ย้อนกลับไปต้นเดือนกุมภาพันธ์​ The Momentum เดินทางไปสังเกตการณ์เวทีใหญ่ของ ‘ชาติไทยพัฒนา’ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี วันนั้น ท็อป-วราวุธ ศิลปอาชา ปรากฏตัวในฐานะ ‘แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี’ เป็นครั้งแรก หลังจากพรรคมีมติให้เขาทำหน้าที่นี้ แน่นอนว่าชาติไทยพัฒนาเลือกพื้นที่บริเวณศาลหลักเมือง หลังอนุสาวรีย์ บรรหาร ศิลปอาชา ผู้ล่วงลับ เป็นพื้นที่ในการเปิดตัว ‘ลูกท็อป’

ถึงอย่างไร ชาติไทยพัฒนา ก็ยังคงเป็นพรรคการเมืองที่มีสุพรรณบุรีเป็นพื้นที่หลัก ในรอบนี้ สุพรรณบุรีมี ส.ส.จำนวนทั้งสิ้น 5 คน เพิ่มจากการเลือกตั้งในปี 2562 1 คน และแน่นอนว่าในปี 2562 พรรคชาติไทยพัฒนา ‘แลนด์สไลด์’ ในจังหวัดนี้

ความท้าทายสำคัญของชาติไทยพัฒนาในการเลือกตั้งที่จะถึงก็คือ ทำอย่างไรให้พรรคนี้มีจำนวน ส.ส.มากพอที่จะทำหน้าที่ ‘ต่อรอง’ มากพอ ตามหลักการคณิตศาสตร์ทางการเมือง ที่แน่นอนว่าพรรคขนาดเล็ก ย่อมอยากเข้าใกล้ศูนย์กลางอำนาจเพื่อทำหน้าที่รัฐบาล

กระนั้นเอง เมื่อเทียบกับพรรคเล็กอื่นๆ พรรคชาติไทยพัฒนาก็ยังคงแข็งแรงในฐานะที่มีเมืองหลวงของตัวเองชัดเจน ยากที่ใครจะเข้ามาเจาะพื้นที่ ขณะที่จังหวัดนครปฐม ข้างเคียงกับสุพรรณบุรี เขาก็ยังมีตระกูลสะสมทรัพย์ช่วยเหลืออย่างแข็งขันขณะเดียวกัน ด้วยสถานะพรรคเล็ก และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของพรรค ไม่ว่าการเมืองจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าการเลือกตั้งจะเปลี่ยนไปเป็นขั้วไหน พรรคนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เป็น ‘รัฐบาล’

หลังจากเคยพูดคุยกับ ‘พี่ท็อป’ เอาไว้ เมื่อ 2 ปีก่อน ในช่วงครึ่งเทอมแรกของรัฐบาลประยุทธ์ เรากลับไปหาเขาใหม่ ในวันที่เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง แน่นอน เขาเป็นมิตรมากขึ้น ดุดันน้อยลง เมื่อเราชวนให้เขาขายตัวเองในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และพูดถึงผลงานของเขาตลอด 4 ปี พร้อมกับชวนวราวุธตอบคำถามหลายอย่างที่คนสงสัยเกี่ยวกับตัวเขา เป็นต้นว่าเขา ‘เชียร์’ เผด็จการหรือไม่ เขามองอย่างไรเกี่ยวกับการคอร์รัปชันในฐานะที่เป็นเจ้ากระทรวง ผู้ที่อธิบดีมีเงินหลายสิบล้านบาทอยู่ในห้อง จุดยืนของเขาต่อการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ รวมถึงเรื่องเบาๆ อย่างชีวิตของ ‘พ่อบรรหาร’ และการใช้ ‘ภาษาอังกฤษ’ ให้หลายคนประทับใจ

อีกไม่กี่วันจะถึงการเลือกตั้ง คุณมองว่าพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคขนาดไหน และคาดหวังแค่ไหนกับการเลือกตั้งรอบนี้

จากพรรคขนาดเล็ก เราคาดหวังว่าจะขึ้นมาเป็นพรรคขนาดกลางครับ ในวงการการเมืองเราไม่สามารถจากเล็กไปใหญ่เลยได้ การทำงานการเมืองไม่สามารถลัดคิว ต้องเริ่มจากเล็กไปกลางก่อนแล้วไปใหญ่ ความหวังของเราคราวนี้คือตั้งเป้าเอาไว้ ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 25 ที่นั่งเพื่อไปให้ถึงการเป็นพรรคขนาดกลาง

การจะไปถึงพรรคขนาดกลาง คุณต้องทำอะไรบ้าง

ต้องทำงานอย่างยากเย็นแสนสาหัส ทั้งการสร้างความมั่นใจให้กับว่าที่ผู้สมัคร หรือการหาคนที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมเป็นทีมงาน เมื่อได้มาแล้วก็ต้องไปลงพื้นที่ ทำงานอย่างใกล้ชิดและหนักหน่วง ซึ่งเราเข้าใจดีว่าแต่ละพื้นที่แข่งขันกันสูงมากๆ ดังนั้นต้องเต็มที่ ทั้งการปราศรัย ทั้งการเดินพบประชาชน 

สำหรับตัวคุณ จุดขายของพรรคชาติไทยพัฒนาอยู่ตรงไหน

พรรคของเราเป็นพรรคที่ทำงาน จะเห็นว่า 4 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยมีดราม่าทางการเมือง การทำงานของตัวผมเอง และคุณประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรค ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เราเน้นการทำงาน เน้นผลสัมฤทธิ์หลายอย่าง เช่นวันนี้ เรากำลังผลักดันเรื่องคาร์บอนเครดิต เรื่อง Climate Change แม้ยังไม่สำเร็จ แต่ก็มีความคืบหน้า เพราะฉะนั้น การทำงานของชาติไทยพัฒนา เราเป็นนักปฏิบัติ เราไม่ใช่นักพูด ไม่ใช่จะมาขายฝัน แต่เราปฏิบัติได้จริง 

สำหรับภาพรวมนโยบายของพรรคชาติไทยพัฒนา เราใช้คำว่า WOW THAILAND จุดเริ่มต้นคือเราเชื่อในความมั่งคั่งความสมบูรณ์ของแผ่นดินไทย ที่เราเชื่อว่าเรามีทรัพย์ในดิน สินในน้ำ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว 

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การที่ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพย์ฯ มา 3 ปี มันทำให้เห็นว่าในดิน-ในน้ำของเรา เรามีความมั่งคั่งทางทรัพยากรอยู่ขนาดไหน แล้วหลังจากช่วงโควิด-19 ในช่วงเวลาเร่งสร้างเศรษฐกิจ เรากลับเจอสถานการณ์ความไม่สงบในหลายๆ พื้นที่ของโลก ที่ทำให้ต้นทุนการผลิต อย่างค่าน้ำมัน ค่าปุ๋ย เพิ่มขึ้น แพงมากขึ้น 

