขามีเงินเขาก็จ่ายเรา ทั้งให้ทั้งจ่าย
“ชุมชนเรามีคนจนเยอะ คนรวยก็เยอะ แต่เขามองไม่เห็นรากหญ้า มองไม่เห็นว่าข้างล่างมันเป็นอย่างไร ข้างบนก็รวยล้นฟ้า กินอยู่บนออฟฟิศ เราก็กินตามถนนหนทาง กินผักกินหญ้า ไม่ได้ตาย”
ฟังดูเหมือนประชดชีวิต แต่สำหรับคนวัยเลข 7 อย่างป้าศรี นี่คงเป็นคำพูดที่จริงใจมากกว่าจะประชดประชัน อย่างไรก็ดี สิ่งที่ป้าศรีพูดเราปฏิเสธได้หรือไม่ว่า มันไม่ใช่เรื่องจริง ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงเท่าภูเขา หากคนรวยเหลียวมองคนจนบ้าง เราคงไม่ได้เห็นภาพความยากจนเกลื่อนกลาดอย่างทุกวันนี้ใช่หรือไม่
ด้วยค่าแรงที่ต่ำ แต่ยังต้องหาเลี้ยงชีพ ชุมชนนี้จึงไม่มีเวลาเฉลิมฉลองสงกรานต์เหมือนกับที่อื่นๆ แม้แต่สัญญะเล็กๆ ที่บ่งบอกว่าเราอยู่ในช่วงสงกรานต์ อย่างการเปิดเพลงธีมปีใหม่ไทย ก็ถูกกลบทับด้วยเสียงสวดมนต์จากวิทยุป้าศรี ที่ก็ไม่ได้เฉลิมฉลองกับเขาเช่นกัน
“ความสนุกสนานเราได้ทำมาแล้วในสมัยก่อน ตอนนี้เราแก่แล้ว เราไปไหนมาไหนลำบาก เกะกะเขา เดินก็ลำบาก กินก็ลำบาก กินน้อยอยู่น้อยพอตัวแล้ว” ป้าศรีบอกกับเรา ก่อนเราจะถามต่อ “แล้วป้าศรีหวังอะไรกับสงกรานต์ปีนี้หรือเปล่า”
ป้าศรีฉุกคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบว่า “ไม่แล้ว เราแก่แล้วไม่คาดหวังอะไร แค่นี้ก็พอ ขอให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ก็พอแล้ว” หญิงชรากล่าว พร้อมส่งคำอวยพรให้คนไทยให้ทำมาค้าขายขึ้น อย่าทะเลาะเบาะแว้ง และจงปล่อยวาง
ก่อนจากกัน เราถามป้าศรีว่า จะอยู่ตรงนี้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาวสาเกไปจนถึงร้อยปีหรือไม่ ป้าศรีตอบทันควัน “โอ้ย ไม่เอาแล้ว พอแล้ว”
เราเดินออกจากบ้านป้าศรี ตรงมาตามถนนบูรณศาสตร์พร้อมกับช่างภาพ บนถนนที่ร้อนผ่าว บริเวณริมฟุตบาทสองข้างทางกลับถูกห่มด้วยผ้าสีสันต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ ไว้สำหรับเป็นทั้งที่นั่งและสำหรับจัดวางของเก่าเพื่อขาย ดูเหมือนว่าคนในชุมชนนี้จะทนแดดพอสมควร
บริเวณนี้ถือว่าคึกคักกว่าหน้าบ้านป้าศรีมาก แม้จะห่างกันไม่ถึงร้อยเมตรก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นเพราะบริเวณดังกล่าวเป็นตลาดขายของเก่า ของมือสอง สินค้ามีนานาประเภทตั้งแต่พระเครื่อง เครื่องไม้เหลา เสื้อผ้า และเครื่องประดับ
ขณะพ่อค้าแม่ค้าต่างใช้ฝีปากขายของกันจอแจ ชายผมสีดอกเลากำลังเอนกายนอนเงียบๆ ใต้ต้นลีลาวดี สายตาจ้องมองกิจกรรมของพ่อค้าแม่ค้าของเก่าริมถนน ขณะเดียวกันก็จ้องมาทางเราเป็นพักๆ จนอดไม่ได้ที่เราจะกล่าวทายทักทาย
“สวัสดีค่ะคุณลุง”
ชายวัยกลางคนเลิ่กลั่ก ขานตอบอย่างแผ่วเบา “ดีครับผม” ด้วยท่าทีเขินอาย เราถามไถ่เขาเล็กน้อยเพื่อเปิดบทสนทนาระหว่างกัน เริ่มจากการแนะนำตัว ไปจนถึงถิ่นที่มา ได้ความว่าชายตรงหน้ามีนามว่า ‘คุณเล็ก’ เป็นผู้รับหน้าที่จัดแจงให้กับผู้ค้ามากรายในตลาดแห่งนี้มาหลายปี ไม่แปลกที่เขาจะเหม่อมองผลงานฝีมือตัวเองภายใต้เงาไม้อย่างเงียบๆ
