ในวันที่ทุกสายตาจับจ้องไปยังเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และกระแสปัญญาประดิษฐ์ยังคงมาแรงแบบไม่สร่างซา แต่รายงานทางสถิติกลับฉายชัดว่า เทคโนโลยี AI ในปัจจุบันอาจช่วยเพิ่มผลิตภาพได้บ้าง แต่การนำ AI มาใช้ในหมู่บริษัทก็ยังนับว่าเชื่องช้า ส่วนเรื่องการมาแทนที่แรงงานยังเป็นเรื่องอนาคต แม้แต่ อาร์วินด์ นารายัน (Arvind Narayanan) และซายาช กาปูร์ (Sayash Kapoor) 2 นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชั้นแนวหน้าจากพรินซ์ตัน ยังเรียกเทคโนโลยี AI ว่า ‘เทคโนโลยีธรรมดา’ ที่อาจไม่ได้หวือหวาอย่างที่เป็นกระแส

ประเทศไทยเองก็หวังขี่กระแส AI พร้อมอ้าแขนรับเม็ดเงินลงทุนมหาศาลในฐานะ ‘ฮับ’ ศูนย์ประมวลผลข้อมูลแห่งภูมิภาคเอเชีย หลังจากดูทีท่าแล้วน่าจะขึ้นรถไฟไม่ทันเป็นฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตามหาก AI พัฒนาไม่ได้อย่างที่หวัง หรือเติบโตเชื่องช้ากว่าที่คาด เราก็อาจพลาดซ้ำสอง หากไม่ได้มองหาแผนสำรอง เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่น่าจับตาเอาไว้บ้าง

หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตา แต่กลับไม่ได้พูดถึงนักในประเทศไทย คือภาคส่วนที่เรียกรวมๆ ว่า ‘เศรษฐกิจการบินระดับต่ำ’ (Low-altitude Economy) ที่ใช้ประโยชน์จากน่านฟ้า ณ ระดับความสูงต่ำกว่า 1,000 เมตรมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมธุรกิจ 3 ด้าน อย่างแรกคือ โดรนสารพัดประโยชน์ที่ใช้สำหรับการส่งสินค้าทั้งเล็กและใหญ่ การตรวจตรา การเกษตร และอื่นๆ อีกมากมาย อย่างที่ 2 คือ อากาศยานไฟฟ้าที่ขึ้นลงแนวดิ่ง (Electric Vertical Take-Off and Landing: eVTOL) หรือบริการแท็กซีลอยฟ้าไร้คนขับสำหรับผู้โดยสาร 2-5 คน และอย่างที่ 3 คือบริการทางอากาศ ณ การบินระดับต่ำ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นอากาศยานเพื่อชมทิวทัศน์ การถ่ายภาพ หรือการส่งเวชภัณฑ์ในภาวะฉุกเฉิน

แถมศูนย์กลางของนวัตกรรมก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล นั่นคือประเทศจีนนี่เอง

เศรษฐกิจการบินระดับต่ำ เครื่องจักรแห่งการเติบโตระลอกใหม่ของจีน

เมื่อปีที่ผ่านมา หลี่ เฉียง (Li Qiang) นายกรัฐมนตรีของจีน ประกาศให้เศรษฐกิจการบินระดับต่ำเป็นหนึ่งในเครื่องจักรการเติบโตสำคัญของจีน ควบคู่ไปกับนวัตกรรมล้ำสมัยอย่างปัญญาประดิษฐ์และคอมพิวเตอร์ควอนตัม นับเป็นสัญญาณที่ชัดเจนต่อทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ นักลงทุน และภาคเอกชนว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนพร้อมสนับสนุนโดรนและยานยนต์ลอยฟ้าแบบเต็มกำลัง ถึงขั้นตั้งหน่วยงานเฉพาะมากำกับดูแลและอำนวยความสะดวก เพื่อหวังฉุดรั้งประเทศสู่การเติบโตระลอกใหม่ หลังจากเศรษฐกิจชะลอตัวจากวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์

เป้าหมายของจีนไม่ได้ไกลเกินเอื้อม เพราะปัจจุบันจีนครองอันดับ 1 ในตลาดเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ บริษัท DJI จากเซินเจิ้นผลิตโดรนจำหน่ายให้ทั้งรายใหญ่และรายย่อย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 70% ของโดรนทั่วโลก นอกจากนี้จีนยังมีข้อได้เปรียบสำคัญคือ การครอบครองสิทธิบัตรอากาศยานไร้คนขับการบินระดับต่ำราว 7 ใน 10 โดยมีธุรกิจกว่า 5 หมื่นบริษัทเป็นระบบนิเวศขับเคลื่อนภายในประเทศจีน