เป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องมาดูแล้วว่า จริงๆ เรามีของดีของเรา ทำไมไม่เอามาเป็นจุดแข็ง และสร้างของดีบนจุดแข็งตรงนั้น สำหรับผม โอกาสในประเทศไทยนั้นมีมากมาย แต่ต้องทำโอกาสนั้นให้เป็นกับของทุกๆ คน ถึงเป็นที่มาของ WOW ย่อมาจาก Wealth/ Opportunity และ Welfare for All เป็นกลไกที่จะผลักประเทศไทยไปข้างหน้า

เห็นว่าสิ่งหนึ่งที่คุณจะเร่งผลักดันคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ใช่ เป็นสิ่งที่เราทำมาแล้ว สำเร็จไปแล้วครั้งหนึ่ง ในรูปแบบของรัฐธรรมนูญ 2540 แม้แต่ทุกวันนี้ผ่านมา 26 ปีแล้ว ก็ยังให้ความสำคัญว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในประเทศไทย เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการร่างของสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นตัวตนของสังคมไทยอย่างแท้จริง

พรรคชาติไทยในขณะนั้นโดยพ่อบรรหาร ในขณะที่ท่านเป็นนายกฯ เริ่มต้นจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2534 มาตรา 211 จนเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญ 2540 เราทำสำเร็จมาแล้ว ยากเลือดตาแทบกระเด็น วันนี้ เรามั่นใจว่าเราสามารถทำได้อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับผม หัวใจสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ 2540 นั้นอยู่ที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) สมัยที่พ่อบรรหารทำ สสร.นั้นประกอบด้วยบุคคลทุกสาขาอาชีพในประเทศไทย นอกจากทุกสาขาอาชีพแล้ว ยังมาจากทุกสถานะ ทั้งเยาวชน เด็กนักเรียน ผู้ที่เกษียณอายุแล้ว ผู้พิการ เรามีผู้พิการอยู่ในสภาร่างรัฐธรรมนูญด้วย หรือแม้แต่วันนี้ เราก็ต้องมีกลุ่มสมาชิกจาก LGBTQ+ เข้าร่วมด้วย เพราะว่า สสร.จะเป็นกลุ่มที่สำคัญที่สุดในการไปรับฟังความเห็นแล้วก็สะท้อนความต้องการของคนแต่ละกลุ่ม แต่ละสาขาอาชีพเข้ามา 

ตอนสมัยที่พ่อบรรหารตั้ง สสร. ผมยังจำได้เลย บางคนยังอภิปรายต่อว่าพ่อบรรหารอยู่เลย ผลสรุปคือพ่อบรรหารบอกอย่างนี้ดี เอาเขาเข้ามาเป็น สสร.เลย จะได้มีความหลากหลาย เป็นการสะท้อนความต้องการของพี่น้องประชาชนจริงๆ ดังนั้น หัวใจสำคัญของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถ้าจะเกิดขึ้น ต้องมาจากการตั้ง สสร.ที่ครอบคลุมหลากหลาย แล้วก็เท่าเทียม

อีกด้านที่คุณเน้นคือนโยบายด้านการเกษตร

เรามีพี่น้องเกษตรกรที่เป็นหัวใจ เรียกว่าทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่มาตั้งแต่รุ่นพ่อบรรหาร ตั้งแต่พรรคชาติไทย มาเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา ฉะนั้น เราจะช่วยเรื่องกลไกการผลิต การมอบกล้า และพันธุ์ข้าวอย่างดี ให้กับพี่น้องเกษตรกรทั้ง 60 ล้านไร่ บวกกับเราจะมีเงินสนับสนุน ในการเพาะปลูก ไร่ละ 1,000 บาท เป็นการลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร

ขณะเดียวกัน เราจะสนับสนุนให้เปลี่ยนวิธีคิดการทำการเกษตรใหม่ การปลูกข้าวแบบที่ผ่านมา จากนี้ไป อีกไม่เกิน 10 ปี จะใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นการก๊าซเรือนกระจกเป็นตัวอันตรายสำคัญกับสำหรับโลกใบนี้ อีกทั้งข้าวยังเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยส่งออกของประเทศไทยที่ทำเงินให้กับประเทศไทยได้อย่างมากมาย ถ้าเราไม่ปรับวิธีการทำนา เราไม่ปรับวิธีการปรับลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น อีกไม่นาน ข้าวประเทศไทยเราจะไปขายสู้ข้าวประเทศอื่นไม่ได้ 

จึงเป็นที่มาของการปรับวิธีทำนา อย่างเมื่อก่อน การทำนา 1 Crop ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน จะมีน้ำเลี้ยงนาอยู่ตลอด เราเสนอให้มีการปลูกแบบเปียกสลับแห้ง พอช่วงที่ข้าวตั้งท้อง เราระบายน้ำออกจากนาทั้งหมด ผลที่ได้กลับมาก็คือว่าข้าวไม่ตาย นอกจากข้าวไม่ตายแล้ว ผลผลิตต่อไร่ จะเพิ่มขึ้นประมาณ 20-30% เราใช้น้ำน้อยลง ใช้พลังงานในการสูบน้ำเข้านาน้อยลง และที่สำคัญที่สุด ก๊าซเรือนกระจกจากการปลูกข้าวจะหายไปประมาณ 60-70% คาร์บอนเครดิตที่ได้จากขั้นตอนนี้จะเป็นของพี่น้องเกษตรกรชาวไร่ชาวนาทั่วประเทศ 

ดังนั้นนโยบายของพวกเรา เป็นนโยบายที่เรียกว่านโยบายรากหญ้า แต่ส่งผลกระทบไปถึงระดับ Global ไม่ใช่แค่ระดับชาติ แต่ถึงระดับนานาชาติ แนวคิดของเราคือเกษตรกรรุ่นใหม่ต้องขายคาร์บอนเครดิตได้ 

ฉะนั้น โดยสรุป เรารับฟังปัญหาจากเกษตรกร ใช้แนวคิดของเรา พัฒนาจนกระทั่งเป็นแนวคิดเรื่องเกษตรรุ่นใหม่ ขายคาร์บอนเครดิตได้ สนับสนุนพันธุ์ข้าว สนับสนุนปัจจัยการผลิตต่างๆ เพื่อให้เกษตรกรของเราสามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้

ในมุมมองของคุณ ชาวไร่ชาวนา เข้าใจเรื่องคาร์บอนเครดิตมากขนาดไหน

ยังมีส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจ แต่หนึ่งในภารกิจสำคัญในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ฯ ก็คือต้องทำให้พี่น้องเกษตรกรทุกพื้นที่เข้าใจได้ว่าที่น้ำมันท่วม น้ำแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาลนั้นไม่ใช่ธรรมชาติลงโทษ หากแต่คือมนุษย์เรานี่ละลงโทษตัวเอง 

