ธุรกิจ Wellness กำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่ง หลังยุคโควิด-19 ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ไม่เพียงแค่การดูแลร่างกาย แต่ยังรวมถึงสุขภาพใจที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยตรง ปัจจุบันตลาด Wellness มีมูลค่านับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก และยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยหนึ่งในเซกเมนต์ที่เติบโตเร็วที่สุดคือ Sleep Wellness ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ที่นอน หมอน เครื่องนอน ไปจนถึงเทคโนโลยีติดตามคุณภาพการนอน การลงทุนใน ‘การนอนอย่างมีคุณภาพ’ จึงกลายเป็นพฤติกรรมใหม่ที่ผู้บริโภคทั่วโลกยอมจ่ายเพื่อสุขภาพระยะยาว
ธุรกิจหมอนเพื่อสุขภาพ (Wellness Pillow) จึงเป็นอีกหนึ่งเซกเมนต์สำคัญในอุตสาหกรรม Wellness ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงของใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยส่งเสริมคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งถือเป็นรากฐานของสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ ผู้คนเริ่มมองหาเครื่องนอนที่ตอบโจทย์ทั้ง ฟังก์ชันการใช้งานและความรู้สึกที่ได้รับ จนเกิดเป็นเทรนด์การเลือกซื้อสินค้าที่สะท้อนทั้งไลฟ์สไตล์และการดูแลตนเอง (Self-care) ไปพร้อมกัน
แพร-รมิตา สุทธินรากร ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Homoliving มองว่า ‘หมอน’ คือจุดเริ่มต้นของการพักผ่อนที่มีคุณภาพ แม้จะดูเหมือนสิ่งเล็กน้อย แต่กลับส่งผลโดยตรงต่อสมดุลชีวิตในทุกๆ วัน ท่ามกลางตลาดที่มีการแข่งขันสูงทั้งจากแบรนด์ไทยและต่างประเทศ เธอเลือกที่จะพัฒนาหมอนให้กลายเป็นตัวช่วยด้าน Wellness ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น
ภายใต้กระแสการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เทรนด์ ‘การนอนอย่างมีคุณภาพ’ กำลังได้รับการพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ และ Homoliving ก็สะท้อนให้เห็นว่า การให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ อย่างหมอน อาจเป็นก้าวสร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ต่อสุขภาพระยะยาวได้
แพรเล่าถึงชื่อแบรนด์ว่า Homoliving มาจากคำว่า Homo ที่หมายถึง ‘เหมือน’ และ Living หมายถึง ‘การอยู่อาศัย’ และตัวอักษร H สื่อถึง Health, Heart และ Home สินค้าของ Homoliving จึงไม่ใช่แค่ของใช้ แต่เป็นชิ้นงานที่เชื่อมโยงการพักผ่อนกับความสุขและดีไซน์
จากความวุ่นวายในเมือง สู่โจทย์เรื่องคุณภาพการนอน
ก่อนที่ Homoliving จะเกิดขึ้น ผู้ก่อตั้งมองเห็น Pain Point ที่คนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญ นั่นคือการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและการจราจรติดขัด การเสียเวลาไปกับสิ่งเหล่านี้ทำให้เวลาพักผ่อนลดน้อยลง หลายคนแม้จะนอนครบชั่วโมง แต่กลับรู้สึกไม่สดชื่นราวกับไม่ได้พักจริงๆ คุณภาพการนอนจึงเป็นปัญหาที่ถูกมองข้าม
เจ้าของแบรนด์เองก็เผชิญประสบการณ์เดียวกัน การทำงานในเมืองทำให้ต้องใช้เวลาอยู่บนท้องถนนนาน จนเมื่อถึงเวลานอน สิ่งที่ต้องการไม่ใช่แค่การนอนนานๆ แต่คือนอนให้มีคุณภาพ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญความวุ่นวายในวันถัดไป
