คงจะไม่เป็นการพูดเกินจริงนัก หากจะบอกว่า Farewell My Concubine ได้สร้างปรากฏการณ์ในช่วงเวลาที่หนังออกฉาย เพราะไม่เพียงแต่มันเรื่องนี้จะคว้า palme d’Or รางวัลใหญ่ประจำเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปี ..1993 (ร่วมกับ The Piano ของ Jane Campion) แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเดินหน้าคว้ารางวัลจากเวทีใหญ่ๆ อย่าง the Golden Globe และ BAFTA ในสาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยม หรือกระทั่งการที่ Farewell My Concubine กลายเป็นหนังฮิตถล่มทลายในประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา แม้เป็นการเปรียบเทียบอย่างผิดฝาผิดตัวอยู่บ้าง แต่ปรากฏการณ์ของหนังเรื่องนี้ก็ชวนให้นึกถึงกระแส Parasite ของ Bong Joon-ho อยู่ไม่น้อย

Farewell My Concubine คือผลงานของ Chen Kaige ผู้กำกับคนสำคัญในกลุ่มผู้กำกับภาพยนตร์จีนรุ่นที่ห้า (ชื่อเรียกกลุ่มผู้กำกับภาพยนตร์ที่เข้าเรียนใน Beijing Film Acedemy ช่วงปี 1980s มีผู้กำกับคนอื่นๆ เช่น Zhang Yimou และ tian Zhuangzhuang) โดยหนังเรื่องนี้บอกเล่าเรื่องราวของสองดาราอุปรากรจีน Xiao Douzi (Leslie Cheung) กับ Xiao Shitou (Zhang Fengyi) ภายใต้ฉากหลังของประเทศจีนในช่วงศตวรรษที่ 20 ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วัยเยาว์ เมื่อแม่ของ Douzi มาฝากฝัง (แกมยัดเยียด) ลูกชายกับโรงเรียนฝึกงิ้วที่ Shitou ฝึกฝนอยู่ ในทีแรก ด้วยความที่ Douzi เป็นเด็กเงียบๆ และมีรูปร่างอ้อนแอ้น แถมยังมีแม่เป็นโสเภณี เขาจึงตกเป็นเป้าของการรังแกโดยทันที แต่โชคยังดีที่ได้ Shitou ที่มักจะถูกมองว่าเป็นหัวโจกคอยปกป้อง และเยียวยาความว้าเหว่ในจิตใจของ Douzi อยู่เสมอ วันแล้ววันเล่าที่แม้ว่าการฝึกงิ้วดำเนินไปอย่างเข้มงวด แต่มิตรภาพของเด็กชายทั้งสองก็ได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และแม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะถูกเฆี่ยนตีอย่างเจ็บปวด ก็คล้ายว่าความลุ่มหลงหมกมุ่นในศาสตร์งิ้วของ Douzi กลับจะยิ่งทวีขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว

เพราะกฎข้อบังคับที่ว่า ผู้ชายเท่านั้นจึงจะแสดงงิ้วได้ Douzi ผู้มีใบหน้า และร่างกายละม้ายคล้ายเด็กผู้หญิง เขาจึงถูกให้ท่องจำบทของตัวละครหญิงเพื่อแสดงบนเวที ผ่านการต้องกล่าวบทพูดซ้ำๆ ว่าโดยเนื้อแท้แล้วข้าเป็นเด็กผู้หญิง หาใช่ผู้ชาย” Douzi ถูกคาดหวังว่าเขาจะต้องกลายเป็นผู้หญิงจริงๆ ให้ได้เมื่ออยู่ในบทบาท ทว่าสำหรับ Douzi มันไม่ง่ายเลยที่จะพูดประโยคนี้ออกมาได้อย่างไหลลื่นไม่มีติดขัด ยิ่งเมื่อเขาไม่ได้เลือกที่จะสวมบทบาทนี้ด้วยตัวเองด้วยแล้ว การต้องกล้ำกลืนพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ว่าโดยเนื้อแท้แล้วข้าเป็นเด็กผู้หญิง หาใช่ผู้ชายจึงไม่ต่างอะไรจากคมมีดที่กรีดลึกลงไปเรื่อยๆ 