ทั้งจากการเผาป่า เผาซังข้าว การที่เราปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำการเกษตรจำนวนมหาศาล เหมือนกับการนั่งบนกิ่งไม้ แล้วเอาอีกมือหนึ่งถึงเลื่อย เลื่อยกิ่งไม้นั้นไปด้วยให้หัก

วันนี้เราต้องค่อยๆ พยายามสร้างความเข้าใจ และความตระหนักรู้ให้กับพี่น้องเกษตรกรทั่งประเทศว่า สิ่งที่เราทำกันมาชั่วนาตาปีนั้น วันนี้มันกำลังจะย้อนกลับมา มาเป็นฝันร้ายของพวกเรา 

แต่วันนี้ เขาเข้าใจมากขึ้น ที่กาฬสินธุ์ ที่เพชรบุรี เริ่มมีการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง แม้แต่ที่สุพรรณบุรีเองก็ไม่ได้ฝันเฟื่อง เราทำนาแบบเปียกสลับแห้ง AWD Alternate Wet and Dry ทำขึ้นแล้วที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่นาประมาณ 5,000 ไร่ พี่น้องสามารถขายคาร์บอนเครดิตให้กับบริษัทต่างชาติไร่ละประมาณ 500 บาทต่อปี ซึ่งเรามั่นใจว่าเราขยายไประดับประเทศได้

ถ้าเล่าโดยสรุป ชาวนารุ่นใหม่จะปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง และพัฒนาไปสู่การขายคาร์บอนเครดิตให้กับต่างประเทศได้อย่างไร

เบื้องต้นชาวนาต้องคุยกับบริษัทต่างประเทศ ทริกก็คือว่า นาที่จะทำปลูกแบบเปียกสลับแห้ง ต้องปรับที่นา-ท้องนาให้เรียบซะก่อน การทำตรงนี้จะต้องใช้เงินงบประมาณระดับหนึ่ง แต่ว่าทางรัฐสามารถสนับสนุนให้ได้ เพราะว่าทำแค่ครั้งเดียว เมื่อทำท้องนาให้เรียบและมีสโลป 

จากนั้น จะมีการติดต่อกับบริษัทรับซื้อคาร์บอนเครดิต มีบริษัทมากมายสนใจ แม้แต่บริษัทที่อยู่ด่านช้างตอนนี้ก็สนใจจะซื้อเพิ่ม แล้วเขาจะวัดเลยว่าที่เราปลูกแบบเปียกสลับแห้ง ปลูกจริงไหม อย่างไร แล้วเขาจะมารับซื้อ ด้วยการมอนิเตอร์ที่นาของเราเลยว่าตอนนี้ลงนาไปแล้วหรือยัง ปักดำต้นกล้าแล้วหรือยัง เอาน้ำเข้านาแล้วหรือยัง เราปลูกเว้นระยะตามกติกาที่เราพูดกันไหม พอถึงเวลาที่เราเอาน้ำออก เราเอาน้ำออกจากที่นาจริงหรือเปล่า 

บริษัทเหล่านี้มอนิเตอร์ผ่านระบบดาวเทียม แล้วเอาดาวเทียมมาจับเลยว่ามีน้ำอยู่ในนาหรือไม่ Emission เหล่านี้ สามารถวัดด้วยระดับดาวเทียมได้แล้ว

หลังจากนั้น เกษตรกรก็ปลูกข้าวกันปกติ สิ่งที่อาจปรับปรุงได้ คือแทนที่จะใช้นาหว่านซึ่งก่อให้เกิดการสูญหายของเมล็ดข้าวเยอะ แล้วหญ้าจะขึ้นมาแทรกเยอะ ให้ใช้นาดำ ปักต้นกล้ามาก่อน ข้อดีคือเราใช้พันธุ์ข้าวน้อยกว่า และข้อดีอันที่สองคือว่า แทนที่น้ำจะขังอยู่ในนาตลอด หญ้าจะโต ก็โตไม่ได้ เพราะไม่มีอากาศให้หายใจ ตอนนี้ หญ้าก็จะโตขึ้นมาแซม 

ถ้าใช้วิธีนี้จะมีบริษัทเข้ามาประเมิน บริษัทที่เขาจะรับซื้อก็จะประเมินให้เราเอง ไม่ใช่เรื่องยากเลย ทำได้แล้ว ชาวนาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณไร่ละ 500 บาท ต่อไร่ต่อปีนะครับ เป็นเงินที่ได้มาทุกปีด้วย

ถามถึงจุดยืนการร่วมรัฐบาล ในความเห็นคุณ พรรคชาติไทยพัฒนาตั้งขึ้นมาเพื่อร่วมรัฐบาลเท่านั้นจริงไหม

จริงๆ มีบางพรรคที่ร่วมบ่อยกว่าชาติไทยพัฒนาอีกนะ ถามว่าชาติไทยพัฒนาเคยเป็นฝ่ายค้านไหม เราเคยเป็น ทั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งพรรคร่วมฝ่ายค้าน

แต่พอมาระยะหลัง พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ใช่พรรคขนาดใหญ่ เราเป็นพรรคขนาดเล็ก พอเป็นพรรคขนาดเล็กคุณไม่ได้เป็นผู้เลือก คุณจะเป็นผู้ถูกเลือก 

คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าทำไมชาติไทยพัฒนาถึงได้ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นรัฐบาลเท่านั้น คำถามมันอยู่ที่พรรคใหญ่ อย่างเช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย ถึงได้ตัดสินใจเลือกพรรคขนาดกลางถึงขนาดเล็กที่ชื่อพรรคชาติไทยพัฒนาเข้ามา ผมคิดว่าเพราะการทำงานตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นได้ว่าแนวทางการทำงานของชาติไทยพัฒนาเราเป็นทีม เราไม่เคยไปเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น และเราทำงานกันเป็นองคาพยพ ถ้าหัวรอด หางก็รอด

4 ปีที่ผ่านมา กับการร่วมรัฐบาลกับพลเอกประยุทธ์ คุณพอใจมากแค่ไหน

เราได้ทำงานไปในระดับหนึ่งนะครับ บางเรื่องยังไม่เสร็จ บางเรื่องอยู่ในช่วง On Process ที่ต้องใช้เวลามากพอสมควร แต่สิ่งที่เรา ชาวกระทรวงทรัพย์ฯ ภูมิใจก็คือการผลักดันเรื่อง Climate Change จนวันนี้ตื่นตัวกันมากขึ้น ทั้งภาคเอกชน ธุรกิจ อุตสาหกรรม เรื่องคาร์บอนเครดิตเทรดดิ้ง การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การประเมินคาร์บอนเครดิต ตื่นตัวกันมหาศาล ผมได้รับเชิญไปพูดให้กับทั้งเอสเอ็มอี หอการค้า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาทนายความ

แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องทีเราอยากทำ แต่ต้องใช้เวลา อย่างการลดปริมาณ Hot Spot ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย อย่างในปีนี้ เริ่มมีปริมาณจุดความร้อนมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2564 และ 2565 หรือเรื่องการจัดการขยะ จัดการของเสีย หรือแม้แต่ PM2.5 เป็นสิ่งที่เราอยากแก้ไขทั้งสิ้น