“ผมรับจ้างทำตลาดให้เขาวันละห้าร้อยบาท แค่ตั้งตลาดให้เขา”
คุณเล็กเดินทางจากสุรินทร์เข้าเมืองหลวงตั้งแต่อายุ 18 ปี และผ่านมามากกว่า 12 ปีแล้ว ที่คุณเล็กเป็นคนตั้งโต๊ะ ยกของ ปูพรมให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าของเก่าในตรอกสาเก เขาจึงเห็นความเคลื่อนไหวของตลาดแห่งนี้เรื่อยมา
“ตลาดนี้บูมอยู่พักหนึ่ง คนทั้งเยอะทั้งแน่น ของที่ขายเป็นของมือสอง มีทั้งพระ ทั้งสร้อย แต่ก่อนมีเพชรหลุดมาด้วย มีคนเคยได้ แต่ผมไม่เคยได้เลย ได้แต่ทองสลึงหนึ่ง” (หัวเราะ)
เช่นเดียวกับพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ คุณเล็กไม่ได้รู้สึกร่วมกับเทศกาลสงกรานต์สักเท่าไรนัก ด้วยวิถีของเทศกาลในสมัยนี้แตกต่างกับยุคของแกอยู่มากโข แกเติบโตมากับการก่อเจดีย์ทราย เข้าวัดทำบุญในวันสงกรานต์ ไม่แปลกที่คุณเล็กจะมองว่านี่ไม่ใช่วันของแก
เมื่อเราถามว่าคาดหวังอะไรกับสงกรานต์ปีนี้ แกคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะบอกกับเราว่า “อยากให้ตลาดเรามีคนเยอะๆ อยากจะให้เป็นแบบนั้น แต่มันก็ไม่เป็น มันลำบาก เพราะเศรษฐกิจแบบนี้เขาก็รู้กันอยู่แล้ว มันค่อยเป็นค่อยไป จะให้มันบูมก็คงเป็นไปไม่ได้”
“ก็ขายพวกมาม่า ปลากระป๋อง น้ำมัน น้ำปลา ข้าว หลายอย่างที่เขาแจกมา แล้วเอามาขายกัน”
‘ลุงตี๋’ พูดกับเราอยู่ตรงปากซอย โดยมีพี่วินมอเตอร์ไซค์ และกลุ่มหญิงสาวอีกสองสามคนนั่งฟังอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กับการได้ฟังคุณลุงอารมณ์ขันยืนพูดอย่างสนุกสนาน
ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัด เราจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนจร คนไร้บ้าน ที่อาศัยฟุตบาทหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์เป็นที่หลับนอนจะอยู่กันอย่างไร ในสภาวะเช่นนี้
“ร้อนมาก สองสามวันมานี้อากาศร้อน คนก็ไม่มีที่จะอยู่ อาศัยสังกะสีบังแดดได้บ้าง อากาศมันเปลี่ยนไป มันร้อนมาก” ลุงตี๋พูดกับเราท่ามกลางอากาศที่เดือดจัด
ครอบครัวของลุงตี๋เป็นชาวจีนอยู่ตลาดพลู ลุงตี๋ออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 13 ย่าง 14 โดยการเสี่ยงทายรถเมล์ปากซอยหน้าบ้าน หากรถสายไหนมาก่อน ลุงตี๋จะเดินขึ้นรถสายนั้นโดยไร้จุดหมายปลายทาง มีเพียงความคิดลึกๆ ว่า “ถ้าตรงไหนคนลงเยอะ ก็ลงตรงนั้น”
เมื่อเราถามลุงตี๋ว่าสถานการณ์ค้าขายปีนี้เป็นอย่างไร แกตอบอย่างทันควันว่า “ปีนี้ถือว่าแย่กว่าทุกปี ทุกปีพออยู่ได้ แต่ปีนี้แย่มาก แม่ค้าพวกนี้หากินไม่ได้”
สำหรับพื้นที่หลับนอนของลุงตี๋ คงไม่พ้นบริเวณริมถนนราชดำเนิน มีเพียงรถเข็นและเก้าอี้พิงหลังเป็นเพื่อนคู่ใจ ลุงตี๋หาเงินเลี้ยงชีพด้วยการเก็บขวดขาย โดยไร้การขับไล่จากเทศกิจ เช่นเดียวกันกับคนไร้บ้านในละแวกเดียวกัน นอกเสียจากว่าบุคคลนั้นจะขี้เยี่ยวไม่เป็นที่ ก็มีสิทธิถูกไล่