จากโจทย์นี้จึงเกิดเป็น Homoliving แบรนด์หมอนที่ไม่ได้คิดเพียงเรื่องการซัพพอร์ตร่างกาย แต่ถูกออกแบบให้ช่วยสร้างคุณภาพการพักผ่อนในทุกมิติ หมอนสามารถปรับใช้ได้ในหลายจังหวะของชีวิตในบ้าน ไม่ว่าจะนั่ง เอน พัก หรือทำงานจากบ้าน โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือ การทำให้ทุกช่วงเวลาพักผ่อนมีความหมาย และช่วยรีชาร์จร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง
จากพื้นฐานงานออกแบบ สู่การพัฒนาหมอนที่ตรงกับสรีระจริง
เบื้องหลัง Homoliving ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ผู้ก่อตั้งมีพื้นฐานด้านอินทีเรียดีไซน์ และ Design Innovation ทำให้มีพื้นฐานด้านการออกแบบที่สอดคล้องกับสรีระมนุษย์อยู่แล้ว งานออกแบบจึงไม่ได้คิดถึงเพียงฟังก์ชัน แต่ยังผสมผสานเรื่องวัสดุ สีสัน และองค์ประกอบที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจเข้าไปด้วย
“หมอนจะสบายต่อเมื่อมันพอดีกับสรีระ และสรีระของคนเรามีหลายรูปแบบ” แพรเล่า
นอกจากความรู้ที่ติดตัวมา Homoliving ยังได้ทำงานร่วมกับนักกายภาพบำบัดและผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยืนยันว่าหมอนที่พัฒนาขึ้นตอบโจทย์จริง ทั้งในแง่ความสบายและหลักสรีรศาสตร์ สินค้ารุ่นแรกของ Homoliving จึงถูกพัฒนาต่อยอดมาเป็นอีกหลายเวอร์ชัน ที่ออกแบบให้เหมาะกับทุกกิจกรรม หมอนเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากการทดสอบและเก็บฟีดแบ็กจริง เพื่อให้รองรับได้ทั้งท่านอนหงาย ตะแคง หรือแม้แต่ช่วยลดแรงกดทับบริเวณหัวไหล่และแขน
“หมอนกล้วยเป็นรุ่นยอดนิยม เพราะมีขนาดใหญ่ 71 เซนติเมตร และใช้เมโมรีโฟมที่นุ่มแน่นกำลังดี ทั้งหนุน กอด หรือก่ายก็สบาย เด็กๆ ชอบเป็นพิเศษเพราะขนาดพอดีตัว อีกทั้งยังมีฟังก์ชันช่องใส่โทรศัพท์ ทำให้เหมาะกับการนอนดูซีรีส์หรือพักผ่อนได้อย่างเพลิดเพลิน” แพรเล่า
ปัจจุบัน Homoliving มีสินค้า 6 แบบ รวมเป็น 9 SKU ได้แก่ หมอนกล้วย, หมอนโดนัท (รุ่นไลต์และรุ่นเฟิร์ม), หมอนเลมอน, หมอนเมฆ 2 สี และเบาะพิงหลังรูปหลังกระต่าย ครอบคลุมทุกการใช้งานและเสริมการพักผ่อนในหลายรูปแบบ
แพรเล่าถึงฟีดแบ็กที่ได้รับจากผู้ใช้งานจริงว่า “Homoliving เปิดมาเกือบ 2 ปีแล้ว โดยช่วงแรกสิ่งที่สื่อสารออกไปมากที่สุดคือ เรื่องรูปลักษณ์ที่คนเห็นผ่านสื่อออนไลน์ แต่เมื่อได้ลองใช้จริง ลูกค้าพบว่าหมอนไม่ได้มีดีแค่ความน่ารัก แต่ยังนอนสบาย เพราะคุณภาพของเมโมรีโฟมที่นุ่มและแน่นพอดี ทำให้ฟีดแบ็กออกมาค่อนข้างดีและเหนือความคาดหมาย จึงเกิดการพัฒนารุ่นใหม่ตามความต้องการ อีกทั้งยังมีเคสพิเศษ เช่น ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดบอกว่า หมอนของ Homoliving คือ ‘หมอนจบ’ ทำให้ทีมงานรู้สึกดีใจและภูมิใจที่ได้ช่วยให้ผู้ใช้เจอหมอนที่ตรงใจจริงๆ”
หัวใจสำคัญของการออกแบบคือ ‘คุณภาพ’
สำหรับ Homoliving หัวใจสำคัญของการออกแบบคือ คุณภาพที่ลูกค้าจะได้รับ เริ่มตั้งแต่การเลือกวัสดุหลักอย่าง Memory Foam ซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์ที่มีคุณสมบัติทั้งนุ่มและแน่นในเวลาเดียวกัน หนุนแล้วช่วยลดอาการปวดเมื่อย รองรับสรีระได้ดี แถมยังนุ่มแบบกอดสบายโดยไม่ยวบจนเสียทรง เสริมด้วยปลอกหมอนที่ทำจากผ้า Cool Fabric เนื้อนุ่มลื่นและกักเก็บความเย็น ทำให้เวลานอนรู้สึกสบายและผ่อนคลายมากขึ้น
Homoliving ไม่ใช่แค่หมอน แต่ดูแลจิตใจ
แพรมองว่า ความแตกต่างของ Homoliving ไม่ใช่แค่การทำหมอนที่รองรับสรีระ แต่คือการออกแบบที่ช่วยดูแลจิตใจไปพร้อมกัน เพราะหมอนไม่ได้เป็นเพียงเครื่องนอน แต่คือเพื่อนคู่ใจที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดในเวลาพักผ่อน การเลือกใช้วัสดุคุณภาพอย่างเมโมรีโฟม รวมถึงปลอกหมอนเย็นที่ทำให้การนอนรู้สึกสบาย ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า Homoliving ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันรูปทรงที่สดใส น่ารัก และจัดวางในบ้านได้สวยงาม ก็ช่วยเติมเต็มด้านอารมณ์และความสุขให้กับผู้ใช้ไปพร้อมๆ กัน
จากการสร้างการรับรู้ สู่ความผูกพันระยะยาว
ช่วงเริ่มต้น Homoliving มุ่งสร้าง Brand Awareness เพื่อให้คนรู้จักและเข้าถึงสินค้า แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์ยืนระยะได้จริงคือ คุณภาพ ที่ทำให้ลูกค้าพร้อมบอกต่อและกลับมาซื้อซ้ำ แพรเชื่อว่าการตลาดที่ดีที่สุดคือ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า ตั้งแต่การเลือกซื้อ ไปจนถึงการใช้งานจริง
สำหรับ Homoliving การสื่อสารกับลูกค้าไม่ได้จบแค่การขาย แต่คือการพูดคุย รับฟัง และแนะนำหมอนที่เหมาะกับสรีระและความต้องการเฉพาะของแต่ละคน โดยเชื่อว่าความสุขที่ส่งต่อผ่านหมอน ไม่ได้อยู่แค่ตัวสินค้า แต่เกิดขึ้นตั้งแต่การที่ลูกค้าเข้ามาเจอแบรนด์ ได้พูดคุย และรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจเขาจริงๆ “เรามองว่า การตลาดไม่ใช่แค่เครื่องมือขาย แต่คือการส่งต่อความสุขจากแบรนด์ไปถึงลูกค้าอย่างจริงใจ”
ก้าวต่อไปของ Homoliving ขยายความสุขผ่านสินค้าใหม่
แพรเล่าว่า หลังจากได้ฟังฟีดแบ็กจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แบรนด์จึงตั้งใจจะพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กับความต้องการที่หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเรื่องสรีระ ความชอบส่วนบุคคล หรือเงื่อนไขเฉพาะด้านสุขภาพ เพื่อให้ทุกคนได้เจอ หมอนที่ใช่สำหรับตัวเองจริงๆ
แม้จะพัฒนาสินค้าใหม่ในอนาคต แต่หัวใจของ Homoliving จะยังคงชัดเจนเหมือนเดิมคือ การสร้างสุขภาพแบบองค์รวมที่ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ ผ่านวัสดุที่มีคุณภาพและดีไซน์ที่สร้างความสุขในการใช้ชีวิต
ในระยะยาว Homoliving วางแผนที่จะต่อยอดจากหมอน ไปสู่สินค้าที่เกี่ยวกับการพักผ่อนและการใช้ชีวิตเชิง Wellness อื่นๆ ที่ยังคงยึดหลักเดิมคือ Functional + Emotional Design เพื่อสร้างทั้งประโยชน์ใช้สอยและคุณค่าทางใจให้กับผู้ใช้
“เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่การขายหมอนเพิ่ม แต่คือการสร้างแบรนด์ที่คนรู้สึกไว้ใจ และเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น”
บทเรียนธุรกิจจาก Homoliving เริ่มต้นจากความรัก
แพรเล่าว่า “ในการเริ่มต้นทำธุรกิจ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความรักในสิ่งที่ทำและความตั้งใจที่อยากแชร์สิ่งดีๆ ให้คนอื่น ถ้าเรามีความสุขกับสิ่งที่ทำ คนอื่นก็จะสัมผัสได้”
ธุรกิจเต็มไปด้วยความท้าทายและปัญหาที่ต้องจัดการ แต่ความรักและความตั้งใจจะช่วยให้เราผ่านอุปสรรคไปได้ แพรแนะนำว่า “หากใครอยากเริ่มธุรกิจ ควรเลือกสิ่งที่เราชอบจริงๆ และมีโอกาสในตลาด รวมถึงสอดคล้องกับความต้องการของโลก เหมือนอิคิไกเลย ทำในสิ่งที่เรารัก ทำในสิ่งที่โลกต้องการ แล้วเราตื่นมาในทุกวันด้วยความสุข มันจะช่วยให้แบรนด์หรือธุรกิจยั่งยืนได้จริง”
Tags: Homoliving, Business, หมอน, หมอนเพื่อสุขภาพ, wellness