อีกเรื่องหนึ่งคือภายใน 2 ปีจากนี้ไป ประเทศไทยจะไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าเศษพลาสติกในประเทศ ที่ใส่เข้ามาเป็นคอนเทนเนอร์ นับจากปลายปี 67 เป็นต้นไป จะเหลือ 0 จะไม่มีอีกแล้ว

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องใหญ่อีกเรื่องที่คนมองเห็นก็คือ การที่คุณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ ทว่ากลับมีเรื่องการคอร์รัปชันในกรมใหญ่อย่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่องนี้คุณจะตอบอย่างไร 

ก่อนอื่น ต้องขอความเป็นธรรมให้กับกรมอุทยานฯ ก่อน กรมอุทยานฯ ในช่วง 3-4 ปีที่ผมเข้ามาทำงาน เพื่อนๆ ในกรมทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ ดูแลอุทยานจนกระทั่งมีความอุดมสมบูรณ์ จนวันนี้ มีนักท่องเที่ยวเข้ามา แล้วก็ได้รับความประทับใจมากมาย ฉะนั้น เรื่องนี้ มันเหมือนกับข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์

อันที่จริง พี่น้องประชาชนอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับเพื่อนๆ ข้าราชการกรมอุทยานฯ เท่าไรนัก แต่ยามมีปัญหา เกิดประเด็นเรื่องอธิบดีฯ ขึ้นมา กลับได้รับความสนใจมหาศาล จนลืมมองไปว่ากรมนี้ทำงานหนักเพียงใด

ถามว่าเมื่อเกิดสถานการณ์ในกรมอุทยานฯ ขึ้นมา กระทบความเชื่อมั่นหรือไม่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องกระทบ แต่คำถามคือเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นแล้ว เราได้ดำเนินการ สอบสวนข้อเท็จจริง จนได้ข้อสรุปใน 3-4 วัน ว่ามีความผิดทางวินัยเกิดขึ้น ตามมาด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง พอสอบได้ประมาณเดือนหนึ่ง มีมูลระดับหนึ่ง ท่านปลัดกระทรวงฯ ก็ออกคำสั่งให้ท่านอธิบดีกรมอุทยานฯ ออกจากราชการไว้ก่อน 

ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหา เราไม่ได้นิ่งนอนใจ เราไม่ได้ช่วยใคร เราดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่ว่าการสืบสวน ถึงแม้ว่ายังไม่สรุป เพราะมีทั้งเรื่องของตำรวจ ป.ป.ช. ป.ป.ท. วันนี้อธิบดีท่านใหม่ที่เข้าไปรักษาการ ก็เข้าไปเคลียร์ปัญหาหลายๆ เรื่อง

ในฐานะเจ้ากระทรวง คุณย้อนกลับไปมองเรื่องคอร์รัปชันในกรมอุทยานฯ แล้วเห็นอะไรบ้าง

ต้องบอกว่าการทำงานในกรม และในกระทรวง มันมีขอบข่ายการทำงานอยู่ บางคนอาจจะบอกว่า เมื่อเกิดการทุจริตอย่างนี้ ทำไมรัฐมนตรีไม่ลงไปดูการโยกย้ายหัวหน้าอุทยานฯ หรือผู้อำนวยการสำนัก

เรื่องนี้ต้องลองตั้งสถานการณ์ขึ้นมาใหม่ว่า ถ้ารัฐมนตรีลงไปดูถึงขั้นโยกย้ายหัวหน้าอุทยาน ผอ.สำนักต่างๆ คำถามก็คือสังคมจะมองอย่างไร เอ๊ะ รัฐมนตรีไปล้วงลูก ก้าวก่ายการทำงานของอธิบดีหรือไม่ เพราะนี่คือหน้าที่ของอธิบดี หรือรัฐมนตรีมีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงหรือเปล่า

สิ่งที่ผมจะอธิบายก็คือว่าการทำงานในระบบราชการและในทางการเมือง มันมีขั้นตอนชัดเจนว่า รัฐมนตรีมีอำนาจกำกับ และสั่งการลงไปถึงในระดับใด เมื่อเกินระดับนั้นไปแล้ว พอไประดับกรม ก็จะเป็นบทบาทของอธิบดี และปลัดกระทรวงก็จะคอยควบคุมการทำงานของเพื่อนๆ ข้าราชการอีกครั้งหนึ่ง รัฐมนตรีมีหน้าที่มอบนโยบายที่กำกับดูแลไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น

พอเกิดปัญหาขึ้นแล้ว เราก็โยกอธิบดีท่านใหม่ที่เราเชื่อมั่นว่าสามารถทำงานได้ การทุจริตที่เกิดขึ้นจะต้องได้รับการสอบสวน ความผิดก็คือผิด ถ้าไม่ผิดก็ไม่ผิด ผิดอย่างไร ก็ว่ากันไป จะมีมาตรการลงโทษกันไปตามขั้นตอนของระบบราชการ แต่การทุจริตที่เกิดขึ้นไม่ได้เหมารวมว่า ข้าราชการทุก คนของกระทรวงทรัพย์ฯ ทุจริต หรือแม้แต่บางคน จะพยายามพาดพิงให้ออกไปถึงระดับที่ใหญ่กว่ากรม ก็เป็นเรื่องที่สังคมสามารถพูดได้ นานาจิตตัง 

เมื่อเกิดปัญหาอย่างนี้ คุณยังอยากทำงานในกระทรวงทรัพย์ฯ อยู่ไหม

(ยิ้ม) ต้องบอกว่าเลือกตั้งครั้งหน้าเข้ามา แต่ละครั้งที่มีการเลือกตั้งนั้น มันตอบไม่ได้หรอกว่าพอเสร็จแล้ว จะมีการพูดคุย จะเป็นรัฐบาลหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ พอได้เป็นรัฐบาลแล้ว เราจะได้เลือกตั้งผ่านเข้า พรรคชาติไทยพัฒนาจะมีกี่เสียง เราก็ไม่รู้ เราตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า 25 ในความเป็นจริง จะออกมาเท่าไร เราไม่รู้เลย 

ดังนั้นเราจะไปพูดคุย จะมีพรรคใหญ่มาเชิญเราไปเข้าร่วมรัฐบาล แล้วจะมีการแบ่งการบริหารการทำงานในรูปแบบใด อันนี้เรายังพูดไม่ถูกหรอก จะบอกว่าอยากอยู่ก็ไม่ใช่ จะบอกว่าอยากไปก็ไม่เชิง ขึ้นกับว่าพอถึงเวลาแล้ว ขนาดของชาติไทยพัฒนา จะสามารถพูดคุยแล้วก็จบลงได้ ด้วยการบริหารงานใน Portfolio ใด 

เมื่อร่วมรัฐบาลคุณประยุทธ์ ก็จะมีคนพูดว่าพรรคชาติไทยพัฒนาคือพรรคที่สนับสนุนเผด็จการ อันนี้คุณจะตอบข้อกล่าวหาอย่างไร

