ถ้าให้นึกถึงฝรั่งเศส เราคงนึกถึงปารีสอันแสนคราคร่ำ ถ้าให้นึกถึงอิตาลี ภาพของโคลอสเซียมในโรมและชายฝั่งอะมัลฟีที่อาบด้วยแสงแดดอันอบอุ่นก็ลอยมาให้เห็น แล้วถ้าให้นึกถึงเบลเยียมล่ะ นึกถึงอะไร? นอกจากมันฝรั่งทอดและเบียร์แล้ว อาจไม่แปลกเลยที่หลายคนจะนึกไม่ออก เพราะประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 11 ล้านคนนี้ดูจะไม่มีแหล่งท่องเที่ยวระดับไอคอนที่ชวนให้นึกถึงสักเท่าไร

บรรยากาศในตัวเมืองบรูจส์

เราเองก็เคยคิดเช่นนั้น จนกระทั่งมาเจอบรูจส์

การพบเจอกันของเราอาจเรียกได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ด้วยความที่ทริปนี้เราเดินทางจากเยอรมนี มุ่งหน้าสู่เนเธอแลนด์ ตั๋วรถไฟแบบเบเนลักซ์ (ตั๋วรถไฟที่ใช้เดินทางได้ใน 3 ประเทศ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก) ที่เราซื้อไว้ทำให้ดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผลมากที่จะแวะค้างที่เบลเยียมสักคืนหนึ่ง และเมืองที่เราเลือกพักก็คือบรูจส์ (Bruges) เมืองเล็กๆทางตะวันตกเฉียงเหนือของเบลเยียม  

ร้านช็อกโกแลตอีกหนึ่งสถานที่ช้อปปิ้งห้ามพลาดของที่นี่

เอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือสถาปัตยกรรมแบบกอธิค

บ่ายวันนั้น บรูจส์ต้อนรับเราด้วยท้องฟ้าสีเทา อากาศเย็นสบาย และท่ารถบัสที่ดูเหงาๆ แต่บรรยากาศอึมครึมก็ค่อยๆ คลี่คลายเมื่อเราเดินเลาะตามถนนคนเดิน Zuidzandstraat ที่มีนักท่องเที่ยวเดินกันขวักไขว่ ถนนเส้นนี่คือหนึ่งในถนนเส้นหลักที่พาเราเดินผ่านมหาวิหาร Saint Saviour’s Cathedral ซึ่งถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะไปพบกับจัตุรัสมาร์กซึ่งเป็นใจกลางเมือง

จัตุรัสมาร์ก (Markt Square) ล้อมรอบไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่

ลองนึกภาพว่าถ้าคุณย้อนเวลาไปสู่กรุงเทพฯ สักร้อยปีก่อนได้ ภาพที่เห็นคงไม่เหมือนกับกรุงเทพฯในตอนนี้เป็นแน่ แต่ว่ากันว่าถ้าชาวบรูจส์สามารถย้อนเวลาไปหาอดีตได้ พวกเขาจะไม่วันหลงทางเลย เพราะเขตเมืองเก่าของบรูจส์นั้นได้รับการอนุรักษ์อย่างดีจนมีสภาพเหมือนเดิมแทบจะไม่ผิดเพี้ยน จะเปลี่ยนนิดหน่อยตรงที่อาคารบ้านเรือนบางส่วนถูกดัดแปลงให้กลายเป็นร้านอาหารหรือร้านขายของเท่านั้น อันที่จริง บรูจส์ที่องค์กรยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกถือเป็นเมืองยุคกลางที่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป แม้ว่าเมืองนี้จะถูกเยอรมนียึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองก็ตาม และแม้จะเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานจากหลากหลายยุคสมัยและหลายวัฒนธรรม (เมืองที่เคยเป็น) แต่สไตล์ที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ก็คือสถาปัตยกรรมแบบกอธิคที่สร้างขึ้นจากอิฐ (Brick Gothic) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบยุคกลางที่แพร่หลายในยุโรปเหนือและเขตบอลติก

นอกจากการดื่มด่ำกับสถาปัตยกรรมยุคกลางแล้ว หนึ่งในไฮไลต์ของบรูจส์คือการนั่งเรือลัดเลาะไปตามคลองต่างๆ ที่แทรกตัวอยู่ทั่วเมือง คูคลองที่ถูกขุดขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางสัญจรของชาวบ้านที่อยู่ภายในกำแพงเมืองได้กลายมาเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าในช่วงที่บรูจส์รุ่งเรืองในฐานะเมืองท่าที่อยู่ติดกับทะเลเหนือ ส่วนปัจจุบันนี้คูคลองต่างๆ ถูกครอบครองโดยเหล่ากัปตันเรือหน้าตาดีที่พานักท่องเที่ยวโฉบไปชมเมืองในจุดต่างๆ ตั้งแต่โรงเบียร์เก่าแก่ เวิร์กช็อปช็อกโกแลต พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัย ไปจนถึงผลงาน Skyscraper ประติมากรรมรูปปลาวาฬขนาดมหึมาที่สตูดิโอ KCA สร้างขึ้นมาจากวัสดุพลาสติกเพื่อโชว์ในงาน Bruges Triennnial (เพิ่งสิ้นสุดลงไม่นานนี้)

ไฮไลต์ของบรูจส์คือการนั่งเรือลัดเลาะไปตามคลองต่างๆ ที่แทรกตัวอยู่ทั่วเมือง

หอยแมลงภู่ อาหารท้องถิ่นของที่นี่

แต่ถ้าจะมีที่ใดที่เป็นหัวใจของเมือง คงต้องยกให้จัตุรัสมาร์ก (Markt Square) หรือตลาดกลางเมือง จัตุรัสที่ตั้งอยู่ในเงาของหอคอยเบลฟราย (Belfry Tower) คือสถานที่ค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าตั้งแต่ค.ศ. 958 ส่วนในทุกวันนี้ นอกจากจะเป็นที่จัดแสดงมหรสพต่างๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งอาหารชั้นดี เนื่องจากล้อมรอบไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และเบียร์ให้เลือกมากมายเกินจินตนาการ ยิ่งด้วยสถานะของวัฒนธรรมเบียร์ของเบลเยียมที่ยูเนสโกจัดให้เป็นมรดกโลกด้านภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage) ด้วยแล้ว มาถึงถิ่นก็ต้องลองสั่งเบียร์มาแกล้มกับอาหารท้องถิ่นอย่างหอยแมลงภู่และมันฝรั่งทอดดูสักตั้ง ได้ปิดท้ายวันด้วยการจิบเบียร์เย็นๆ เคล้าอาหารอร่อยๆ และวิวผู้คนที่เดินขวักไขว่แล้ว ถึงจะฤดูใบไม้ร่วงก็เถอะ คุณจะอดไม่ได้ที่จะหลงรักบรูจส์แบบถอนตัวไม่ขึ้น

บรรยากาศช่วงเย็นที่ผู้คนออกมาจิบเบียร์เย็นๆ ในฤดูใบไม้ร่วง

Tags: , , ,