“เธอยังคงหลับไหลจากฤทธิ์ไวน์และการเต้นรำเมื่อคืน ฉันรีบย่องออกมาเมื่อได้ยินเสียงเรือยนต์มาเทียบท่าเติมน้ำมันแถวบ้านเช่า เวนิสยามเช้าสวยงามเหมือนเคย แต่สงบนิ่ง ไร้เสียงเจื้อยแจ้ว อีกไม่นานเธอก็คงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคึกครื้น ด้วยจำนวนเพื่อนฝูงและผู้คนที่มาเยี่ยมเยียนเธอแบบไม่ขาดสาย ทว่ามันมากเกินไปในบางครั้ง ฉันปิดประตูอย่างเบามือและมุ่งหน้าสู่ Fondamente Nova เวนิสจ๋า หลังจากคลุกตัวมาพำนักกับเธอสักพักฉันก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ไอ้ GPS และ google maps มันเทียบไม่ได้กับป้ายบอกทางในซอยต่างๆ ของบ้านเธอ ที่มีลูกศรชี้พร้อมสถานที่กำกับว่า ต้องเลี้ยวเข้าซอยไหน ง่ายดาย ถึงที่หมายเพียงชั่วครู่
เสียงตะโกนที่ท่าเรือว่า “มูราโน บูราโน” แบบเหน่อๆ สไตล์คนบ้านเธอมันดังจนนกแถวนั้นบินกระเจิง ฉันกลัวว่ามันจะปลุกให้เธอตื่น จึงรีบกระโดดขึ้นเรือเมล์สาย 12 มุ่งหน้าสู่บูราโน”
เมืองริมคลองที่สีสันสดใส
จากคำพรรณาด้านบน มาจากส่วนหนึ่งในหน้าสมุดบันทึกของฉัน ก่อนออกเดินทางแบบ One-day trip ไปเยี่ยมชมบูราโน เกาะชาวประมงที่อาคารทุกหลังระบายสีสันสดใส ฉันเริ่มต้นเดินทางมาเวนิสด้วยภาพจำถึงความงามอันหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็แทบจะร้องไห้เพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่มีครั้งไหนที่ไม่ต้องต่อคิว เราจึงออกไปแสวงหาความงดงามของเมืองแห่งลำคลองในเวอร์ชันคนน้อยๆ ดูบ้าง แต่บูราโนก็ไม่ใช่เมืองร้างที่ไร้นักท่องเที่ยวหรอกนะคะ เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเวนิสอยู่ที่ราวๆ 30 ล้านคนต่อปี ในจำนวนนั้นกว่า 1.5 ล้านคนจะเลือกมาเที่ยวที่บูราโนด้วยเช่นกัน อัตราส่วนอาจห่างกันแต่ก็มากพอที่จะทำให้บูราโนขนาดเล็กๆ ดูวุ่นวายขึ้นมาได้
เราจึงตั้งใจว่าอยากไปเยี่ยม บูราโน ก่อนฟ้าสาง เข้าร้านอาหารคนแรก เจอนักท่องเที่ยวตรงไหนก็เลี้ยวไปอีกทางดู เผื่อจะได้รู้จักบูราโนในแบบที่เราไม่เคยรู้ดูบ้าง
Fontamente Nova ยามเช้าตรู่
บูราโนเท่าที่เรารู้
บูราโน คือเกาะเล็กๆ ทางทิศเหนือของเกาะเวนิสไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตร ขึ้นชื่อเรื่องหัตถรรมการทำลูกไม้มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 ด้วยฝีมืออันประณีตของสาวๆ ที่นี่และลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์นอกจากนี้ในอดีตการประมงเปรียบเสมือนลมหายใจของบูราโนด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ในทะเลสาบเวนิส ทว่าปัจจุบันการท่องเที่ยวคืออุตสาหกรรมหลักด้วยอาคารบ้านเรือนที่ระบายสีสันสดใส จนมีชื่อเล่นว่า เกาะสีลูกกวาด หรือเกาะที่สีสันสดใสที่สุดในโลก มีตำนานเล่าว่า บ้านทุกหลังทาสีสันสดใสเพื่อให้ชาวประมงเห็นบ้านตัวเองมาแต่ไกล เมื่อต้องเดินฝ่าหมอกหนาในยามเช้า