หากไม่ได้มีการเลือกตั้งก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่อมีการเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ไม่มีหรอกครับคำว่าเผด็จการ สมมติว่าผ่านเลือกตั้งเข้าไปแล้วรอบนี้ ก็ต้องถามว่ากระบวนการนี้เป็นเผด็จการหรือเปล่า

อีกข้อก็คือ ในการเลือกตั้งรอบนี้ มีผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว คุณจะบอกว่ารอบนี้คือการเลือกตั้งในระบบเผด็จการไหม ถ้าคุณบอกว่าใช่ก็โอเค แปลว่าประเทศไทยยังอยู่ในระบอบเผด็จการอยู่ แต่ผมคิดว่าการที่ประชาชนกว่า 50 กว่าล้านคน มาใช้สิทธิใช้เสียงในการลงคะแนน จะบอกว่าเป็นเผด็จการก็คงจะไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคำว่าไม่เผด็จการคืออะไร 

วันนี้ท่านนายกฯ ประยุทธ์ เองผันตัวมาเป็นนักการเมือง ไม่ต่างอะไรกับครั้งที่แล้วที่ ถ้าบอกว่าเป็นเผด็จการ ก็ต้องถามว่าแล้วอะไรคือไม่ใช่เผด็จการ การเลือกตั้งพิสูจน์ได้ไหมว่าในเมื่อประชาชนลงคะแนนแล้ว ลงฉันทมติออกมาแล้วว่าพรรคไหนจะได้เสียงข้างมาก เสียงข้างน้อย ถือเป็นกระบวนการของประชาธิปไตยหรือไม่ ถ้าบอกว่าใช่ก็เป็นการอธิบายคำตอบไปในตัว

พรรคชาติไทยพัฒนาเลือกอย่างไรว่าจะร่วมรัฐบาลกับขั้วไหน

ผมเชื่อว่าทุกพรรค ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งจะมีการนำเสนอนโยบายของตัวเอง แล้วท้ายที่สุดนโยบายต่างๆ ที่เรานำเสนอนั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำได้ ฉะนั้น ก็ต้องดูว่าแนวนโยบายที่ผมนำเสนอไว้ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Climate Change ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคาร์บอนเครดิต การเกษตรรุ่นใหม่ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เขาพร้อมที่จะเข้าไปทำหรือไม่

หากบอกว่าโอเค รับเงื่อนไขที่พูดเอาไว้ จะเอาไปปฏิบัติได้ไหม แต่ถ้าบอกว่า ผมไม่ทำหรอก ก็ตอบไม่ได้ว่าจะเข้าไปเป็นรัฐบาลทำไม

ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่สำคัญกว่าคือต้องมาดูก่อนว่าใครเขามาเชิญเราหรือเปล่า ยังไม่รู้เลยนะครับ (หัวเราะ)

คุณคิดว่าพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นพรรคของจังหวัดสุพรรณบุรี หรือพรรคของภาคกลางๆ รอบๆ นั้น แค่นั้นไหม

ไม่ใช่แค่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ไหนแต่ไร พรรคชาติไทยพัฒนาเรามี ส.ส.อยู่ในภาคอีสาน  การเลือกตั้งครั้งหน้า เราก็มีว่าที่ผู้สมัครทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ มีคนจากหลากหลายสาขาอาชีพ หลากหลายภูมิภาค แน่นอน เมืองหลวงเราอยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี ก็อาจจะบอกได้ว่าสุพรรณบุรีเป็นฐานที่มั่น เป็นที่ตั้ง ที่มั่น 

แต่ว่าก่อนหน้านี้ เรามีมากกว่าสุพรรณบุรี ทางภาคเหนือ เชียงราย เราเคยมี ส.ส. ที่อุบลราชธานี หรือแม้แต่ ส.ส.ที่อยู่ในสภาฯ ชุดปี 2562-2566 เกินครึ่งเป็นศิษย์เก่าพรรคชาติไทยพัฒนาในขณะที่ยังเป็นพรรคชาติไทย 

ดังนั้นจะบอกว่าเป็นพรรคท้องถิ่นไหม อาจจะมองได้ว่าเป็นอย่างนั้น แต่การทำงานของเราที่ทำงานมาตลอด 3 ปี แสดงให้เห็นครับว่า นอกจากจะไม่ใช่ท้องถิ่นแล้ว พรรคเรามีนโยบายไปถึงระดับโลกนะครับ

ถ้าว่ากันระดับท้องถิ่น โฟกัสไปที่จังหวัดสุพรรณบุรี วันนี้ก็ยังไม่มีใครปฏิเสธว่าการทำงานของคุณบรรหาร รวมถึงพรรคชาติไทย ทำให้สุพรรณบุรีมีความเจริญที่มากกว่าจังหวัดอื่นๆ และทำให้จังหวัดนี้ยังเป็นฐานที่มั่นของพรรคคุณ สำหรับคุณมีเคล็ดลับอย่างไร มีวิถีทางอย่างไร ให้จังหวัดอื่นๆ เป็นได้อย่างจังหวัดสุพรรณบุรี 

นอกจากความสามารถในการทำงานด้วยกันของ ส.ส.ที่อยู่ในจังหวัดแล้ว ถ้ามองให้ไกลมากกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะต้องวางแผนพัฒนาเมือง พัฒนาจังหวัดอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น 

สำหรับสุพรรณบุรี สิ่งที่พ่อบรรหารทำมาใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ตลอดเวลา 40 กว่าปี ตั้งแต่เป็น ส.ส.จนถึงวันที่สุพรรณบุรีเป็นแบบวันนี้ ภารกิจที่ท้าทายคือ จากนี้ต่อไป จะทำอย่างไรที่จะรักษาสิ่งที่พ่อบรรหารทำมาสามารถอยู่คงทนต่อไป และสามารถต่อยอดจากสิ่งที่พ่อบรรหารได้ทำมา ดังนั้น แต่ละจังหวัดนั้นต้องคุยกับประชาชน ขณะเดียวกัน ประชาชนในแต่ละจังหวัดนั้นๆ ต้องสามัคคีกัน เห็นไปในทิศทางเดียวกัน 

ในความเห็นคุณ คุณสมบัติของการเป็นนายกฯ ที่ดี ควรจะเป็นอย่างไร

ผมคิดว่าการที่มี Bandwidth ในที่นี้คือมีศักยภาพที่จะปฏิบัติงานในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับรากหญ้า ระดับพี่น้องประชาชน ไปจนถึงเวทีนานาชาติ Bandwidth เหล่านี้จะเป็นตัวสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสังคม และในระดับเวทีโลก ในขณะเดียวกัน ก็ให้ความอุ่นใจกับพี่น้องประชาชนที่อยู่ในประเทศด้วย 

