เมอร์เซอร์ บริษัทในเครือของ Marsh & McLennan Companies ผู้ให้คำปรึกษาและบริการเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพ การเงิน และอาชีพ ของบุคลากรในประเทศต่างๆมากกว่า 130 ประเทศ เผยผลการสำรวจอัตราค่าครองชีพประจำปี ซึ่งสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม 2562 

ผลออกมาพบว่า ใน 10 อันดับเมืองที่มีอัตราค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติ มีถึง 8 เมืองอยู่ในเอเชีย ซึ่งมาจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้นและราคาที่อยู่อาศัยที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยฮ่องกงครองตำแหน่งเมืองที่มีค่าครองชีพสูงสุด เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยที่สูงเกินเอื้อม และค่าเงินที่ตรึงไว้กับดอลลาร์สหรัฐ

ฮ่องกงมีราคาตั๋วภาพยนตร์ กาแฟ ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงแพงที่สุดในโลก

ส่วนกรุงเทพฯ ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 40 จากการย้ายถิ่นฐานของผู้อยู่อาศัยจากเมืองอื่นๆ และเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น ส่วนการผันผวนของค่าเงินและภาวะเงินเฟ้อมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

วัดอย่างไรว่าแพง?

ผลการศึกษาของเมอร์เซอร์ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือองค์กรนานาชาติและหน่วยงานรัฐบาลในการวางแผนค่าตอบแทนให้แก่พนักงานที่ย้ายไปประจำสาขาในต่างประเทศ โดยมีนิวยอร์กเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบอัตราราคา และใช้ดอลลาร์สหรัฐในการวัดการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินต่างๆ

การจัดอันดับอัตราค่าครองชีพในปีนี้ เก็บข้อมูลจาก 20 เมืองใน 5 ทวีปทั่วโลก วัดจากการเปรียบเทียบราคาของ 200 รายการภายใต้หมวดหมู่ที่อยู่อาศัย การเดินทาง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ในบ้าน และความบันเทิง

ในบรรดาเมืองใหญ่ทั่วโลก ฮ่องกงมีราคาตั๋วภาพยนตร์ กาแฟ ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงแพงที่สุดในโลก ในขณะที่นมในปักกิ่งมีราคาสูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 4.45 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราคาของนมในนิวยอร์กซึ่งอยู่ที่ 1.21 ดอลลาร์สหรัฐ

นมในปักกิ่งมีราคาสูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 4.45 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราคาของนมในนิวยอร์กซึ่งอยู่ที่ 1.21 ดอลลาร์สหรัฐ

เปิด 10 อันดับเมืองค่าครองชีพสูง

เมืองอื่นๆ ใน 10 อันดับแรก ได้แก่ โตเกียว (2) สิงคโปร์ (3) โซล (4) ซูริค (5) เซี่ยงไฮ้ (6) อาชกาบัต (7) ปักกิ่ง (8) นิวยอร์ก (9) และเซินเจิ้น (10) 

หลายคนอาจสงสัยว่าเมืองอาชกาบัตคือที่ไหน เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศเติร์กเมนิสถาน มีการไต่อันดับขึ้นมากที่สุด เนื่องจากการขาดแคลนสกุลเงินและราคาสินค้านำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น

เมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาต่างมีอันดับสูงขึ้นจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ และจากเมืองในภูมิภาคอื่นที่มีอันดับต่ำลง นิวยอร์กไต่ขึ้นมาอันดับที่ 9 ซึ่งสูงที่สุดในภูมิภาค ตามมาด้วยซานฟรานซิสโก (16) และลอสแอนเจลิส (18) 

สำหรับประเทศแคนาดา เมืองส่วนใหญ่ยังคงอันดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยแวนคูเวอร์ (112) ซึ่งรั้งตำแหน่งค่าครองชีพสูงที่สุดในประเทศ ตกลงไป 3 อันดับ โตรอนโต (115) ตกลงไป 6 อันดับ ในขณะที่มอนทรีออล (139) สูงขึ้น 8 อันดับ

คำว่ายุโรปแพง อาจไม่จริงเสมอไป เพราะซูริคเป็นเมืองเดียวในยุโรปเท่านั้นที่ติดหนึ่งใน 10 อันดับสูงสุดของเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด เมืองในยุโรปตะวันตก เช่น มิลาน (45) ปารีส (47) ออสโล (61) และแมดริด (82) ตกอันดับลงมาที่ 12, 13, 14, และ 18 ตามลำดับ

“แม้ว่าการเพิ่มสูงขึ้นของค่าครองชีพในเมืองส่วนใหญ่ของยุโรปอยู่ในระดับปานกลาง แต่ค่าเงินของยุโรปอ่อนลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินสหรัฐดอลลาร์ ซึ่งผลักให้เมืองส่วนใหญ่ตกอันดับลง ปัจจัยอื่นๆ เช่น ความมั่นคงและความกังวลเกี่ยวกับสภาวะทางเศรษฐกิจก็มีผลกระทบเช่นกัน” อิวอน เทรเบอร์ หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชั่นส์โมบิลิตี้ระดับโลก แห่งเมอร์เซอร์ กล่าว 

เทล อาวีฟ (15) ยังคงครองเมืองในตะวันออกกลางที่แพงที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ ตามมาด้วยดูไบ (21) อาบู ดาบี (33) และริยาร์ด (35) 

“หลายสกุลเงินในตะวันออกกลางได้ตรึงค่าเงินสหรัฐดอลลาร์ ส่งผลต่ออันดับของเมืองต่างๆ ที่สูงขึ้น รวมถึงค่าเช่าที่พักอาศัยที่สูงขึ้นสำหรับชาวต่างชาติด้วย” 

ถึงเอเชียจะแพง แต่บริษัทก็ต้องส่งพนักงานไป

แม้ว่าหลายเมืองในเอเชียจะกลายเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงสำหรับชาวต่างชาติ นายมาริโอ้ เฟอราโร่ ผู้อำนวยการด้าน Global Mobility Practice ประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ของเมอร์เซอร์ กล่าวว่า เอเชียยังคงเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก 

“แม้เมืองในเอเชียจะมีอัตราค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่หลายองค์กรก็ยังคงเล็งเห็นความจำเป็นทางธุรกิจในการโยกย้ายพนักงานไปประจำในภูมิภาคนี้ องค์กรต่างๆ จึงต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่าย รวมทั้งการระบุเหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจนในการมอบหมายงาน และการวัดผลค่าตอบแทนจากการลงทุน” นายเฟอราโร่กล่าว

“ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ทักษะการทำงานเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ และมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) การเชื่อมโยงเครือข่ายบุคลากรทั่วโลกเป็นพลังขับเคลื่อน องค์กรระดับโลกจึงต้องให้ความสำคัญกับการโยกย้ายพนักงานไปยังต่างประเทศมากขึ้น เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้แก่องค์กรได้” นายอิเลีย โบนิก ประธานธุรกิจ Career ของเมอร์เซอร์กล่าว

“นอกจากนี้ การย้ายพนักงานไปต่างประเทศยังมีข้อดีสำหรับทั้งตัวพนักงานเองและองค์กรอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางอาชีพ ประสบการณ์ระดับโลก การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และการโยกย้ายทรัพยากร ซึ่งการมอบข้อเสนอค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลและมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน จะทำให้องค์กรสามารถสร้างประโยชน์ต่อธุรกิจได้จากการโยกย้ายพนักงาน” นายโบนิกกล่าว