จาก Fondamente Nova เทียบท่าที่บูราโน
เราหนีฝูงชนออกจากเวนิสตั้งแต่เช้าตรู่ไปบูราโน ด้วยความหวังว่ายิ่งเช้าเท่าไร นักท่องเที่ยวก็ยิ่งน้อยเท่านั้น เรือเมลล์ของเราวันนี้คนไม่เต็ม แต่ที่นั่งท้ายเรือที่มองเห็นวิวได้ 180 องศาก็ถูกจับจองอย่างรวดเร็ว เหมาะกับคนที่ไม่กลัวฝนและน้ำจากหลังคา ที่มักเทใส่เบาะที่นั่งเป็นเสียงดัง จ๊อกๆ เราคาดว่าจะถึงบูราโนในอีกประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง
ยิ่งใกล้ สียิ่งต่างกัน
เช้าไม่เช้าอยู่ที่ว่ามาทำอะไร
บูราโนไม่ใช่เมืองขี้เซา แต่มีชีวิตชีวาเหมือนต่างจังหวัดทั่วไปที่ชีวิตเริ่มต้นตั้งแต่หัววัน สำหรับนักท่องเที่ยว บูราโนในยามนี้ยังดูสะลึมสะลือและไม่มีร้านอาหารหรือคาเฟ่เปิดเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไร เป็นเวลาให้เราได้อ้อยอิ่ง เดินเตร็ดเตร่ศึกษาทฤษฏีสีจากบ้านเรือนแต่ละหลังแบบไม่ต้องคอยหลบนักท่องเที่ยวด้วยกันเอง เราสังเกตว่าละเเวกบ้านใกล้เคียงจะทาสีตัดกัน หรือหากเป็นโทนเดียวกันก็ต้องดึงเฉดให้เข้มหรืออ่อนกว่าอย่างชัดเจน บางบ้านเหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะสีแดงหรือน้ำเงินจึงเล่นทามันอย่างละครึ่งๆก็มี
นักท่องเที่ยวบางคนอาศัยจังหวะคนน้อยๆ โพสต์ท่าถ่ายรูปกับฝาผนังบ้าน หน้าต่าง ประตู ที่จากระยะเวลาในการถ่ายพอจะใบ้ได้ว่าเจ้าของบ้านน่าจะยังนอนหลับอยู่ แต่ไม่นานพวกเขาก็ทยอยเปิดหน้าตาออกมารับแสงแดดอ่อนๆ ของวัน บูราโนไม่มีถนนที่รถยนต์สามารถขับผ่านได้ การขนสินค้าทางเรือยังเป็นสิ่งที่หาชมได้ในช่วงเช้าแบบนี้ โดยเฉพาะแถบตลาดกลางเเจ้งที่ไม่ได้มีอยู่ใน Guide Book เพราะอาศัยการเดินตามชาวบ้านไปนี่แหละค่ะ
ตลาดยามเช้าทั้งบนบกและทางน้ำ
คนมันจะ (เจอ) นก ช่วยไม่ได้
นอกจาก Early Birds ทั้งหลายแล้ว ก็มีนกจริงๆ ที่บินเข้าหาเราอย่างสนิทสนม อาจจะนี้มีจำนวนมากกว่านักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่ตื่นมาดำเนินชีวิตตามกิจวัตรประจำวันในช่วงเช้าแบบนี้ด้วยซ้ำไป เราไม่ได้คิดไปเอง แต่ประชากรนกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สืบเนื่องมาจากดินแดนแถบทะเลสาบเวนิส (Venetian Lagoon) เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีและเมดิเตอร์เรเนียน และคลื่นก็ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ที่นี่ดึงดูดสิ่งมีชีวิตมากมายรวมถึงนกนานาชนิด ทว่าด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน ทำให้เจ้านกเหล่านี้ไม่หนีหนาวไปที่อื่น จำนวนประชากรจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
บูราโนเล็กนิดเดียว ไม่ใช่แค่ขนาดแต่คือความใกล้ชิด