ไม่ได้แปลว่า นายกฯ จะต้องรู้หมดทุกเรื่อง แต่ต้องสามารถสั่งการ และมีบุคลากรที่สามารถแก้ไขปัญหาให้ได้ทันท่วงที ไม่มีใครหรอกครับที่จะมาแล้วรู้ได้ทุกกระทรวง 20 กระทรวง เป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ต้องมีรัฐมนตรีแล้ว

แต่นายกฯ จะต้องรู้งาน แล้วสามารถทำงานได้ในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการหรือวงการไหน ต้องสามารถเข้าถึง เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงาน ให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นเนื้องานเดียวกัน เป็นทีมเดียวกันเข้าไปทำงาน 

ถ้ายกตัวอย่างคุณบรรหาร จะสามารถอธิบายความเป็นนายกฯ ที่ดี ที่คุณพูดถึงได้ไหม

พ่อบรรหารเป็นตัวอย่างที่เป็นนักปฏิบัติตัวยงเลยนะครับ ใช่ นายบรรหารมีทั้งข้อดีและข้อด้อย ไม่มีมนุษย์คนไหนที่มีแต่ข้อดี ทุกคนเป็นปุถุชนธรรมดา นายกฯ แต่ละคนจะมีข้อดี ข้อด้อยต่างกันในแต่ละห้วงเวลาไป

สำหรับนายบรรหาร เป็นคนที่กว่าจะได้มาเป็นนายกฯ ก็เคยเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงหลักๆ ของประเทศไทยมา หลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยเห็นมีใครมีโปรไฟล์เหมือนแบบนี้ ท่านเป็นกรรมาธิการงบประมาณ 14-15 ปีเต็ม ทำให้เข้าใจถึงกลไกการทำงานในพรรค และในรัฐบาล เมื่อท่านเข้ามาเป็นนายกฯ ก็จะสามารถเอาความรู้ ประสบการณ์ต่างๆ เหล่านั้น มาแก้ไขปัญหาในแต่ละสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ 

ดังนั้น คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีก็ควรจะต้องผ่านงานการบริหารราชการแผ่นดินมา ณ ระดับหนึ่ง เพื่อที่จะได้เห็นว่า ปัญหา ข้อกำจัด ข้อในทางปฏิบัติ อันไหนทำได้ไม่ได้ จะได้มีความเข้าใจมากขึ้น

สำหรับคุณ ‘มรดก’ ของคุณบรรหาร จนถึงวันนี้ มีอะไรที่คุณคิดว่าน่าจดจำที่สุด

มรดกทางการเมือง ชิ้นที่ใหญ่ที่สุด ที่ชื่อว่าบรรหาร ศิลปอาชา ทิ้งไว้ให้กับประเทศไทย ก็คือก็รัฐธรรมนูญ 2540 ผมคิดว่ามีนักการเมืองไม่กี่คน ที่จะสามารถทิ้งมรดกให้ประเทศไทยเช่นนี้ได้ สมาชิกวุฒิสภา สมัยที่พ่อบรรหารเป็นนายกในสมัยนั้นยังไม่มีการเลือกตั้ง เป็นการแต่งตั้งอย่างเดียว มาจนถึงวันนี้ วุฒิสมาชิกสมัยของรัฐบาลบรรหารก็ยังถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในวุฒิสภาที่มีคุณภาพที่สุดในประเทศไทย นั่นก็คือสมบัติหรือว่ามรกดอีกชิ้นหนึ่งที่นายบรรหารทิ้งไว้ให้เป็น Legacy สำหรับแผ่นดินไทย 

คำว่า ‘ประชาธิปไตย’ ในนิยามของคุณคืออะไร

ประชาธิปไตยคือการที่แต่ละฝ่ายมีสิทธิที่จะคิด มีสิทธิที่จะพูด ในความคิดที่แตกต่างกันไป แต่พื้นฐานของความคิด คำพูดนั้น จะต้องเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นด้วยเช่นกัน จะมาบอกว่าอันนี้เป็นประชาธิปไตย ฉันจะทำแบบนี้ ก็พูดได้ทั้งนั้น 

การเป็นประชาธิปไตยนั้น จะต้องพิจารณาถึงสิทธิเสรีภาพของทุกๆ ฝ่าย ไม่ใช่แค่ของตัวฉันคนเดียว แต่ยังต้องพิจารณาถึงความเท่าเทียมกันทางสังคม การที่เดินหน้าไปด้วยกัน โดยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นี่คือความเท่าเทียม นี่คือประชาธิปไตยที่ชาติไทยพัฒนาผลักดันมา ในรูปแบบของรัฐธรรมนูญ 2540 ผ่านการดูแลพี่น้องผู้พิการหรือผู้ด้อยโอกาสต่างๆ หรือความเท่าเทียมทางสังคม

พรรคชาติไทยพัฒนามีแนวคิดในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไร

สิ่งที่ผมทำมาตลอด 4 ปีในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของผมเรื่องการทำงาน และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง 

ผมไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนอื่นได้ แต่ผมไม่เชื่อใน Destructive Politic หรือการเมืองที่มุ่งทำลายกัน ผมเชื่อใน Constructive Politic หรือการเมืองที่สร้างสรรค์ ผมไม่เชื่อในการต่อว่ากัน สาดโคลนใส่กัน ผมยังเชื่อในการให้กำลังใจกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกันว่ามันไม่ได้ทำให้สังคมไทยเสื่อมโทรมลงไป

จะชมใครสักคนหนึ่งมันไม่ได้เสียตังค์ แต่การด่าใครสักคนมันอาจจะทำให้คุณเสียตังค์ได้ถ้าคุณโดนฟ้องหมิ่นประมาท เสียตังค์ เสียเวลา ดังนั้น สิ่งที่ผมทำมาตลอด 3 ปีกว่านั้น ก็คือการให้โอกาส และให้เกียรติทุกๆ คนที่เราทำงานด้วย 

นี่คือหนึ่งการทำงานที่เราจะลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ถ้าคุณไม่เห็นด้วย ก็ไม่เห็นด้วย ผมจะไม่ไปเน้นดราม่าแล้วออกไปโฆษณาว่าผมไม่เห็นด้วย นาย ก. กับนาย ข. เอย อะไรเอย แล้วสร้างให้เป็นกระแสเกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย ไม่ได้เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนา ทางความคิด ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 

ถ้าจำได้ มีอยู่ช่วงหนึ่ง เกิดกรณีที่ผมมีปากเสียงกับพี่แหม่ม ท่านรัฐมนตรีมนัญญา (มนัญญา ไทยเศรษฐ – รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากพรรคภูมิใจไทย) สิ่งที่ผมทำภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากที่เกิดเหตุ คือผมไปขอโทษพี่แหม่มก่อน เราไม่พูดถึงว่าใครผิดใครถูก ผมเองยังเป็นผู้อาวุโสน้อย จะไปก้าวร้าวกับผู้มีอายุโสมากกว่าต่างๆ เหล่านี้ เราไปขอโทษเขาเสีย 