แม้ปัจจุบันเศรษฐกิจการบินระดับต่ำจะยังมีขนาดเล็ก แต่อุตสาหกรรมดังกล่าวเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะโดรนส่งของ เมื่อปีที่ผ่านมาบริษัท Meituan เพียงบริษัทเดียวก็ส่งอาหารด้วยโดรนกว่า 2 แสนครั้งหรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนการส่งพัสดุด้วยโดรนในจีนก็คิดเป็นจำนวนกว่า 2.7 ล้านชิ้น ไปรษณีย์จีนยังใช้โดรนเพื่อส่งพัสดุข้ามทะเลไปยังมณฑลฝูเจี้ยน เพื่อทดแทนที่ส่งพัสดุทางเรืออีกด้วย

นอกจากการขนส่งแล้ว การใช้งานโดรนยังโดดเด่นในภาคการเกษตรอีกด้วย ในประเทศจีนมีโดรนเพื่อการเกษตรมากกว่า 2.5 แสนลำ ซึ่งช่วยยกระดับผลิตภาพในภาคการเกษตรมหาศาล เพราะโดรนสามารถใช้พ่นยาฆ่าแมลงและใส่ปุ๋ยครอบคลุมพื้นที่กว้างกว่าถึง 30 เท่าตัวเมื่อเทียบกับแรงงานมนุษย์ ป้องกันไม่ให้คนทำงานต้องไปเสี่ยงกับสารเคมี และสร้างอาชีพทักษะสูงในพื้นที่ซึ่งเน้นทำการเกษตร นอกจากนี้โดรนยังถูกนำมาประยุกต์ใช้หลากหลาย ทั้งการดับไฟบนอาคารสูง เฝ้าระวังการขนยาเสพติดตามชายแดน และขนส่งเวชภัณฑ์ระหว่างโรงพยาบาลกับห้องปฏิบัติการ

ขณะที่การใช้โดรนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจนับว่า ประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ธุรกิจที่ยังลุ่มๆ ดอนๆ อยู่คือ อากาศยานไฟฟ้าที่ขึ้นลงแนวดิ่ง หรือบริการแท็กซีลอยฟ้า ที่ถึงแม้บริษัท EHang สตาร์ทอัปแนวหน้าของธุรกิจดังกล่าวจะได้รับใบอนุญาตบริการอากาศยานสำหรับผู้โดยสารแบบไร้คนขับเป็นรายแรกของโลก แต่บริษัทคาดว่า จะให้บริการจริงได้ในอีกราว 3 ปีข้างหน้าที่เมืองกวางโจวและเหอเฝย และจะเน้นเส้นทางมูลค่าสูงคือ รับส่งผู้โดยสารจากสนามบินสู่ใจกลางเมือง โดยอาจร่นเวลานับชั่วโมงเหลือเพียง 10 นาที ทั้งนี้ในปัจจุบัน EHang ให้บริการอากาศยานสำหรับชมวิวกลางเมืองโดยขึ้นและลงที่จุดเดียวกัน

ถึงแม้ว่า EHang เป็นรายแรกที่ได้รับใบอนุญาต แต่ธุรกิจดังกล่าวยังมีคู่แข่งจำนวนมากทั้งในประเทศจีนเองอย่าง Geely และ Xpeng ผู้พัฒนายานยนต์ไฟฟ้าที่ผันตัวเข้ามาสู่ตลาดอากาศยาน รวมถึงแนวหน้าของสหรัฐอเมริกาอย่าง Joby Aviation ที่ก่อตั้งมาก่อน EHang ด้วยซ้ำ กระนั้นความยุ่งยากสำคัญคือเรื่อง ‘กฎระเบียบ’ ที่ต้องยอมรับว่า ฝั่งโลกตะวันตกนั้นมีความเคร่งครัดและเชื่องช้ากว่า เมื่อเทียบกับผู้นำอย่างประเทศจีน

รัฐบาลจีน หนุนรอบด้าน เร่งสร้างนวัตกรรม

แม้ท้องฟ้าจะไม่ได้เป็นของใคร แต่เขตแดนบนฟ้าคือพื้นที่ซึ่งรัฐบาลส่วนใหญ่สงวนไว้เพื่อกิจการทางการทหาร หากจะใช้งานต้องขออนุญาตภายใต้มาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด แต่ท่าทีรัฐบาลจีนเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญหลังหันมาผลักดันเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ โดยปรับเปลี่ยนกฎระเบียบต่างๆ และอนุญาตเมืองนำร่อง 6 แห่ง เช่น เซินเจิ้น กวางโจว หางโจว และเหอเฝย สามารถจัดการน่านฟ้าที่ระดับความสูงต่ำกว่า 600 เมตรได้ตามความเหมาะสม