บูราโนประกอบด้วยเกาะ 5 เกาะย่อยๆ เชื่อมด้วยสะพานข้ามเล็กๆ บูราโนมีขนาดกะทัดรัดจนใช้เวลาในการเดินชมไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็ทั่วเกาะแล้ว (เผลอๆนั่งเรือมายังใช้เวลานานกว่าอีกค่ะ) นอกจากขนาดแล้ว เสียงตะโกน “Ciao” ทักทายสวัสดีกันของชาวบ้านที่นี่ทำให้รู้ว่า ความเล็กไม่ได้วัดจากขนาดแต่วัดจากความใกล้ชิด เพราะคนทุกคนรู้จักกัน เดินผ่านซอยไหนต้องมีคนตะโกนคุยกันตลอด
ผ้าที่ตากไว้เรียกความสนใจจากเราโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ความเป็นเมืองท่องเที่ยวกับที่อยู่อาศัยก็มีเส้นบางๆ กั้นอยู่แค่ผ้าม่านสีสันสดใสค่ะ เนื่องด้วยบ้านทุกหลังมีลักษณะเป็นอาคารสูง 2-3 ชั้น ชั้นล่างมักเป็นห้องครัวและห้องนั่งเล่น มีห้องนอนอยู่ชั้นบน บ้านทุกหลังที่นี่จะมีผ้าม่านสีสดมาปิดประตูไว้ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว เพราะบางครั้งชาวบ้านก็อยากจะเปิดประตูรับลม แบบไม่อยากให้นักท่องเที่ยวมาชะโงกดูว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ แม้จะมีความหวงแหนในความเป็นส่วนตัว แต่เสื้อผ้าที่ซักแล้วตากอยู่นอกบ้าน หรือห้อยลงมาจากชั้นสองให้ปลิวไสวไปตามลมกลายเป็นสิ่งสะท้อนความชิลในความเป็นส่วนตัวของคนท้องถิ่นอยู่เหมือนกัน
หอเอนไม่ได้มีแค่เมืองปิซ่า
เราใช้เวลาอย่างเต็มที่ในการเดินเลาะตรอกซอกซอยเล็กๆ ไม่ว่ามุมไหนก็จะสังเกตเห็น หอเอนประจำเมือง ที่บางมุมก็ดูตรงและบางมุมก็ดูเอียงจนกลัวว่าจะล้ม
ภาพเปรียบเทียบหอนาฬิกาเอนประจำเมืองในแต่ละจุด
หอเอนดังกล่าวคือหอนาฬิกาของโบสถ์ Church of St. Martin ที่มีสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิกผสมเรเนสซองส์ ตั้งแต่ศตรรษที่ 16 โดยเริ่มแรกก็ยังตรงอยู่ดีๆ แต่เพราะเหตุการณ์แผ่นดินทรุดจึงทำให้มันเอียงอย่างที่เห็น ส่วนถ้าถามคนที่นี่ก็จะบอกว่า เทศบาลบูราโนอยากเพิ่มความสูงแต่กะน้ำหนักของเหล็กด้านบนไม่เท่ากัน ก็เลยออกมาเอนแบบนี้แทน เป็นความตลกในความซีเรียสแบบอิตาลีดี
พระอาทิตย์อยู่ตรงหัว เหล่าคณะทัวร์เริ่มทยอยมา
แม้อยากจะหลีกเลี่ยงจุดรวมตัวของนักท่องเที่ยว แต่จำนวนร้านอาหารในบูราโนก็เป็นข้อจำกัดที่ทำให้เราต้องเดินกลับมาที่ จัตุรัสหลักของเมือง หรือ Galuppi Square ที่เมื่อเช้ายังเงียบสงบอยู่ ทว่าพอใกล้เที่ยงกลับครึกครื้นไปด้วยนักท่องเที่ยว
ร้านอาหารและร้านขายผ้าลูกไม้
จัตุรัสดังกล่าวอาจเรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวของบูราโนก็ว่าได้ เพราะมีทั้งร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ลูกไม้ โบสถ์ Church of St.Martin ยังไม่รวมถึงร้านขายผ้าลูกไม้แบบดั้งเดิมที่ตั้งขายติดๆ กัน เนื่องจากเราฉวยโอกาสเดินสำรวจล่วงหน้าตั้งแต่เช้า จึงได้แต่นั่งจิบกาแฟรอให้ร้านอาหารเปิดบริการอย่างเป็นทางการ เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่จะเปิดแต่หน้าร้าน นำเมนูออกมาตั้งวางให้ลูกค้าดูไปพลาง แต่จะยังไม่มีการบริการใดๆ ก่อนเวลา 11.30 หรือเที่ยงตรง บางร้านก็อาจต้องรอแล้วรออีกให้พนักงานทานข้าวเที่ยงกันก่อน
