เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ภาคธุรกิจของไทยจะมีแรงงานเข้าไปเติมเต็มในส่วนที่ยังขาดแคลนมากขึ้น หลังรัฐบาล ‘ไฟเขียว’ ให้กับมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยสงครามชาวเมียนมาสามารถเปลี่ยนสถานะจาก ‘ผู้ลี้ภัย’ กลายเป็น ‘แรงงาน’ ในประเทศไทยได้
นโยบายดังกล่าวเป็นการทำงานที่รับส่งกันได้ดีของคนจากพรรคเพื่อไทย พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในช่วงเวลาที่ภาคธุรกิจของไทยกำลัง ‘สะดุด’ จากการขาดแคลนแรงงานกัมพูชาซึ่งเดินทางกลับประเทศนับแสนราย ตั้งแต่เกิดข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568
การคิดแบบเพื่อไทยที่ต้องการทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน โดยการป้อนผู้หนีภัยชาวเมียนมาเข้าสู่ระบบ ไม่เพียงแต่เป็นการกระตุ้นให้ระบบเศรษฐกิจในภาคส่วนที่เจอปัญหาขาดแคลนแรงงานกัมพูชาอย่างกะทันหันได้กลับมาเดินเครื่องอีกครั้งเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ปัญหาชาวเมียนมาในค่ายผู้หนีภัยที่ปัจจุบันมีประชากรรวมกันกว่า 9 หมื่นราย ในค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 9 แห่ง
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีสถานะเป็น ‘ผู้ลี้ภัย’ จึงได้รับการดูแลแบบพื้นฐานที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตระหว่างอยู่ภายในค่ายเท่านั้น เช่น ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค การศึกษาให้เพียงพอกับการดำรงชีพ ดังนั้นมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา จึงถือเป็นการ ‘ยกระดับ’ คุณภาพชีวิตของผู้หนีภัยการสู้รบชาวเมียนมาให้มีรายได้จากการทำงาน
สิ่งที่จะดีขึ้นสืบเนื่องจากการมีงานทำ คือการเข้าถึงระบบดูแลสุขภาพเมื่อเป็นแรงงานที่จะสามารถเข้าถึงระบบดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น เช่น ประกันสังคมซึ่งเป็นสวัสดิการจากการเป็นแรงงานตามกฎหมายแรงงานที่แรงงานต้องมีการตรวจสุขภาพและทำประกันสุขภาพ จากเดิมที่ผู้หนีภัยสงครามเข้าถึงการดูแลรักษาสุขภาพในระดับพื้นฐาน ก็จะสามารถเข้าถึงการดูแลการเจ็บป่วยที่มีคุณภาพสูง ขณะเดียวกันการมีรายได้ก็จะเพิ่มทางเลือกในการรับบริการกับสถานพยาบาลต่างๆ มากขึ้น
สำหรับคนไทย นโยบายจัดการผู้หนีภัยสงครามชาวเมียนมาที่ขับเคลื่อนโดยพรรคเพื่อไทยย่อมมีประโยชน์ต่อภาพรวม โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจที่กำลังบอบช้ำจากการขาดแคลนแรงงานในระบบ ที่เป็นผลพวงของสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา ที่สำคัญนโยบายนี้ยังเป็นการบรรเทาปัญหาอัตราการเกิดใหม่ที่ต่ำลง และสังคมผู้สูงวัยของประเทศที่จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของไทยในอนาคตอันใกล้ และเป็นการเติมแรงงานเข้าไปในภาคธุรกิจและประเภทงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานประเภทงานหนัก งานสกปรก และงานอันตราย ที่ไม่ได้รับความสนใจจากคนไทยอีกด้วย
อีกหนึ่งผลลัพธ์ด้านบวกจากการแสดงบทบาทรุกด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในการดึงเอาผู้หนีภัยชาวเมียนมาเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจในครั้งนี้ นั่นคือ ‘ภาพลักษณ์’ ของประเทศที่ย่อมจะดีขึ้นในสายตาของนานาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรด้านมนุษยธรรมทั่วโลก จากการเข้ามามีบทบาทของรัฐบาลไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้นการขับเคลื่อนนโยบายนี้ที่นำโดยเพื่อไทย จึงนับว่า ‘วินกันทุกฝ่าย’ ทั้งต่อชาวเมียนมา ประชาชนคนไทย และประเทศ อย่างไม่อาจปฏิเสธได้
Tags: การศึกษา, สิทธิ, ไทย, ไทยกัมพูชา, สันติภาพ, เด็กข้ามชาติ, Feature, กัมพูชา