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (Civil Aviation Administration of China: CAAC) เองก็ตระหนักว่า ถ้ากฎระเบียบยังยุ่งยาก โอกาสทางธุรกิจก็ไม่มีทางเกิด เมื่อปี 2023 จึงมีการปรับวิธีการจัดการน่านฟ้าระดับต่ำรูปแบบใหม่ให้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ลดกระบวนการที่ยุ่งยากลงสำหรับโดรนและอากาศยานไฟฟ้าที่ขึ้นลงแนวดิ่ง ส่วนทั้ง 6 เมืองนำร่องก็ทำงานเสมือนแซนด์บ็อกซ์สำหรับการทดลอง เรียนรู้ ก่อนจะนำไปออกแบบกฎระเบียบหรือนโยบายที่สมดุล ระหว่างการสนับสนุนนวัตกรรมกับความปลอดภัย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจใหม่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและการท้าทาย ลองนึกภาพฝูงโดรนและสารพัดแท็กซีลอยฟ้าบินฉวัดเฉวียนเหนือน่านฟ้าเมือง สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ อุบัติเหตุหรือการบินเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม โจทย์สำคัญของเศรษฐกิจการบินระดับต่ำคือ การสร้างระบบบริหารจัดการน่านฟ้าแบบอัตโนมัติ ซึ่งต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะในการจัดการ เช่นเดียวกับระบบโครงข่ายการเชื่อมต่อ เพื่อส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น ระบบ 5G และระบบ GPS

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ต้องใช้ทรัพยากรสำคัญคือ เงินและบุคลากร เมืองนำร่องอย่างเซินเจิ้นตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ โดยรัฐบาลท้องถิ่นทุ่มเงินงบประมาณกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปีหน้าเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบด้วยแพลตฟอร์มสำหรับรับและปล่อยโดรนทั้งหมด 1,200 แห่ง สถานีกระจายสัญญาณ 5G ล้ำสมัยอีก 8,000 แห่ง พร้อมทั้งระบบจัดการน่านฟ้าระดับต่ำอัจฉริยะแบบบูรณาการ (Smart Integrated Lower Airspace System) ที่เปรียบเสมือนมันสมองของน่านฟ้า ที่คอยจัดการการบินทั้งหมด ณ ระดับต่ำกว่า 600 เมตร ส่วนในด้านบุคลากรนั้น นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามหาวิทยาลัย 6 แห่งในจีนก็ริเริ่มหลักสูตรระดับปริญญา ‘วิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีสำหรับการบินระดับต่ำ’ แล้ว

การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงสั้นๆ ของเศรษฐกิจการบินระดับต่ำในจีน นับเป็นความน่าตื่นตาตื่นใจของการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ในการสนับสนุนนวัตกรรม ต่อยอดจากเทคโนโลยีที่มีความได้เปรียบอยู่เดิมอย่างแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้กฎระเบียบที่วิ่งทันเทคโนโลยีและกล้าที่จะทดลองอะไรใหม่ๆ แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากภาครัฐไม่ทำงานเชิงรุก

เหมา อีเหนียน (Mao Yinian) ผู้บริหารด้านการจัดส่งอาหารด้วยโดรนของ Meituan ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Economist ว่า เจ้าหน้าที่รัฐจีนจากหลายเมืองเป็นฝ่ายติดต่อเพื่อพูดคุยกับ Meituan พร้อมข้อเสนอให้ริเริ่มเส้นทางการส่งอาหารใหม่ๆ ซึ่งในประเทศอื่นรวมถึงไทย ภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐจะเป็นแบบตรงกันข้าม

แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกกลยุทธ์หนุนอุตสาหกรรมจองจีนจะประสบความสำเร็จเสมอไป เช่น ‘เศรษฐกิจน้ำแข็งและหิมะ’ ที่หนุนการท่องเที่ยวและกีฬาฤดูหนาว หรือ ‘เศรษฐกิจสีเงิน’ ที่สนับสนุนอะไรก็ตามเกี่ยวกับผู้สูงอายุ สิ่งเหล่านี้ดูจะสร้างกระแสฮือฮาได้มากกว่ากระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมจริงๆ 

แต่ในวันที่ประเทศไทยกำลังด้อมๆ มองๆ เพื่อหา ‘เครื่องจักรเพื่อการเติบโต’ ชิ้นใหม่ อาจถึงเวลาที่รัฐบาลอาจจะต้องกล้า ‘เสี่ยง’ มากขึ้นบ้าง และก้าวข้ามกรอบคิดเน้นส่งออกด้วยการเร่ขายแรงงานค่าแรงต่ำ เพราะกลยุทธ์ดังกล่าวนั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไป

เอกสารประกอบการเขียน

China’s “low-altitude economy” is taking off

It’s a bird, it’s a plane…it’s a Chinese flying car

China’s Low-Altitude Economy: A Rapidly Developing Sector to Watch

China moves to boost low-altitude economy through legislation

Shenzhen to invest US$1.7 billion in economy for flying cars, drones by 2026

China’s cities may see ‘flying taxis’ as soon as three years, aviation company Ehang predicts

Tags: , , , , , ,