เราก็ได้แต่เดินกลับไปสั่ง Spritz มาเรียกน้ำย่อยอีกสักแก้ว จนสังเกตได้ว่า ที่นี่เขาบริการแบบกันเองดีจัง จนใช้มือโกยน้ำแข็งใส่แก้วต่อหน้าต่อตากันเลยค่ะ แม้บรรยากาศจะชิลกว่าเวนิสหลายเท่า ทว่าราคาอาหารก็ไม่ทิ้งกันมาก บางร้านอาจจะราคาสูงกว่าเวนิสด้วยซ้ำเนื่องจากมีตัวเลือกที่จำกัด เมนูเด็ดของที่นี่ไม่พ้นอาหารทะเลที่ขึ้นชื่อเรื่องความสดตรงจากทะเล สมชื่อเมืองแห่งการประมง
จากบูราโนถึงนายกเทศมนตรี
หลายคนน่าจะเคยได้ยินเรื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวที่มากเกินไปและการจอดเรือสำราญที่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมตามมาในแต่ละปีของเวนิสใช่ไหมคะ บูราโนเองก็มีการออกมาส่งข้อความอะไรบางอย่างถึงนายกเทศมนตรีของพวกเขาเองเช่นเดียวกัน ผ่านทางการเขียนป้ายผ้าแปะไว้ตรงสะพานรอบเมือง จุดสังเกตที่โดดเด่นที่สุดคือบนสะพาน Tre Ponti ที่เชื่อมลำคลองทั้ง 3 สาย และมองเห็นถนนทั้ง 3 เส้น เป็นจุดที่บ้านเรือนดูสดใสที่สุด เพราะอยู่ในจัตุรัสท่องเที่ยวหลักก็เป็นได้ ด้วยตัวหนังสือที่เขียนในภาษาถิ่น และภาษาอิตาลีแบบสั้นๆ ประกอบกับการท่องเที่ยวทำให้บูราโนตอนเช้าและตอนกลางวันมีภาพที่ค่อนข้างแตกต่างกัน เราจึงอดคิดแทนบูราโนโดยอาศัยข้อมูลจากเพื่อนบ้านอย่างเวนิสว่า พวกเขาคงไม่เอานักท่องเที่ยว หรืออยากให้อนุรักษ์ความเป็นบูราโนตามดั้งเดิมเอาไว้
ข้อความส่งตรงถึงนายกเทศมนตรี
แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ชาวบ้านกำลังบอกนายกเทศมนตรีของพวกเขาคือ “บูราโน ไม่เอาเสาอากาศค่ะ” ซึ่งเรื่องนี้เกิดจากการติดตั้งเสาอากาศสำหรับสัญญาณโทรศัพท์จากบริษัท Vodafone ที่ชาวบ้านรวมพลังการต่อต้านสุดฤทธิ์เมื่อกลางปีก่อน พอมารู้ความหมายที่แท้จริงก็ได้แต่ทำหน้างงๆ แบบโล่งอกว่าไม่ได้โดนไล่
บ้านเรือนยังคงโครงสร้างเดิม ไว้
บูราโนเท่าที่เห็น และที่คาดว่าจะได้เห็น (ในอนาคต)
บ้านเรือนสีสันที่เราเห็นส่วนมากมักมีเบอร์โทรศัพท์ติดไว้ จากสภาพสีผนังที่หลุดลอกน่าจะขาดคนอยู่อาศัยและกำลังประกาศขายนั่นเอง บูราโนมีกฏเกณฑ์ในการซ่อมแซมบ้านที่เข้มงวด นอกจากสีของบ้านที่นายกเทศมนตรีจะเป็นกำหนดสีให้แล้ว การต่อเติมและซ่อมแซม ยังจำเป็นต้องรอการอนุมัติด้วยเช่นกัน ทำให้การย้ายไปอยู่ที่อื่นน่าจะง่ายกว่า แต่ก็น่าสงสัยอยู่ไม่น้อยว่า ทำไมชาวประมงจะต้องรอทางการอนุมัติ ‘สี’ ที่พวกเขาเป็นผู้ริเริ่มในการเลือกเองมาตั้งแต่ยุคก่อนด้วยนะ