การยอมถอยมาคนละก้าว 24 ชั่วโมงผ่านไป น้องไปขอโทษพี่ พี่ให้อภัยน้อง ความขัดแย้งทางการเมืองจบไปภายใน 24 ชั่วโมง ดังนั้น อย่างที่บอกว่าไปเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่ผมทำตัวเองให้เป็น The Change ที่ทำให้คนอื่นเห็น วันนั้นถ้าหากผมเลือกที่จะไม่จบ แล้วก็ยังต่อล้อต่อเถียงต่อ มาวันนี้ผมก็จะมีศัตรูทางการเมืองเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง 

พ่อผมสอนอยู่เสมอบอกว่าศัตรู 1 คนก็มากไป มีมิตร 100 คนก็น้อยไป ดังนั้นการทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ Constructive Politics นั้น จะเป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น การที่บอกว่ายอมถอยกันคนละก้าว มันพูดง่ายนะ แต่จะทำจริงๆ เหมือนอย่างตอนที่ผมเอาพวงมาลัยไปขอขมาพี่แหม่ม มันเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ว่า คุณพร้อมก้าวข้ามสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไปสู่ความสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน

ถ้ามี Spectrum ทางการเมืองเป็น Liberal กับ Conservative ชาติไทยพัฒนาอยู่ตรงไหน

ผมอยู่ Middle Right ผมจะออกค่อนข้าง Conservative หน่อยๆ แต่ว่าไม่ใช่ขวาตกขอบ แล้วก็ไม่ใช่ซ้ายตกขอบ ไม่ใช่กลางเป๊ะ ผมจะกลางค่อนมาทางขวา จะค่อนข้าง Middle Conservative 

ในความเห็นคุณ จะแบ่งการเมืองไทยเป็นซีกอย่างนั้นได้ไหม

ไม่ได้หรอก คือผมยังเชื่อในการทำงานที่มันไม่มีรุ่น วันนี้มีคนบางกลุ่มที่พยายามจะแบ่งสังคมไทยเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่า ผมจะไม่เคยพูดคำนี้ ทุกคนล้วนแต่เป็นปัจเจกบุคคลที่ทำงานอยู่ในห้วงเวลาในขณะนี้ องค์ความรู้ในแต่ละคนที่มีประสบการณ์ ความสามารถในแต่ละบุคคลที่มี จะอายุเท่าไรก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่เป็นทรัพยากรที่สำคัญในการที่จะพัฒนาแผ่นดินไทยให้เดินไปข้างหน้า การที่จะเดินไปข้างหน้าได้ไม่ใช่แค่รุ่นใหม่อย่างเดียว ผมเจอสถานการณ์นี้มาแล้ว เกือบตายครั้งหนึ่งมาแล้ว คนรุ่นใหม่อย่างเดียว เอาประเทศไทยไปไม่รอดแน่นอน 

แต่ในทางกลับกัน จะเอาคนผู้หลักผู้ใหญ่อย่างเดียวที่ผ่านมา ทำแบบสมัยก่อน ประเทศไทยก็เจ๊งอีกเช่นกัน การจะเดินไปข้างหน้าได้ต้องมีวิสัยทัศน์ของคนรุ่นใหม่มองไปข้างหน้าว่า วันนี้เทรนด์ของโลกไปอย่างไรบวกกับประสบการณ์-ความผิดพลาดของผู้หลักผู้ใหญ่รุ่นที่ผ่านมาว่า การทำแบบนี้เมื่อก่อนมันเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นนะ ฉะนั้นจะเดินไปข้างหน้าได้ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นใหญ่ จะต้องเดินไปด้วยกัน จับมือเดินไปด้วยกัน ถ้าใครบอกว่ารุ่นเก่าอย่างเดียว รุ่นใหม่อย่างเดียว ผมคิดว่านั่นคือหายนะของประเทศไทยที่แท้จริง 

แล้วถ้าจะขายพรรคชาติไทยพัฒนาให้กับ ‘คนรุ่นใหม่’ คุณจะขายอย่างไร

สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในวันนี้้ เราพูดถึงความยั่งยืน จะทำอย่างไรให้ประเทศไทย เป็นประเทศที่มีความยั่งยืน เพื่อลูกหลานรุ่นต่อๆ ไป เราใช้คำว่า Sustainability for All Generation ผมคิดว่าเราอาจจะเป็นหนึ่งในไม่กี่พรรค ที่เราคิดถึงอนาคตของลูกหลานว่า อีก 10-20 ปีจากนี้ไป พวกเขาจะแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้อย่างไร 

วันนี้ยังไม่มีใครเคยพูดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ น้ำจะท่วมในเขตพื้นที่ภาคกลางจะแก้ไขอย่างไร  สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ในวันนี้และสิ่งที่ชาติไทยพัฒนากำลังทำคือ เราคิดไว้ว่าอีก 40 ปีจากนี้ไป ลูกหลานของเราจะอยู่ในสังคมแบบไหน จะรับมือการเปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติและความพิโรธของธรรมชาติอย่างไร น้ำมามหาศาล จะต้องสร้างสะพานข้ามอ่าวตัว ก หรือไม่ แน่นอนอาจจะมีนักสิ่งแวดล้อมออกมาต่อต้าน แต่ก็ต้องมีคนช่วยกันคิดแล้วว่าพื้นที่ลุ่มแม่น้ำภาคกลางทั้งหมด กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ ไปจนถึงสุพรรณบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี ลุ่มน้ำภาคกลางตรงนี้ จะป้องกันไม่ให้น้ำท่วมได้อย่างไร  เพราะถ้าน้ำทะเลเพิ่มขึ้นสูงกว่านี้อีกสักประมาณ 40 เซนติเมตร จะไปเที่ยวชายหาดไม่ต้องไปชลบุรีนะครับ คุณไปสระบุรี คุณไปนครสวรรค์แทน เพราะชายหาดประเทศไทยมันจะขึ้นไปอยู่ตรงนั้น 

เรากำลังคิดถึงประเด็นเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ลดแลกแจกแถมให้รอดตัวไปกับการเลือกตั้งไปแต่ละสมัย นโยบายชาติไทยพัฒนาอาจจะดูไม่น่าตื่นเต้นตกใจ แต่เรากำลังแก้ปัญหาที่จ่อคอหอยประชาชนไทยทุกระดับ ไม่ใช่แค่พี่น้องเกษตรกร หรือกลุ่มธุรกิจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

จุดยืนพรรคชาติไทยพัฒนากับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นอย่างไร

ไม่แตะครับ พรรคชาติไทยพัฒนา ตั้งแต่สมัยพ่อบรรหาร เราเชื่อว่าการที่เกิดมาอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์นั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ผมพูดได้เต็มปาก แล้วก็กล้าพูดด้วยจากการที่ไปเห็นทั่วโลก ผมเกิดเมืองไทย ผมโตที่อังกฤษ ผมไปศึกษาอยู่ที่อเมริกาด้วยเช่นกัน ได้เห็นมาหลายสิ่งหลายอย่าง  ถึงได้มั่นใจว่าวันนี้ ถ้าประเทศไทยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ล่มสลายแน่นอน 