จริงอยู่ ที่ภาพคนไร้บ้านอาจไม่เจริญหูตาใครมากนัก แต่ในสังคมที่เหลื่อมล้ำเช่นนี้ พื้นที่ริมอาคารฝั่งพระนครเปรียบเสมือนบ้านอีกหลังของคนจร พวกเขาอยู่กันอย่างเจียมตัว และไม่ทำร้ายใครหากไม่ถูกรบกวน
สำหรับปีใหม่ไทยปีนี้ พ่อค้าพเนจรไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากคนคอยรับฟังคำบ่นพึมพำของแกในเรื่องการค้าขายตามประสาพ่อค้าหาเช้ากินค่ำ
“เงินทองไม่ค่อยมี เราอยู่สภาพนี้ เราก็อยู่อย่างนี้ ค้าขายไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนขายดี เดี๋ยวนี้แย่ จะเอานู่นเอานี่ไม่ได้ ผมก็ยังอยู่ได้ อยู่แถวนี้ทุกปี”
ฟังดูเหมือนตอบไม่ตรงคำถาม แต่หากหยั่งลึกไปในคำตอบจะพบว่า คำพูดของลุงตี๋แฝงไปด้วยความผิดหวังที่มาจากความคาดหวัง เมื่อค้าขายไม่ดี นั่นหมายความว่าทรัพยากรดื่มกินสำหรับคนพเนจรรายนี้ก็จะเข้าถึงยากขึ้นไปอีกขั้น
จากความเหนื่อยล้า เหงื่อตกกันมากับช่างภาพเกือบครึ่งวัน เรากำลังจะถอดใจและเดินขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน ทันใดนั้นช่างภาพเอ่ยขึ้นมาว่า “แล้วคนขายหวยล่ะ” ด้วยพลังที่ยังพอมีเหลือ และพลังของช่างภาพที่ยังไม่ลดละ ผู้เขียนตอบรับตามหาคนขายหวยเพื่อพูดคุยกับเขาทันที
ก่อนจะเคลื่อนขบวนสงกรานต์ เราพบกับ ‘ป้าจิตต์’ แม่ค้าขายลอตเตอรี่บริเวณป้ายรถเมล์ เธอกำลังนั่งอัฒจันทร์ที่เตรียมไว้สำหรับนักท่องเที่ยว เธอไม่ได้มารอดูขบวนสงกรานต์เหมือนคนอื่นๆ บนอัฒจันทร์ แต่กำลังรอรถเมล์เตรียมจะออกจากถนนราชดำเนิน ก่อนที่ขบวนสงกรานต์จะทำให้ถนนทั้งเส้นเป็นอัมพาต
“เป็นอย่างไรบ้างคะวันนี้ ขายดีหรือเปล่า” เราถาม
“ก็ดีนะ ดีขึ้นด้วย” ป้าจิตต์ตอบพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะบอกสถานที่ตั้งแผงกับเราเพื่อโปรโมตแผงลอตเตอรี่ในสองมือของแก
“ป้าขายแถววรจักร หน้าธนาคารกสิกรนะ โปรโมตก่อนคนเขาจะได้ไปซื้อ”
ในวันสงกรานต์ ป้าจิตต์แต่งกายเข้าธีม เสื้อผ้าสีสันสดใสรับหน้าร้อน บวกกับการแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินผิวสีสันสดใสเข้ากับเทศกาล
สำหรับสงกรานต์ปีนี้ ป้าจิตต์ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ แกบอกกับเราว่า “เราไม่คาดหวังอะไร แค่ขอให้ตัวเองไม่มีอุปสรรคในการดำเนินชีวิตก็พอแล้ว” พร้อมทั้งอวยพรให้คนไทย “มีความสุข คิดสิ่งใดก็ขอให้สมปรารถนา ถ้าซื้อหวยก็ขอให้ถูกหวย ขอให้ถูกรางวัลที่หนึ่ง จะถูกเพราะซื้อกับป้าหรือว่าซื้อกับคนอื่นก็ได้” นี่คือความหวังดีเล็กๆ จากป้าจิตต์
อย่างไรก็ตาม ในตอนท้ายป้าจิตต์สะกิดเราเล็กน้อย “งวดนี้ป้าจะเล่น 16 61” เราตั้งใจจะซื้อเลขนี้ตามคำป้าจิตต์บอก แต่โชคไม่ดี เลขนี้ถูกซื้อไปแล้วก่อนหน้า
Tags: กรุงเทพมหานคร, คนไร้บ้าน, สงกรานต์, คนธรรมดา, ตรอกสาเก, พนักงานบริการ, Feature