ประชากรในบูราโนมีจำนวนลดลงทุกปี
ที่แน่ๆ กฏข้อบังคับนี้ทำให้บ้านในบูราโนยังคงลักษณะเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงอายุของประชากรที่เปลี่ยนไป และเป็นในทิศทางที่สวนทางกับจำนวนประชากรที่ลดลงไปทุกปี ว่ากันว่าอีกไม่ถึงครึ่งศตวรรษ บูราโนจะไม่มีชาวประมงเหลืออยู่เเม้แต่คนเดียว เรื่องเล่าของหมู่บ้านริมคลองที่สาวชาวบ้านมานั่งถักลูกไม้ ระหว่างที่ผู้ชายออกไปหาปลาก็จะกลายเป็นแค่ความทรงจำ ชาวบูราโนเองก็ตระหนักถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว จึงริเริ่มที่จะทำให้การท่องเที่ยวในเกาะมีความยั่งยืน เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มากกว่าแค่เปิดร้านขายลูกไม้และร้านอาหารทะเลในจัตุรัส Galuppi เราอาจจะได้เห็น Workshop ถักผ้าลูกไม้ดั้งเดิม การ Collaboration ของผ้าลูกไม้สไตล์บูราโนกับแบรนด์เสื้อผ้าดังๆ หรือ การจัดกิจกรรมตกปลาในเมืองไปเลย ใครจะไปรู้ คราวหน้าอาจจะต้องเผื่อเวลาให้บูราโนมากกว่าแค่ครึ่งวันก็ได้
ระหว่างนั่งเรือสาย 12 กลับไปยังเวนิส ความสงสัยเรื่องตำนานบ้านสีของบูราโนก็บ่มจนสุกได้ที่ ต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม ที่นำไปสู่ คำบอกเล่าจากชาวประมงว่า ในอดีตบูราโนคือเกาะที่จนแสนจน บ้านเรือนเป็นสีซีดๆ แทบจะเป็นสีเดียวกันหมด เพราะชาวประมงไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาทาสีบ้าน เบื้องหลังของสีสันต่างๆในบูราโนที่เป็นไปได้มากที่สุดก็อาจตกไปที่ การจัดผังเมือง โดยการนำสีมาช่วยระบุทรัพย์สินของแต่ละบุคคล นำไปสู่การกำหนดสีในการทาบ้าน หรือการเปลี่ยนสีบ้านที่ต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยากจากทางการก่อน อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเวอร์ชันยอดฮิตที่บรรดาไกด์ทัวร์ยกมาเล่า ก็วนกลับไปที่เวอร์ชันแรกของชาวประมงอีกนั่นแหละ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสีบ้านของบูราโนยังคงเป็นปริศนา
Fact Box
- ป้ายบอกทางของเวนิส เป็นหนึ่งในเสน่ห์ของการเดินในเมือง ที่นอกจากจะสะดวกแล้วยังช่วยให้มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้แบบไม่ต้องคอยก้มหน้าเช็คโทรศัพท์ ป้ายเหล่านี้จะติดอยู่บนกำแพง ตึก หรือบริเวณซอกเล็กๆ มีชื่อสถานที่สำคัญกับลูกศรกำกับว่าต้องเข้าเลี้ยวเข้าตรอกไหน
- ค่าโดยสารทางเรือจากเวนิสไปบูราโน ราคาเหมือนการนั่งเรือเมลล์ในเวนิสทั่วไป โดยตั๋ววันราคาตกอยู่ที่ 20 ยูโร ใช้ได้ 24 ชั่วโมง และเป็นที่นิยมมากว่าเพราะราคาตั๋วเที่ยวเดียวก็ 7 ยูโร แล้ว
- เนื่องจากบูราโนมีขนาดเล็ก นักท่องเที่ยวหลายคนจึงนิยมพ่วงเกาะบูราโนและเกาะมูราโนเข้าไปด้วยกัน ซึ่งมูราโนห่างจากเวนิสแค่ 20 นาทีเท่านั้นเอง