ในยามสายของวันหยุด บางคนอาจไม่ต้องการอะไรมากไปกว่ากาแฟสักถ้วย หนังสือสักเล่ม และบางที—‘แมวสักตัวหนึ่ง สองอย่างแรกนั้นหาไม่ยาก แต่แมวแม้คุณจะเลี้ยงดูมัน ก็ใช่ว่ามันจะจำยอมมานั่งข้างๆ หรือซุกตัวอยู่บนตักให้เกาหู ลูบตัวอย่างที่คุณต้องการเสมอไป เพราะแมวไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่จะยอมทำตามใจคน ด้วยความเป็นตัวของตัวเองที่ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแมวอย่างที่เราไม่อาจปฏิเสธ

The List สัปดาห์นี้ขอแนะนำหนังสือแมวๆ’  5 เล่ม ที่ล้วนแต่มีแมวเป็นตัวเอกของเรื่องให้อ่านกันอย่างรื่นรมย์ อ่านได้ทุกเล่มแม้คุณจะไม่ใช่ทาสแมวก็ตาม

ใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมว

ผู้เขียน: แอบีเกล ทักเกอร์

ผู้แปล: โตมร ศุขปรีชา

สำนักพิมพ์: Salt

แม้จะไม่ใช่ทาสแมวแต่เราก็ได้ยินวาทะกึ่งจริงกึ่งเล่นกันมาตลอดว่าแมวกำลังจะครองโลกซึ่งก็คงไม่ผิดเสียทีเดียวหากจะดูจากจำนวนแมวที่มีอยู่บนโลกตอนนี้ แต่อะไรล่ะที่ทำให้แมวกลายมาเป็นที่รักและเอ็นดู ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งเราเท่าไรนัก ซ้ำยังไม่ได้แสดงความรักเหมือนหมาอีกต่างหาก หนังสือเล่มนี้ดูจะไขข้อสงสัยเหล่านั้นได้ดีทีเดียว และแอบีเกล ทักเกอร์ผู้เขียน ก็คือทาสแมวแบบขนานแท้อีกด้วย

ในหนังสือเซเปียนส์เราจะพบว่ามนุษย์นั้นเข้าครอบครองโลกแทนสัตว์อื่นๆ ได้อย่างไร มนุษย์รุกรานไปถิ่นที่ใด มีพัฒนาการอย่างไร และส่งผลกระทบต่ออะไรบ้าง ส่วนใครคือเจ้าของบ้าน ฉันหรือแมวบอกเล่าในโครงสร้างเดียวกัน แต่แทนที่มนุษย์ด้วยแมว 

สิ่งมีชีวิตนี้เริ่มต้นจากการวิวัฒนาการตัวเองจากแมวป่าให้กลายมาเป็นแมวบ้าน ซึ่งมาจากผลประโยชน์ล้วนๆ เพราะการเอาตัวเองเข้ามาร่วมชุมชนกับมนุษย์ทำให้แมวไม่ต้องออกแรงล่าเหยื่อเอง มีอาหารให้กิน มีที่นอนอุ่นๆ และมีคนคอยดูแล แม้แมวอาจจะยังออกล่าบ้างเป็นบ้างครั้ง แต่ก็ทำไปตามสัญชาตญาณติดตัว นานวันเข้าแมวก็เริ่มลดขนาดสมองลงเล็กน้อย เพื่อให้สะดวกกับการใช้ชีวิตเป็นแมวบ้าน 

แต่ถึงแมวจะมีหน้าตาน่ารัก เป็นสัตว์เลี้ยงที่ดูไม่มีพิษมีภัย และมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คน แต่แมวก็ส่งผลกระทบกับโลกไม่น้อยเหมือนกัน เพราะการแพร่พันธุ์ของมันเข้าไปรุกรานระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น การล่าชิปมังค์ที่ทำให้เหยี่ยวล่าอาหารได้น้อยลง ส่งผลต่อห่วงโซ่อาหารโดยตรง หรือการที่มันเป็นพาหะนำโรคมาสู่คนได้ โดยที่เราไม่ทันได้ระวังตัว ถึงอย่างนั้นแมวก็ยังเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยม และสร้างทาสแมวขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง

อันตัวข้าพเจ้านี้คือแมว

ผู้เขียน: นัตสึเมะ โซเซกิ

ผู้แปล: ชัญพัส วรศักดิ์

สำนักพิมพ์: กำมะหยี่

นวนิยายเรื่องนี้เป็นการเล่าผ่านจากมุมมองของคนนอกในสังคมร่วมสมัยของยุคเมจิ ผ่านสายตาของแมวไร้ชื่อที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเกิดที่ไหน ผลงานนี้เป็นผลงานเล่มแรกของ นัตสึเมะ โซเซกิ นักเขียนที่เปรียบได้กับเสาหลักคนหนึ่งของวรรณกรรมญี่ปุ่น เดิมทีโซเซกิไม่ได้ตั้งใจเขียนเป็นเรื่องสั้น แต่บรรณาธิการนิตยสารวรรณกรรมในตอนนั้นค่อนข้างพอใจกับเสียงตอบรับจากผู้อ่าน จึงชักชวนให้โซเซกิเขียนบทต่อๆ มา จนนำไปสู่การรวมเล่มที่มีทั้งหมดสามเล่มด้วยกัน

เรื่องเล่าของแมวนิรนามตัวนี้ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวของมนุษย์ เดิมทีมันเคยเป็นแมวเร่ร่อน จนกระทั่งพาตัวเองเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งในวันที่ฝนตกหนัก แอบเข้าๆ ออกๆ อยู่อย่างนั้น แม้จะถูกแม่บ้านไล่ตะเพิดออกมาเป็นประจำ แต่โชคชะตาก็ทำให้มันได้พบเจ้าของบ้าน และนายท่านนี่แหละที่อนุญาตให้มันอาศัยอยู่ จนมันสามารถยึดครองพื้นที่บางส่วนของบ้านหลังนี้ได้

นายท่านมีอาชีพเป็นอาจารย์ ชอบวางมาดเป็นผู้คงแก่เรียน แต่เมื่อฟังจากมุมมองแมวแล้ว เขาไม่ได้เก่งกาจสักเท่าไร แมวเล่าเรื่องราวหลายอย่างในบ้าน ไม่ว่าเรื่องของเด็ก ผู้ใหญ่ แขกที่มาเยือน หรือแม้แต่ความเป็นไปในสังคมสมัยนั้น การเล่าเรื่องในมุมมองบุคคลที่หนึ่งผ่านแมวนับเป็นลีลาที่น่าสนใจ โซเซกิได้สะท้อนให้เราเห็นอย่างชัดเจนถึงทัศนคติเอาแต่ตนเป็นที่ตั้งของมนุษย์ที่มีต่อชนชั้นอื่นๆ ในสังคม ทั้งเขายังเสียดสีวิถีชีวิตของปัญญาชนญี่ปุ่นสมัยเมจิ ท่ามกลางการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมเมื่อประเพญีตะวันตกเริ่มไหลบ่าเข้ามา สิ่งที่แมวเห็นและบอกจึงไม่ต่างอะไรจากกระจกส่องให้มนุษย์ได้เห็นในสิ่งที่ตนเองเป็นได้อย่างแยบคาย

ผม แมว และการเดินทางของเรา

ผู้เขียน: ฮิโระ อาริคาวะ

ผู้แปล: ปิยะวรรณ ทรัพย์สำรวม

สำนักพิมพ์: Maxx Publishing

เรื่องราวเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับปัญหา มิตรภาพ ครอบครัว และความโศกเศร้า ผ่านการมองโลกในแง่ดีและเปี่ยมด้วยความรัก ผู้อ่านจะสัมผัสได้ถึงความสุข แม้ว่าลึกๆ เราจะรู้สึกถึงการสูญเสียที่กำลังรออยู่เบื้องหน้าก็ตาม