หลายปีผ่านไป Douzi กับ Shitou เติบโตขึ้นเป็นดาราอุปรากรจีนชื่อดัง พวกเขากลายเป็นที่คลั่งไคล้ มีแฟนๆ ติดตามอย่างคับคั่ง ไม่ว่าใครต่างก็หวังจะได้ดูสุดยอดการแสดงของ Shitou ในบทของกษัตริย์และ Douzi ในบทของนางสนมในช่วงเวลานั้น ไม่มีนักแสดงคนไหนจะทัดเทียมความสามารถของทั้งคู่ได้ กระทั่งความงดงามของ Douzi ก็ยังเป็นที่หลงไหลของสตรีทั้งแผ่นดิน พวกเขาสวมบทบาทของกษัตริย์กับนางสนมได้อย่างไม่มีที่ติ ทว่าบางครั้งความรุ่งโรจน์ก็มักจะมาพร้อมกับหายนะ เมื่อ Douzi ไม่อาจแยกขาดตัวตนของเขาออกจากบทบาทบนเวที Douzi หลงรักและหวงแหน Shitou เช่นเดียวกับที่นางสนมมีต่อกษัตริย์ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น คือนอกจาก Shitou จะไม่ได้รู้สึกอะไรต่อ Douzi แล้ว เขายังไปตกหลุมรัก ‘Juxian’ (Gong Li) นางคณิกาแห่งหอบุปผา 

สับสน ริษยา และอาบเคลือบด้วยโทสะ นั่นไม่เพียงจะนำมาซึ่งจุดสิ้นสุดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่ยังรวมถึงการล่มสลายทางตัวตนของ Douzi ที่ไม่อาจแยกขาดการแสดงกับความเป็นจริงได้อีกต่อไป

อย่างที่ได้กล่าวไป ฉากหลังของ Farewell My Concubine คือประเทศจีนในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การสิ้นสุดลงของระบอบสมบูรณายาสิทธิราชย์ในปี .. 1912 ไปสู่ยุคขุนศึก ไปสู่การบุกรุกของกองทัพญี่ปุ่น ไปสู่การเกิดขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์ ไปสู่การปฏิวัติวัฒนธรรม และไปสู่การเปิดประเทศต้อนรับระบบทุนนิยม หนังเรื่องนี้ครอบคลุมระยะเวลากว่าห้าสิบปี นับจากยุคขุนศึก ไปจนถึงการปฏิวัติวัฒนธรรม โดยที่ควบคู่กับระบบการปกครองของประเทศจีนที่เปลี่ยนแปลงไป Farewell My Concubine แสดงให้เห็นว่า คุณค่าของงิ้วก็ได้ถูกนิยาม ตีความ และให้ความหมายใหม่อยู่เสมอ กล่าวคือ ในยุคหนึ่ง งิ้วคือศาสตร์แห่งการแสดงชั้นสูง แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไป คุณค่าของงิ้วกลับค่อยๆ ตกต่ำ และเปลี่ยนไปสู่ความล้าสมัยเพราะสวนทางกับมุมมองการพัฒนาของประเทศจีนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ความเสื่อมสลายลงของงิ้ว สอดคล้องกับตัวตนที่ค่อยๆ พังทลายลงของ Douzi โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการสูญเสียพื้นที่ที่เขาจะสามารถเปิดเผยความรักที่มีต่อ Shitou ได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะสำหรับ Douzi แล้ว  แม้ว่าเขาจะหลงใหล และอยากจะครอบครอง Shitou สักเพียงใด หากในความเป็นจริง ความปรารถนาต่อเพศเดียวกันยังคงเป็นเรื่องต้องห้ามในสังคมจีน ภายใต้การสวมบทบาทของนางสนมเท่านั้น ที่ความรักของ Douzi จะกลายเป็นที่ยอมรับของสาธารณะชนได้ เป็นชั่วขณะหนึ่งบนเวทีเท่านั้น ที่สังคมจะยินยอมให้ Douzi บอกรัก Shitou ได้ เพราะพวกเขาต่างเชื่อกันว่า Douzi ไม่ใช่ผู้ชาย เขาได้กลายเป็นผู้หญิงไปแล้วจริงๆ 

ความรักจะเกิดขึ้นได้เมื่อมันเป็นเรื่องระหว่างผู้ชายผู้หญิง ในแง่นี้ความรักจึงมีลักษณะของการแยกขาด และกีดกันอยู่ในตัว Jonathan G. Dollimore นักทฤษฎีสังคมที่สนใจในประเด็นเพศภาวะกล่าวว่า ความเบี่ยงเบนทางเพศ (sexual deviation) มักจะถูกมองว่าเป็นการเบี่ยงเบนจากความจริงที่จะสามารถเข้าถึงได้ผ่านสภาวะของความปกติ (normality) Dollimore ชี้ว่า แม้ความเบี่ยงเบนทางเพศจะถูกยอมรับได้มากขึ้น แต่สังคมกลับยังจะมองการกระทำของคนกลุ่มนี้ว่ามีร่องรอยของความผิดปกติอยู่ Farewell My Concubine แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงที่แฝงซ่อนอยู่ภายใต้ความปกติของสังคมจีน และวาทกรรมของการมองรักร่วมเพศว่าเป็นเรื่องผิดปกติผ่านตัวละครอย่าง Douzi เราจะเห็นว่า เขามักจะสวมอาภรณ์ของนางสนมอยู่บ่อยๆ นั่นเพราะสำหรับ Douzi แล้ว เวทีการแสดงคือโลกที่เขาปรารถนาจะดำรงอยู่ตลอดไป แต่กับโลกแห่งความเป็นจริงกลับคือพื้นที่แห่งการขับไล่ไสส่ง ในขณะที่บนเวที Douzi ถูกรับรู้ว่าเป็นผู้หญิง หากนอกเวที เขากลับถูกมองว่าเป็นผู้ชายที่กักขังวิญญาณของผู้หญิงอยู่ภายใน 

Douzi ติดค้างอยู่ระหว่างสองโลก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่าอะไรคือการแสดง อะไรคือความเป็นจริง ซ้ำร้าย Douzi เองก็สับสนอยู่ระหว่างนิยามของความเป็นผู้ชาย กับความเป็นผู้หญิง เขาหลงรักเพศเดียวกัน แต่ในโลกแห่งความจริงนั้น ความรักประเช่นนี้กลับเป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นเขาจึงต้องหวนกลับไปสู่โลกของการแสดงที่เขาจะกลายเป็นผู้หญิงได้ ทว่าระยะเวลาบนเวทีการแสดงก็ไม่อาจจะคงอยู่ตลอดไป Douzi ไม่รู้เลยว่า ที่ทางของเขาควรจะอยู่ที่ไหน เพราะไม่ว่าจะเป็นนิยามของฝั่งใด ก็ดูจะไม่สอดคล้องกับคุณค่า และความหมายในตัวตนของ Douzi เลย

Farewell My Concubine จึงเป็นภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการนิยามที่กระทำต่อผู้ไร้เสียงซึ่งไม่อาจสร้างเสียงอันเฉพาะเจาะจงของตัวเองขึ้นมาตอบโต้กับอำนาจได้ ในแง่นี้ Douzi จึงคือผลผลิตของอำนาจแห่งการนิยาม ที่ไม่เพียงตั้งแต่เด็กๆ เขาจะถูกนิยามว่าเป็นเด็กผู้ชายอ้อนแอ้นเหมาะที่จะสวมบทบาทของผู้หญิง โดยที่ไม่มีใครสนใจความรู้สึกจริงๆ ของ Douzi เลยว่าเขายินดีจะแสดงเป็นผู้หญิงไหม ทุกอย่างดำเนินไปผ่านการบังคับ ยิ่งพอถึงจุดหนึ่งที่ Douzi ไม่อาจแยกขาดความรู้สึกจากบทบาทของนางสนม จากที่ครั้งหนึ่งเคยชื่นชม สังคมรอบๆ ก็เริ่มมองว่า Douzi วิปริต ความผิดปกตินี้ยิ่งจะชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อความจริงที่ว่า Douzi หลงรักผู้ชายด้วยกันได้ถูกเปิดเผยออกมา 