แปลว่าเราคิดขวาตกขอบหรือเปล่า ไม่ใช่ ก็ต้องบอกว่าอยู่กันมาตั้งนานก็ไม่เห็นว่ามีเหตุอะไรที่ต้องไปแก้มาตรา 112 มีปัญหาอะไร ทำไมเพิ่งมามีปัญหาเอาเมื่อ 2-3 ปีนี้ เพราะอะไร ก็อยู่กันมา ก็ไม่ได้เหตุอะไรที่จะต้องไปแก้ แล้วอยู่ๆ ก็เกิดกระแสขึ้นมา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนบางกลุ่ม หรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้นมีแนวคิดหรือว่ามีแนวทางอย่างไร 

ถ้าเลือกเป็น 1 ตัวละครใน Star Wars คุณจะเลือกเป็นตัวไหน

ผมขอเป็นโอบีวัน เคโนบี เขาบีมีหน้าที่ในการดูแล ลุค สกายวอล์กเกอร์ ที่จะโตขึ้นมา ของผม ลุค สกายวอล์กเกอร์ คือประเทศไทยที่จะเป็นพระเอกที่จะต้องโตขึ้นมา แล้วก็ผมก็อยากเป็น โอบีวัน เคโนบี ที่ช่วยดูแล ทำงานให้กับแผ่นดินไทย ให้ลุคเติบโตขึ้นมา แล้วท้ายที่สุด ถ้าจะโดน ดาร์ธ เวเดอร์ ฟันให้ตายไป ผมก็จะเป็นวิญญาณ คอยดูแลประเทศไทยเหมือนที่อย่างโอบีวัน เพื่อดูแล ลุค สกายวอล์คเกอร์ ต่อไป

คุณจะเลือกเป็นโอบีวันในภาคไหน

ขอเป็นภาคแรกๆ ตอน ยวน แมคเกรเกอร์ (Ewan McGregor) เล่นได้ไหม จริงๆ Star Wars ที่มันออกมาสู่สาธารณชนตอนเด็กๆ เลยมันคือภาค 3 ตัวผมเองขอเป็นโอบีวันภาคหนุ่มๆ หน่อย ไม่เอาแบบเกิดปุ๊ปแล้วตายเลย (หัวเราะ)

ที่คนชอบพูดถึงกันมากคือ วราวุธ ศิลปอาชากับการใช้ภาษาอังกฤษได้ดี

ผมไปอยู่อังกฤษมานาน ชอบเลียนเสียงชาวบ้านเขา ก็เลยเอาสำเนียงภาษาอังกฤษที่ติดตัวมานั่นแหละ มาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าจะสำเนียงอะไร จะพูดภาษาอังกฤษดีไม่ดี ไม่ใช่ประเด็นครับ สำคัญอยู่ที่ว่าพูดให้คนฟังรู้เรื่องก็พอ 

มีอะไรจะฝากถึงคนที่กำลังฝึกฝนหรือหัดเรียนภาษาอังกฤษอยู่ตอนนี้ 

อย่าไปกลัวที่จะพูดครับ เขาเรียกว่า ด้านได้ อายอด พูดผิดพูดถูก อย่าไปสน ช่างมัน คิดในทางกลับกันว่า เวลาเราได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยแบบไม่ชัด เรายังดีใจเลยว่าเขาอยากพูดภาษาเรา คนต่างชาติก็เช่นกันครับ ฟังเราพูดภาษาอังกฤษไม่ชัด เขาก็ดีใจว่าเราอยากจะพูดภาษาเขา ผิดถูกอย่างไร อย่าไปสนครับ พูดไปเถอะ แล้วเดี๋ยวเขาจะบอกเองว่าผิดถูก แต่อย่างน้อยเอาข้อความ เอาความหมาย เอา Context ของเราส่งไปให้เขาให้ได้ นี่คือความสำคัญ ของการสื่อสาร 

ขอภาษาอังกฤษสักประโยคหนึ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งรอบนี้

(นิ่งคิด) The only certain thing in politics is the uncertainty, so always expect the unexpected. As Forrest Gump used to say, ‘Life is like a box of chocolate, you never know what you gonna get next (เลียนสำเนียงฟอร์เรสต์ กัมพ์).’ That’s Thai politics and same as everywhere around the world.

สำหรับผม สิ่งหนึ่งที่เป็นความแน่นอนในการเมืองก็คือความไม่แน่นอน ดังนั้นขอให้เตรียมพร้อมกับสิ่งที่ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น แล้วก็อย่างที่ Forrest Gump เคยพูดไว้เขาบอกว่า ชีวิตเหมือนกล่องช็อคโกแลต ล้วงเข้าไปหยิบขึ้นมาจะได้ช็อคโกแลตอะไรก็ไม่รู้ อาจจะอันที่เราชอบ อาจจะอันที่เราไม่ชอบ แต่ก็ขอให้เตรียมตัวเอาไว้ 

Fact Box

  • พรรคชาติไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2518 โดย พลตรี ประมาณ อดิเรกสาร และพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ในนามกลุ่มการเมืองซอยราชครู และขึ้นชื่อว่าเป็นพรรคขุนนาง อย่างไรก็ตาม หลังทศวรรษ 2530 เมื่อ บรรหาร ศิลปอาชา เติบใหญ่ทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหัวหน้าพรรค กลุ่มซอยราชครูก็ถอยออกไป และเปลี่ยนพรรคชาติไทยไปโดยสิ้นเชิง
  • พรรคชาติไทยเคยมี ส.ส.มากที่สุด ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2538 โดยมี ส.ส.มากถึง 92 ที่นั่ง ส่งให้บรรหารขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ผลงานสำคัญของบรรหารในรอบนั้นก็คือการ ‘ปฏิรูปการเมือง’ ผลักดันให้เกิดการเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และผลักดันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งหลายคนเห็นตรงกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลบรรหารดำรงตำแหน่งได้เพียง 1 ปีเศษ เนื่องจากความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาลเอง จนในที่สุดบรรหารก็ตัดสินใจยุบสภาฯ พรรคชาติไทยเผชิญกับการไหลออกของ ส.ส. และบรรหารก็ไม่ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก
  • ในการให้สัมภาษณ์กับ The Momentum เมื่อปี 2563 วราวุธบอกไว้ว่า หากคิดว่าการต่อสู้ทางการเมืองเป็นการต่อสู้ระหว่าง ‘คนรุ่นเก่า’ กับ ‘คนรุ่นใหม่’ ถือว่าเป็นความคิดที่โง่มาก และเขาเชื่อว่าการเมืองไทยต้องมองกันยาวๆ บางครั้ง พระเอกก็เป็นผู้ร้าย และนานไป ผู้ร้ายก็อาจจะเป็นพระเอก
Tags: , , ,