หนังสือว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแมว โดยเล่าผ่านมุมมองของหลากหลายตัวละคร ซึ่งจะมีทั้งความทรงจำในอดีต และสิ่งที่กำลังดำเนินไปในปัจจุบัน บ้างก็เล่าผ่านนานะอดีตแมวจร บ้างก็เล่าผ่านเพื่อนเก่าของซาโตรุชายหนุ่มจิตใจดีที่มักให้ความสำคัญกับคนรอบข้างเสมอ เขาเจอกับนานะเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่มันกำลังต้องการความช่วยเหลือ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็อาศัยอยู่ด้วยกันมาตลอด

แต่แล้ววันหนึ่ง นานะก็พบว่าซาโตรุไม่สามารถเลี้ยงดูมันได้อีกแล้ว โดยที่มันยังไม่รู้ถึงสาเหตุ ซาโตรุพานานะเดินทางตระเวนไปบ้านหลังแล้วหลังเล่า พบเจอทั้งเพื่อนที่เผยให้เราได้รู้ถึงความทรงจำอันเจ็บปวด และเพื่อนที่เผยให้เราได้ทราบถึงการตกหลุมรักอันเจ็บช้ำ เรื่องราวในอดีตถูกเปิดเผยออกมาตลอดเส้นทางที่ซาโตรุกับนานะเดินทางร่วมกัน

แท้จริงแล้วซาโตรุเป็นคนเดียวดาย แต่เมื่อมีนานะอยู่เคียงข้างก็ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถรวบรวมพลังชีวิตให้กลับมาได้บ้าง และเมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงบ้านหลังสุดท้าย เราก็จะได้พบกับความจริงอีกชุดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวเก่าก่อนหรือในปัจจุบันของซาโตรุ รวมถึงสาเหตุที่ทำให้ซาโตรุต้องหาบ้านหลังใหม่ให้นานะ เป็นการเปิดประตูบานใหญ่ของชีวิตที่แสนเศร้าแต่ก็อบอุ่นใจไปในขณะเดียวกัน

มิโล แมวน้อยกระโดดไม่เป็น

ผู้เขียน: คอสตันซา ริซซาคาซา ดอร์ซอนญา

ผู้แปล: นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ

สำนักพิมพ์: อ่านอิตาลี

หนังสือบางๆ เล่มนี้แม้จะเปิดเรื่องมาด้วยความโชคร้ายของเจ้าลูกแมวน้อย แต่พอพลิกไปอีกไม่กี่หน้า เราก็จะได้พบกับทั้งอารมณ์ขัน การผจญภัย และโลกใบใหญ่ที่มากด้วยสีสัน นี่คือเรื่องราวของมิโลลูกแมวเร่ร่อนที่เกิดข้างถนน ความเหงาและความโดดเดี่ยวบังคับให้มันต้องเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอด

มิโลเป็นแมวสีดำ มันเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหวและการทรงตัว ไม่เดินเซบ้าง ก็กระโดดไม่ได้บ้าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้มองตัวเองแตกต่างจากแมวตัวอื่น และสำหรับคนที่นำมิโลมาเลี้ยงก็มองว่ามันเป็นแมวที่สวยที่สุดในโลก ซึ่งเธอนี่แหละที่ทำให้มิโลได้รู้จัก สัมผัส เข้าใจความหมายของคำว่าบ้าน

ภายในบ้านหลังนั้น มิโลยังได้พบเจอกับสัตว์เล็กใหญ่มากมายที่เรียกว่าเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นนกนางนวลที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหากินในเมือง เพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแแปลง แมงป่องสัตว์ที่คนหวาดกลัว ต่างจากแมวที่คนรักใคร่ และแม่วัวตัวโตที่ถูกเลี้ยงอย่างทะนุถนอม เพื่อสุดท้ายจะต้องกลายเป็นอาหารหรือเครื่องหนัง ตลอดการอ่านเราจะได้พบความเศร้าหน่วงๆ และความสุขอุ่นๆ แต่การมองโลกในแง่ดีของมิโลกลับทำให้โลกใบนี้มีแสงสว่าง มันบอกให้เรารู้ว่า ชีวิตคือการเรียนรู้ หกล้ม และลุกขึ้นใหม่ ปลายทางนั้นอาจหมายถึงโลกอีกใบ แต่ถึงอย่างไรบนโลกใบนี้เราควรใช้ชีวิตให้เต็มที่ที่สุด

ปาฏิหาริย์แมวลายส้ม ผู้พิทักษ์หนังสือ

ผู้เขียน: นัตสึคาวะ โซสุเกะ

ผู้แปล: ปิยะวรรณ ทรัพย์สำรวม

สำนักพิมพ์: Bibli

อาจมีบางคนเคยถามตัวเองว่าอ่านหนังสือไปทำไม? หลายคนอาจมีคำตอบว่า อ่านเพราะเราอยากอ่าน สนุกกับการผจญไปในจินตนาการพร้อมกับตัวละครมากหน้าหลายตา ฯลฯ หลายเรื่องราวในหนังสือนั้นบางครั้งคุณอาจพยักหน้าเห็นด้วย และบางครั้งก็ส่ายหน้าปฏิเสธ จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่นิยายเรื่องนี้ จะมีทั้งคนที่เห็นชอบและเห็นต่าง เพราะสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อนั้นชัดเจน ตรงไปตรงมา ซึ่งหากมองอีกแง่ก็เหมือนการยัดเยียดว่า สิ่งที่ตัวละครบางคนในเรื่องทำนั้นผิด แต่คนแบบนั้นก็มีอยู่จริงๆ เพราะแต่ละคนย่อมมีเหตุผลในการอ่านหนังสือแตกต่างกันไป

หนังสือเปิดมาด้วยความตาย ปู่ของนัตสึกิ รินทาโร นอนหลับแล้วจากไปอย่างสงบ ทิ้งให้เด็กหนุ่มที่เป็นคนเงียบๆ และเก็บตัวต้องพบกับความว่างโหวงในจิตใจ สิ่งที่ปู่ทิ้งไว้ให้ไม่อาจเรียกได้ว่ามรดก เพราะมันเป็นแค่ร้านหนังสือมือสองเล็กๆ ที่พออยู่ได้ และที่แห่งนี้ก็เป็นเสมือนหลุมหลบภัยของทั้งปู่และหลาน

หลังปู่จากไป รินทาโรก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อย้ายไปอยู่กับป้า แต่ในเย็นวันหนึ่งก็มีแมวลายส้มปรากฏตัวขึ้นที่ร้าน มันเป็นแมวพูดได้และแนะนำตัวว่าชื่อโทระมันมาเพื่อขอความช่วยเหลือแกมบังคับให้รินทาโรช่วยแก้ไขปัญหาและปกป้องหนังสือในเขาวงกตหนังสือ ซึ่งผู้คนหลากหลายในสถานที่แห่งนั้นล้วนมีความเชื่อมโยงกับหนังสือทั้งสิ้น เช่นคนแรกผู้กักขังชายที่อ่านหนังสือเดือนละร้อยเล่ม เพราะเขามีความเชื่อว่าคนที่อ่านหนังสือสิบเล่ม ย่อมมีความน่าสนใจกว่าคนที่อ่านหนังสือแค่เล่มเดียว สิ่งที่รินทาโรต้องทำก็คือก็คลายปมและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าสิ่งที่ชายคนนั้นยึดมั่นอาจเป็นแค่มุมมองด้านเดียว เพราะหนังสือและโลกยังมีอีกหลายแง่มุมให้เราค้นพบ แมวลายส้มพารินทาโรแวะเวียนไปพบกับผู้คนที่อ่านหนังสือภายในเขาวงกตอีกหลายครั้ง สิ่งที่รินทาโนได้ช่วยทำนั้น บางทีอาจจะไม่ใช่แค่การพิทักษ์หนังสือ แต่มันเป็นปาฏิหาริย์แห่งการเรียนรู้และค้นพบตัวเอง นอกเหนือจากคำพูดบางคำของปู่ที่เขาระลึกขึ้นได้ หรือบรรดาหนังสือในร้านของปู่ที่เขาเคยพลิกอ่านมาแล้วหลายต่อหลายเล่ม

Tags: , ,