ภายใต้สังคมที่หมกมุ่นอยู่กับการแยกขาดทุกอย่างออกเป็นสอง ไม่ว่าจะเป็นความเป็นผู้หญิงความเป็นผู้ชาย ความเป็นปกติความผิดปกติ เหล่านี้ล้วนผลิตสร้างความรุนแรงที่มีแต่จะโบยตีปัจเจกผู้ไร้อำนาจอยู่ซ้ำๆ Douzi เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นเหยื่อที่ได้แต่กล่าวโทษตัวเองซ้ำๆ แค่เพราะตัวตนที่เขาเป็นไม่อาจระบุว่าเป็นหนึ่ง หรือเป็นสอง 

ในบทสัมภาษณ์หนึ่ง Chen Kaige กล่าวไว้ว่าในโลกของ Douzi ความแตกต่างกันระหว่างความจริงกับความฝัน ชีวิตกับเวทีการแสดง ผู้ชายกับผู้หญิง ชีวิตกับความตาย ความจริงกับจินตนาการ เหล่านี้ล้วนพร่าเลือน เขาไม่อาจแยกขาดตัวตนกับสิ่งอื่นๆ เขาได้สลายรวมชีวิตกับการแสดงงิ้วไปสู่สิ่งอื่น ดังนั้นเมื่อเราเฝ้ามององค์สุดท้ายที่เขาทำลายชีวิตของตัวเอง มันจึงดูเหมือนการแสดงที่งดงาม ก้าวลงจากเวทีเพื่อเข้าร่วมกับมวลชนคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ชะตาชีวิตของเขาถูกกำหนดให้เปลี่ยวเหงา และโดดเดี่ยว แต่ก็เพราะอย่างนี้เองที่ความซื่อตรง ความจริงใจ และกระทั่งความลำเอียง และริษยาของเขาจึงงดงาม และดูสมจริง Douzi เปิดเผยให้เราเห็นถึงธรรมชาติของความหลงใหล

ภายใต้บริบททางสังคมและวัฒนธรรมจีน ช่วงเวลานั้น การจะมองหาพื้นที่สำหรับ Douzi คงจะเป็นเรื่องยาก และอาจเป็นไปไม่ได้ แต่หากเราลองทบทวนโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับชีวิตของดาราอุปรากรจีนคนนี้ จะพบว่า แม้จะอยู่กันคนละบริบทของพื้นที่เวลา แต่ต้นเหตุของความรุนแรงเช่นนี้กลับยังปรากฏในสังคมปัจจุบัน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นผ่านอำนาจของการนิยามว่าอะไรปกติ อะไรไม่ปกติ เพศภาวะเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นที่ยังพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ที่แม้ว่าสังคมในปัจจุบันจะเปิดกว้างในประเด็นนี้ขึ้นก็จริง แต่หากมองให้ดีๆ ความรุนแรงต่อกลุ่มคนที่สังคมให้คำจำกัดความว่าเป็นเพศที่สามยังไม่ได้หายไปไหน มันยังคงฝังแน่นอยู่ในระดับวัฒนธรรม ผลิตซ้ำ และสร้างบาดแผลแก่กันอยู่เรื่อยไป 

ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของ Douzi จึงมีแต่ความโดดเดี่ยว โดยที่แม้ว่าความโดดเดี่ยวของนักแสดงอุปรากรจีนผู้โศกเศร้าคนนี้จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมของความรักอันงดงามเพียงใด หากนั่นก็ไม่ใช่ฉากชีวิตที่มนุษย์คนหนึ่งๆ ควรจะพบเจอเลยแม้แต่น้อย 

ยิ่งเมื่อมนุษย์คนนั้นมีจิตใจอันบริสุทธิ์งดงามอย่าง Douzi ด้วยแล้ว

Tags: