Foxes Never Quit จิ้งจอกที่ไม่เคยยอมแพ้

ภาพการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ หลังจากคว้าแชมป์ เดอะแชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาล 2023/24 ด้วยคะแนนสูงถึง 97 แต้ม การันตีแชมป์ตั้งแต่ก่อนจบนัดสุดท้าย สร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ที่สามารถเลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้ทีมแรกในรอบ 104 ปี ภายใน 1 ฤดูกาล ตอกย้ำปรัชญา ‘พลังแห่งความมุ่งมั่น’ สู่ ‘พลังแห่งความเป็นไปได้’ THE POWER OF POSSIBILITIES, THE POWER OF CHAMPIONS ของชายผู้สร้างตำนาน THE POSSIBLE MAN#2 อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา

ก้าวแรกบนลีกสูงสุดแห่งอังกฤษ

หากจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ คงต้องย้อนกลับไปปี 1884 เมื่อนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในโบสถ์ ลงขันกันซื้อลูกฟุตบอลมาเตะเล่นกันในหมู่เพื่อน จากความคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอลของเด็กกลุ่มนี้ ต่อยอดไปสู่การตั้งสโมสรโดยใช้ชื่อว่า เลสเตอร์ฟอสส์ (Leicester Fosse) โดยมีที่มาจากตำแหน่งของสนามเหย้าอย่างวิกตอเรียพาร์ก (Victoria Park) ซึ่งตั้งอยู่บนถนนฟอสส์ (The Fosse Way)

แม้เลสเตอร์ฟอสส์จะก่อตั้งขึ้นจากสปิริตของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง แต่ด้วยการสนับสนุนจากโบสถ์ ทำให้สโมสรถูกพัฒนาต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ มีการดึงตัว บิลลี แบนนิสเตอร์ (Billy Bannister) นักฟุตบอลอดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษมาร่วมทีม รวมถึงขยายฐานแฟนฟุตบอล จนมีผู้ชมมากกว่า 13,000 คน และในที่สุด สโมสรแห่งนี้ก็สามารถขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดของอังกฤษ โดยใช้เวลา 14 ปีเพียงเท่านั้น

แต่หลังจากนั้นเพียงหนึ่งฤดูกาล เลสเตอร์ฟอสส์ก็ตกชั้นโดยทันที ซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านการเงินของสโมสร จนทำให้มีกลุ่มทุนเข้ามาซื้อกิจการ และเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น เลสเตอร์ ซิตี้ (Leicester City) ในปี 1919 ซึ่งหลังจากนั้นก็มักจะโลดแล่นอยู่ในลีกรอง (ดิวิชัน 2 หรือเดอะแชมเปี้ยนชิพ) เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงคว้าแชมป์ รวมถึงได้เข้าชิงการแข่งขันฟุตบอลถ้วยต่างๆ อยู่เสมอ

จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ในการก้าวสู่ทีมอันดับหนึ่งบนเกาะอังกฤษ

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของสโมสร ย้อนกลับไปในปี 2010 กลุ่มทุน เอเชียน ฟุตบอล อินเวสต์เมนท์ ที่บริหารโดย วิชัย ศรีวัฒนประภา โดยกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ได้ทุ่มซื้อสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ และรับหน้าที่ประธานสโมสร ส่วนอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ลูกชายเข้ามารับหน้าที่รองประธานสโมสร การเข้ามาของครอบครัวศรีวัฒนประภา นำไปสู่การพัฒนาเลสเตอร์ ซิตี้อย่างเป็นระบบในช่วงแรกของการบริหาร

แม้จะมีแรงกดดันจากแฟนคลับ เมื่อมีกลุ่มทุนใหม่ทุ่มซื้อสโมสรอันเป็นที่รักของพวกเขา เพื่อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ วิชัยได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะพาสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ไปสู่จุดสูงสุดของพรีเมียร์ลีกอังกฤษให้ได้ โดยนำวัฒนธรรมการบริหารแบบเอเชียมาใช้ในทีม รวมถึงใช้เอกลักษณ์ความเป็นคนไทยที่มีความจริงใจ นอบน้อม จนชนะใจ เป็นที่ยอมรับ และเป็นที่รักของชาวเมืองเลสเตอร์

นอกจากนี้ยังทุ่มเงินในการพัฒนาระบบต่างๆ ของสโมสรให้ได้มาตรฐาน ทั้งคุณภาพของสนาม อุปกรณ์ต่างๆ รูปแบบการซ้อมที่ยึดตามวิทยาศาสตร์การกีฬา กระทั่งเรื่องฟุตบอล ที่วันแรกเขาได้ลองจับ แล้วรู้สึกว่าไม่เด้ง ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ก็ต้องจัดหาให้ใหม่ทั้งหมด

ด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทของทุกคนในสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้กลายเป็นอีกหนึ่งทีมที่หน้าจับตามองจากการทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2013/14 สามารถกลับขึ้นมาโลดแล่นบนพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในฤดูกาล 2014/15 พวกเขายังคงเป็นทีมที่ต้องลุ้นหนีตกชั้นตลอดทั้งฤดูกาล ก่อนที่สุดท้ายจิ้งจอกสยามในตอนนั้นจะเอาตัวรอดด้วยการทำผลงานใน 9 เกมสุดท้ายอย่างยอดเยี่ยม ด้วยสถิติ ชนะ 7 เสมอ 1 และ แพ้ 1 ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 14 ของตาราง คงสถานะทีมฟุตบอลบนลีกสูงสุดต่อไปได้

ทว่าในปี 2015/2016 เคลาดิโอ รานิเอรี (Claudio Ranieri) กุนซือของสโมสร เข้ามาชำแหละแผนใหม่ ด้วยการใช้ ‘ฟุตบอลระบบ’ เข้ามาทดแทนความสามารถของนักฟุตบอลภายในทีม ที่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าสโมรสรอื่น

โดยอันดับแรก รานิเอรีออกแบบให้แผนเกมรับนั้นต้องมีความเหนียวแน่นเสียก่อน ภายใต้การบัญชาการเกมรับของ เวส มอร์แกน (Wes Morgan) และโรเบิร์ต ฮูธ (Robert Huth) ยืนในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ ที่ร่วมมือกับ แคสเปอร์ ชไมเคิล (Kasper Schmeichel) ทำให้เสียประตูเพียงแค่ 36 ประตู น้อยที่สุดเป็นอันดับสองของลีกในฤดูกาลนั้น

ส่วนด้านเกมรุก ถือเป็นช่วงจังหวะที่เหมาะสมของ เจมี วาร์ดี (Jamie Vardy) นักฟุตบอลที่อยู่นอกการจัดระบบของลีกอังกฤษ แต่ด้วยความเชื่อมั่นของรานิเอรีในปีนั้น วาร์ดีก็ตอบแทนด้วยการยิงไปถึง 24 ประตู ครองตำแหน่งรองดาวซัลโว และยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี

เมื่อองค์ประกอบครบสมบูรณ์อย่างรอบด้าน และความมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ ผลตอบแทนคือความเป็นได้ ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรกว่า​ 132​ ปี​ เป็นตำนานจิ้งจอกสยาม​บทใหม่ ที่สร้างความภาคภูมิใจในฐานะทีมที่เป็นของไทยทั้งประเทศ

ตำนานจิ้งจอกสยามบทใหม่

ทว่าในฤดูกาล 2022-2023 ที่ผ่านมา ผลงานของเลสเตอร์ ซิตี้กลับไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับแฟนฟุตบอลเท่าไรนัก หลังผลงาน 38 นัดในลีกจบที่อันดับ 18 ทำให้ร่วงตกชั้น กลับไปเล่นในลีกเดอะแชมเปี้ยนชิพ ทำให้แฟนบอลจำนวนหนึ่งมองว่า นี่คงเป็นช่วงขาลงของสโมสรแล้ว ภาระหนักอึ้งและความกดดันจึงตกมาสู่ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ในฐานะประธานสโมสรคนใหม่

วันนี้ พวกเราทุกคนเจ็บปวดและผิดหวัง แต่ว่าพวกเราจะกลับมา

ผมได้รับข้อความมากมายจากแฟนๆ ของเรา ทั้งในทางบวกและทางลบ ท่ามกลางข้อความเหล่านั้น ผมก็ยังได้รับข้อความสนับสนุนและกำลังใจมากมายจากผู้คนทั่วสารทิศ ทั้งที่ผมได้เจอในสถานที่สาธารณะ หรือข้อความจากโลกออนไลน์ ทั้งหมดมีความหมายกับผมและครอบครัวมากๆ

ผมและครอบครัวอยากจะขอบคุณทุกแรงสนับสนุนและกำลังใจ และอยากจะบอกกับทุกคนว่า พวกเรายังตั้งใจ มุ่งมั่น และทุ่มเทให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ เหมือนเช่นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว บรรยากาศในสนามเมื่อวานนี้ รวมไปถึงข้อความให้กำลังใจที่ทุกคนมอบให้เรา เราจะเก็บมันไว้ในใจเสมอ มันเป็นพลังใจของพวกเราทุกคน และเราจะใช้พลังใจเหล่านี้พาทุกคนกลับมาสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

ผมมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ต่อสโมสรแห่งนี้ และผมสัญญาว่า ผม ครอบครัว และกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จะทำทุกอย่างเพื่อพาสโมสรแห่งนี้กลับมาสู่พรีเมียร์ลีกให้ได้”

ถึงแม้จะเป็นการบริหารโดยคลื่นลูกใหม่ที่เข้ามารับไม้ต่อ สิ่งสำคัญที่อัยยวัฒน์ได้ซึมซับและได้รับการถ่ายทอดมาจากวิชัย ผู้เป็นพ่อ คือการมีแพสชัน ความไม่ยอมแพ้ และความมีส่วนร่วมของทุกคนในทีม ทั้งประธาน ผู้จัดการทีม นักกีฬา รวมถึงผู้เล่นคนที่ 12 หรือกองเชียร์ทุกคนที่ส่งแรงใจ ส่งเสียงเชียร์ ในทุกแมตช์ที่เลสเตอร์ลงแข่งขัน

อันดับแรก อัยยวัฒน์ทาบทาม เอ็นโซ มาเรสกา (Enzo Maresca) อดีตผู้ช่วยของเป๊ป กวาร์ดิโอลา (Pep Guardiola) ผู้ซึ่งเคยพาทีมเยาวชนของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกชุดเยาวชน มาดำรงตำแหน่งกุนซือของสโมสร ที่ถึงแม้จะเพิ่งล้มเหลวในการทำทีมฟุตบอลชุดใหญ่กับสโมสรปาร์มา แต่เขาเชื่อว่าลูกมือของกวาร์ดิโอลาจะช่วยให้พลิกสถานการณ์ของทีมได้

และดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะในฤดูกาลที่ผ่านมา เลสเตอร์ ซิตี้มีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างออกไป แม้จะยังคงไว้ซึ่งเกมรับที่เหนียวแน่น แต่กลับมีการเล่นเกมรุกและจังหวะการขึ้นเกมที่หลากหลายกว่าซึ่งแผนเช่นนี้จะทำไม่ได้เลย หากขาดนักเตะที่เข้าใจและพร้อมเล่นตามระบบของมาเรสกา ซึ่งทั้งหมดนี้คงต้องยกเครดิตให้นักเตะชุดใหม่ที่เข้ามาเสริมทั้งอย่าง คอเนอร์ โคดี้ (Conor Coady), แฮร์รี วิงค์ (Harry Winks) และเซซาเร คาซาเด (Cesare Casadei) รวมถึงนักเตะลูกหม้ออย่าง เคียร์แนน ดิวส์บิวรี-ฮอลล์ (Kiernan Dewsbury-Hall) และแน่นอนว่าตัวแปรสุดท้ายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เจมี วาร์ดี ที่ในฤดูกาลที่ผ่านมายิงไปได้ถึง 20 ประตู แม้จะมีอายุกว่า 37 ปีแล้วก็ตาม

วันนี้ อัยยวัฒน์พิสูจน์แล้วว่า ความพยายามไม่เคยทรยศความสำเร็จ ความมุ่งมั่นย่อมทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ จึงทำให้จิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์เดอะแชมเปี้ยนชิพในฤดูกาลล่าสุด และเลื่อนขั้นกลับมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกได้อีกครั้งโดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี แสดงให้เห็นถึงพลังความเป็นไปได้ THE POWER OF POSSIBILITIES, THE POWER OF CHAMPIONS ทีมของคนไทย ที่เป็นความภูมิใจของคนไทย

Tags: , , , , , ,