วันที่ 27 มีนาคม 2563 นายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ว่าแถลงพบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 91 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมเสียชีวิตทั้งหมด 5 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,136 ราย กลับบ้านได้ 97 ราย ยังอยู่ในโรงพยาบาล 1,034 ราย
ผู้เสียชีวิตเป็นชายอายุ 50 ปี ที่เดินทางกลับจากการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยเริ่มป่วยตั้งแต่ 11 มีนาคม ก่อนเสียชีวิตในเวลาประมาณตี 3 ของวันนี้
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองอธิบดีกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปกติแล้ว เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัส ไวรัสจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ซึ่งขณะเดียวกันร่างกายก็จะสร้างแอนติบอดีเพื่อมากำจัดเชื้อให้ร่างกายกลับเป็นปกติเช่นเดียวกัน ดังนั้น การตรวจหาเชื้อจึงจำเป็นต้องมีระยะเวลาที่เหมาะสมคือ 3-5 วัน ถ้าหากตรวจเร็วเกินไปอาจจะไม่เจอ นอกจากนี้ การตรวจหาแอนติบอดีก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ต้องใช้เวลานานกว่า เพื่อดูว่าร่างกายของเราเคยได้รับเชื้อหรือยัง เพราะบางทีเราอาจเคยได้รับเชื้อและร่างกายขจัดออกไปหมดแล้วก็ได้
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุอากร อธิบดีกรมอนามัย เน้นย้ำว่า Social Distancing เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการลดการระบาดของเชื้อไวรัส คนที่เป็นผู้ป่วยต้องหยุดการเดินทาง องค์กรที่สำคัญมากคือ ขนส่งสาธารณะ ถ้าหากมีการตรวจแล้วพบไข้ขอให้หยุดการเดินทางทันที เรื่องที่สองคือ มาตรการด้านการดูแลพนักงานที่ปฎิบัติงานในพื้นที่สาธารณะ เรื่องที่พักอาศัยแบบอยู่ร่วมกัน เช่น คอนโด เสนอให้ผู้ดูแลยังคงยึดหลักและแบบแผนที่กระทรวงสาธารณสุขเคยเสนอไป ขอให้ยกเลิกการร่วมกลุ่มทางสังคมทุกรูปแบบ หากต้องมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในช่วงนี้ ต้องมีการสวมหน้ากากอนามัย มีพื้นที่ให้ล้างมือ รวมถึงลดพฤติกรรมเสี่ยงทุกชนิด โดยยึดหลักการ Social Distancing เป็นหลัก
นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลชาธิการคณะกรรมการอาหารและยายืนยันว่า อุปกรณ์ป้องกันตัวเองสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาทิ หน้ากาก N-95 และชุด PPE ยังคงเพียงพอและสามารถจัดหาเพิ่มเติมได้ โดยภายในสาธารณสุขได้มีการเตรียมความพร้อมและแบ่งงานกันทำในเรื่องอุปกรณ์เหล่านี้ รวมถึงยังมีการกระจายไปให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในสาธารณสุข โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงหน่วยงานความมั่นคงที่ขึ้นกับกระทรวงกลาโหม ดังนั้น จึงอยากให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมั่นใจว่าอุปกรณ์ป้องกันมีเพียงพอต่อความต้องการ
นอกจากนี้ ในตอนนี้ยังมีการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ซึ่งใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงเอาไปแล้ว และยังได้รับการบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์เพิ่มเติมจากรัฐบาลจีน อาลิบาบา กรุ๊ปส์ รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ
ในประเด็นของ อาสาสมัครสาธารณสุข ขณะนี้ได้ทำการเดินเคาะประตูบ้านราว 3 ล้านหลังคาเรือนเพื่อประชาสัมพันธ์ข้อมูลเชื้อไวรัสชนิดนี้ให้แก่ชาวบ้าน โดย อสม. จะมีอุปกรณ์คือ หน้ากากอนามัยและแว่นตา เพื่อป้องกันตัวเอง ซึ่งทางสาธารณสุขคิดว่าเพียงพอแล้ว เพราะไม่ได้ลงไปรักษาผู้ป่วย เพียงแต่เข้าไปประชาสัมพันธ์กับชาวบ้าน
ในประเด็น การแพร่ระบาดจากสนามมวย ในช่วงแรกคาดว่ามีผู้ติดเชื้อราว 5,000 – 6,000 คน ซึ่งค่อยๆ ทยอยติดเชื้อและขยายการแพร่ระบาดไปสู่กลุ่มอื่น ซึ่งในขณะนี้การแพร่ระบาดน่าจะไปสู่วงที่ 3 แล้ว เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคม ดังนั้น จึงขอความร่วมมือให้ผู้ที่คิดว่าเกี่ยวข้องเข้ามาแจ้งกับกระทรวงสาธารณสุขโดยเร็ว รวมถึงหยุดการเดินทางเพื่อลดการแพร่เชื้อ
ในประเด็น มาตรการเชิงรุกตรวจหาเชื้อตามชุมชน อัตราการตรวจพบเชื้อจากกลุ่มเสี่ยงในขณะนี้อยู่ที่ประมาณร้อยละ 1-2 เท่านั้น ดังนั้น การออกไปตรวจตามชุมชนอาจจะสิ้นเปลืองมากกว่าที่ควร และตอนนี้มีการขยายมาตรการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงทั้งผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ และปอดบวมแล้ว ทั้งนี้ ระบบที่ออกแบบไว้ในเวลานี้ได้รับการเห็นพ้องจากผู้ทรงคุณวุฒิทางการแพทย์ ในกระทรวงสาธารณสุขหลายท่าน
ทั้งนี้ นายแพทย์ทวีสิน วัฒนโยธิร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ได้มีแถลงเพิ่มเติม ขณะนี้รัฐบาลได้ทำการพูดคุยและดำเนินการไม่ให้มีการเพิ่มราคาสินค้าแล้ว และได้ได้พูดคุยกับผู้ให้บริการแอพลิเคชันส่งของออนไลน์ อาทิ Grab Food, Line Man และ Food Panda ก็ได้รับการยืนยันว่าจะไม่มีการขึ้นราคาในช่วงนี้
ในทางด้านส่วนอื่นๆ ขณะนี้กระทรวงมหาดไทย ได้ขยายพื้นที่เฝ้าระวังเพิ่มจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่จังหวัดชลบุรี พัทยา รวมถึงจังหวัดชายแดนใต้คือ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และภูเก็ต ทั้งนี้ มาตรการของแต่ละจังหวัดยังขึ้นอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆ ทางด้านกระทรวงต่างประเทศวางแผนจะเช่าเครื่องบินเหมาลำ เพื่อนำคนไทยที่อยู่ในอิตาลีกลับมา โดยจะดำเนินการให้มีมาตรการขอใบรับรองแพทย์ให้สะดวกยิ่งขึ้น และให้มีการผ่อนปรน
ทางด้านกระทรวงกลาโหมได้เพิ่มจุดตรวจในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็น 377 จุด เพื่อลดการสัญจรของประชาชน และกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันเพิ่มเติมให้ทหาร และตำรวจซึ่งปฎิบัติหน้าที่ ทางด้านกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำลังดำเนินมาตรการป้องกันข่าวปลอม และขอความร่วมมือถ้าหากใครพบ เห็นช่วยแจ้ง โดยถ้าตรวจพบว่าใครตั้งใจปล่อยข่าวปลอมจะมีการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป