เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ในงานประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้อง มีการพบปะหารือกันระหว่างตัวแทนภาคประชาสังคมในอาเซียน รัฐมนตรีต่างประเทศ เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน และเลขาธิการอาเซียน โดยถือว่าเป็นการพบปะอย่างเป็นทางการระหว่างตัวแทนฝั่งรัฐ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอาเซียน และภาคประชาสังคมครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยครั้งสุดท้ายที่มีการหารือกันบนเวทีอาเซียนซัมมิต ต้องย้อนไปเมื่อปี 2558 ที่มาเลเซียเป็นประธาน

ฟากฝั่งรัฐ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย มาเลเซีย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม เจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ((ASEAN Senior Officials’ Meeting: SOM) ของประเทศสมาชิกไปจนถึงเลขาธิการอาเซียน ขาดก็แต่ตัวแทนจากบรูไนและลาวที่ไม่มีตัวแทนทั้งฝั่งประชาสังคมและรัฐ โดยมีการยกประเด็นหารือในเรื่องการสร้างความร่วมมือและความไว้วางใจระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ประเด็นปัญหาชาวโรฮิงญา ความขัดแย้งในปาปัวตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย การกำหนดให้ประเด็นสิ่งแวดล้อมเป็นเสาหลักที่ 4 ของอาเซียน รวมถึงผลกระทบต่อประชาชนอาเซียนจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)

หลังจากนั้น ที่โรงแรมทีเค พาเลซ ตัวแทนภาคประชาชนและสภาเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาแห่งเอเชีย (FORUM ASIA) ออกมาจัดแถลงข่าวถึงบทสะท้อนของการพบปะดังกล่าว และมีการเปิดตัวรายงานประเมินประสิทธิภาพของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) จัดทำโดย FORUM-ASIA ด้วย

ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศักยภาพชุมชน ผู้แทนภาคประชาสังคมจากไทยระบุว่า บรรยากาศการพบปะวันนี้เป็นไปในทางบวก ตัวแทนภาครัฐต่างเห็นด้วยกับการสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือระหว่างรัฐและประชาสังคมซึ่งต่างก็ยอมรับว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ ทางการไทยได้เน้นย้ำในเรื่องการสนับสนุนให้มีเครือข่ายสมาคมอาเซียน (ASEAN Association) แพลตฟอร์มที่ประกอบไปด้วยคนจากกลุ่มธุรกิจ ประชาชน สื่อ มหาวิทยาลัย ที่ทำหน้าที่สร้างการรับรู้เกี่ยวกับอาเซียน เชื่อมโยงรัฐบาลและประชาสังคมในทุกประเทศสมาชิก ซึ่งไทยเองก็ได้มีการจัดตั้งมานานแล้ว

ชลิดายังเล่าอีกว่า รมว. ต่างประเทศของมาเลเซียเป็นตัวแทนประเทศเพียงชาติเดียวที่เสนอให้มีภาคประชาสังคมทำงานเต็มเวลาในประเด็นการนำชาวโรฮิงญากลับถิ่นฐานในรัฐยะไข่ ประเทศพม่า หลังถูกกองทัพพม่าใช้ความรุนแรงกวาดล้างเมื่อปี 2560 จนต้องอพยพออกนอกประเทศ โดยมีจำนวนมากถึง 740,000 คนที่อาศัยในค่ายผู้ลี้ภัยในคอกซ์ บาซาร์ ประเทศบังกลาเทศจนถึงวันนี้

ตัวแทนประชาสังคมหลายคนที่เข้าไปในงานพบปะตัวแทนรัฐและอาเซียนพูดตรงกันว่า รมว. ต่างประเทศมาเลเซียได้เน้นย้ำถึงการให้ภาคประชาสังคมเป็นคนเลือกตัวแทนในการเข้าพบปะเอง โดยที่รัฐต้องไม่ไปแทรกแซง สืบเนื่องจากที่ผ่านมามีความพยายามของหลายประเทศที่พยายามจัดตั้งองค์กรภาคประชาสังคมของตัวเองแล้วให้ตัวแทนเหล่านั้นเข้าร่วมเวทีอาเซียนภาคประชาชนไปจนถึงการเข้าพบกับตัวแทนรัฐในเวทีอาเซียน

หลากหลายความเห็นต่อการไม่ได้พบผู้นำประเทศ

การพบปะผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน เป็นกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมในเวทีอาเซียนอย่างเป็นทางการที่ตามกลไกอาเซียนแล้วจะต้องทำทุกปีหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมภาคประชาสังคม/เวทีอาเซียนภาคประชาชน (ACSC/APF) ที่จะจัดคู่ขนานไปกับอาเซียนซัมมิตมาจนถึงปีนี้เป็นปีที่ 15 แล้ว เพื่อส่งแถลงการณ์ของภาคประชาสังคมให้กับผู้นำประเทศนำไปพิจารณาและแก้ไขปัญหาต่อไป แต่ในทางปฏิบัติ การพบปะเช่นว่ามักมีเหตุขัดข้องและเกิดขึ้นไม่สม่ำเสมอ

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้การพบปะทุกปีสามารถอยู่ได้แค่ในแผ่นกระดาษ ได้แก่การที่ผู้นำไม่ยอมรับตัวแทนจากภาคประชาสังคมที่ได้รับการคัดเลือกมาจากเวทีภาคประชาชน หรือไม่พอใจที่จะมีการนำประเด็นอ่อนไหวเข้ามาพูด ในอดีตก็เคยมีกรณีที่ผู้นำกัมพูชาไม่ยอมรับตัวแทนภาคประชาสังคมจากกัมพูชามาแล้ว

ความเปิดกว้างต่อภาคประชาสังคมก็มีผลต่อการเกิดหรือไม่เกิดขึ้นของการพบปะ ในปี 2561 ที่สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพอาเซียนก็ได้ระบุกับภาคประชาสังคมเอาไว้ว่าจะไม่มีการพบปะกับภาคประชาสังคม แถลงการณ์จากภาคประชาสังคมที่ส่งไปยังกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ก็ไม่มีการแจ้งว่ามีความคืบหน้าในการดำเนินการต่อ การเตรียมตัวของภาคประชาสังคมที่ไม่สามารถจัดงานได้ทันก็เป็นสาเหตุหนึ่งของเหตุขัดข้องนี้ ซึ่งจะกล่าวต่อไปภายหลัง

สุนทรี หัตถี เซ่งกิ่ง จากองค์กร Home Net SEA อีกหนึ่งผู้แทนประชาสังคมจากไทยกล่าวขณะแถลงข่าวว่า การพบปะทุกปีไม่ได้เป็นไปด้วยดี เพราะก็มีที่รัฐบาลกังวลถึงประเด็นที่ประชาสังคมยกขึ้นมาพูด บางครั้งรัฐบาลก็กังวลกับตัวแทนจากภาคประชาสังคม ซึ่งการได้พบปะกับตัวแทนรัฐและอาเซียนในปีนี้ ถ้ามองในแง่บวกก็คืออย่างน้อยกระบวนการพบปะได้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแม้ไม่ได้พบกับผู้นำก็ตาม แต่ลึกๆ ก็อยากจะให้มีการพบกับผู้นำอีกครั้งในอนาคต

แม้เห็นร่วมกันว่ามีแบบนี้ก็ยังดีกว่าไม่มี ผู้แทนของประชาสังคมที่เข้าไปพบปะตัวแทนรัฐมีความเห็นที่แตกต่างกันต่อการพบปะครั้งนี้ โซมินธาน ตัวแทนประชาสังคมจากสิงคโปร์ระบุว่า แบบแผนของการพบปะเช่นนี้ ที่มีเวลาจำกัดให้ 30 นาที ไม่สามารถเป็นพื้นที่ให้มีการอภิปราย ถกเถียงกันได้อย่างเพียงพอ แค่ตัวแทนรัฐ อาเซียนและประชาสังคมแต่ละประเทศยกประเด็นขึ้นมาก็หมดเวลาแล้ว เวทีนี้จึงกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ว่าตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ เต็มใจมานั่งร่วมโต๊ะเพื่อหารือกัน ซึ่งเขาอยากให้มีบรรยากาศที่เปิดต่อการพูดคุยหารือมากกว่านี้

ผู้แทนประชาสังคมคนหนึ่งที่เข้าร่วมในงานแถลงข่าวระบุว่า หลายประเด็นที่แต่เดิมไม่ถูกรับฟังก็ได้รับการรับฟังในการพบปะครั้งนี้ เช่นเรื่องการผลักดันประเด็นสิ่งแวดล้อมให้เป็นเสาหลักที่ 4 ซึ่งก็ยังเป็นการรับฟังที่ไม่มีการให้คำมั่นใดๆ แต่บางเรื่องก็ยังไม่มีการตอบรับ เช่นเรื่องสิทธิมนุษยชน

สิทธิมนุษยชนยังเป็นเรื่องอ่อนไหว กลไกภูมิภาคยังอ่อนแอ

ฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำภูมิภาคเอเชีย หนึ่งในผู้ร่วมแถลงข่าวระบุว่า ยังดีที่มีการจัดให้พบปะกัน ซึ่งต้องให้ความดีความชอบกับ รมว. กระทรวงการต่างประเทศของไทยที่จัดให้มีขึ้นได้ ทั้งนี้ การพบปะเช่นนี้ควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอัตโนมัติ ไม่ใช่สิ่งที่ประชาสังคมต้องเจรจากับรัฐแล้วจึงเกิด การพบปะควรจะเป็นโครงสร้างที่มีเพื่อให้ผู้นำประเทศมารับฟังและมีการตอบสนองต่อภาคประชาสังคม ฟิลยังชี้ถึงปัญหาของอาเซียนในเรื่องของการพร้อมใจกันหลบเลี่ยงไม่พูดเรื่องสิทธิมนุษยชน และกลไกสิทธิมนุษยชนระดับอาเซียน (AICHR) ที่จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูป

“อาเซียนพูดกันเยอะในเรื่องการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างไซโคลน แผ่นดินไหว แต่ทำไมถึงไม่สนใจภัยพิบัติทางสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นทุกวันจากน้ำมือของรัฐในภูมิภาค มันคือภัยพิบัติทางสิทธิมนุษยชนเมื่อกองทัพพม่าได้ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยการฆ่า ข่มขืน และทำให้ชาวโรฮิงญาพิการเป็นหมื่นคน เผาหมู่บ้านเป็นร้อย แล้วขับไล่ชาวโรฮิงญาจำนวน 740,000 คนไปยังบังกลาเทศภายในเวลาไม่กี่เดือน”

“มันเป็นภัยพิบัติ (ทางสิทธิมนุษยชน) เมื่อโรดริโก ดูเตอร์เตปล่อยกำลังตำรวจและหน่วยล่าสังหารลงไปในชุมชนคนยากจนในนามสงครามยาเสพติด ส่งผลให้มีคนตายมากกว่า 20,000 คน มีการสังหารเกินอำนาจ มีการตรวจค้นตามรถประจำทางและการใช้วิธีแบบหนังฮอลลีวูดแบบที่ใช้ยาเสพติดและอาวุธมาให้ความชอบธรรมกับการฆ่า”

“มันเป็นภัยพิบัติทางสิทธิมนุษยชนเมื่อนายกฯ ฮุนเซนแห่งกัมพูชาทำให้เกิดการจับกุมนักโทษการเมือง 80 คนเมื่อต้นเดือนสิงหาคมปีนี้ เพื่อหยุดยั้งไม่ให้อดีตผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี กลับเข้าประเทศในเดือนพฤศจิกายนนี้ ยังรวมถึงการเลือกตั้งแบบเอาแต่ตัวเองในปี 2561 นำมาสู่ผลเลือกตั้ง 125-0 ที่นั่งในสภาโดยพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP)”

“มันเป็นภัยพิบัติทางสิทธิมนุษยชนเมื่อบรูไนปล่อยให้มีวิธีการลงโทษแบบยุคกลางด้วยการเฆี่ยนกลุ่ม LGBT ที่บังอาจไปมีความรักกับคนที่พวกเขารัก”

“มันเป็นภัยพิบัติทางสิทธิมนุษยชนเมื่อเวลา 5 ปีภายใต้การรัฐประหารที่สิทธิพลเมืองถูกสั่นคลอน และปูทางให้กับชัยชนะฉิวเฉียดของนายกรัฐมนตรีที่ได้รับเลือกจาก ส.ว. ที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร คสช. เอง”

ฟิลยังกล่าวถึงกรณีภัยพิบัติทางสิทธิมนุษยชนในประเทศอาเซียนอื่นๆ ทั้งการจับกุมคุมขังนักโทษการเมืองในเวียดนามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มคน LGBT ในอินโดนีเซีย กฎหมายต่อต้านข่าวปลอมในสิงคโปร์ การปิดปากคนเห็นต่างในปาปัวตะวันตก และการหายตัวไปของสมบัด สมพอนในลาว

ราเชล อาดินี จูดิสธารี จาก FORUM-ASIA และหนึ่งในตัวแทนประชาสังคมที่เข้าพบปะกับตัวแทนรัฐ กล่าวว่า เธอได้หยิบยกประเด็นการทบทวนอำนาจและหน้าที่ (ToR) ของ AICHR เนื่องจากตลอด 10 ปี ที่ AICHR ถูกก่อตั้งและดำเนินการมา ได้ใช้งบประมาณไปแล้วราว 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และทำโครงการไปแล้วทั้งสิ้น 141 โครงการ แต่ยังคงมีปัญหาในเรื่องการทำหน้าที่ปกป้องสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคที่ AICHR ไม่สามารถทำได้เลย

ราเชลยังเล่าว่า รมว. กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้แจ้งแล้วว่าจะผลักดันให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญขึ้นมาเพื่อทบทวนอำนาจและหน้าที่ของ AICHR ภาคประชาสังคมจึงหวังว่ากระบวนการคัดสรรกรรมการจะโปร่งใส และมีส่วนร่วมจากภาคประชาสังคม และเสนอกรอบเวลาว่าการทบทวนจะต้องเสร็จในเวลา 3 ปี เนื่องจากกังวลว่าภูมิทัศน์ด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในอาเซียนที่ไม่ค่อยดีจะทำให้กระบวนการดังกล่าวลากยาว และ AICHR ควรมีบทบาทในภูมิภาคได้มากกว่านี้

ทำไมประชาสังคมถึงเข้าหาอาเซียน

แม้การรวมตัวอย่างอาเซียนจะมีผลงานหลายอย่าง แต่หลายคนก็มองอาเซียนในฐานะโรงลิเกขนาดใหญ่ที่ไม่กล้าแตะต้องในประเด็นอ่อนไหวที่แต่ละประเทศมี โดยเฉพาะเรื่องการเลือกปฏิบัติกับประชาชนและการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มักไม่เป็นที่ปรากฏในแถลงการณ์เวลาประชุมสุดยอดอาเซียน ประเด็นดังกล่าว แม้มีการพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในหมู่ภาคประชาชนเวลามีการจัดประชุมเวทีอาเซียนภาคประชาชน แต่การพูดคุยกับการนำไปสู่การผลักดันเพื่อแก้ปัญหาก็เป็นคนละเรื่อง

ในภูมิภาคที่รัฐบาลฟังเสียงประชาชนน้อย แต่ละประเทศมีเรื่องที่พูดในประเทศตัวเองไม่ได้สารพัด กลไกอาเซียนจึงดูเป็นช่องทางให้ภาคประชาชนแสดงออกซึ่งปัญหาในประเทศ ชลิดาให้ข้อมูลว่า กลไกภายใต้ 3 เสาหลักอาเซียนมีประโยชน์ในแง่การให้ภาคประชาสังคมผลักดันประเด็นของตนเอง ซึ่งจะต้องมีการจัดเวทีสาธารณะ ให้มีผลของการอภิปราย ถกเถียง แล้วส่งให้องค์กรที่ได้รับการรับรองจากอาเซียนเพื่อส่งประเด็นเหล่านั้นไปให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแยกเป็นรายประเด็น รายกระทรวง กลไกแบบนี้เป็นการจัดทำแบบล่างขึ้นบน ส่วนกลไกเวทีภาคประชาชนอาเซียนแล้วไปพบปะกับผู้นำนั้นเป็นการนำข้อเรียกร้องของทุกประเด็นทุกประเทศยื่นให้กับผู้นำเลย เหมือนกับการส่งประเด็นจากบนลงล่างซึ่งก็มีข้อดีและข้อเสียต่างกัน การได้พบกับผู้นำก็เท่ากับได้พบกับคนที่มีอำนาจตัดสินใจ แต่จะให้มีเวลาหารือกันมากก็คงไม่ได้ แต่การส่งประเด็นเข้ากลไกอาเซียนนั้นจะมีเวลาให้ทำงานในเชิงรายละเอียดมากขึ้น แต่ไม่ได้พบกับผู้มีอำนาจโดยตรง

ชลิดาทิ้งท้ายว่า กลไกเวทีอาเซียนภาคประชาชนจะยังต้องมีอยู่เพื่อเป็นพื้นที่ให้มีการถกเถียง พูดคุยและแสดงออกซึ่งความคาดหวังต่อประเทศสมาชิกอาเซียนโดยตรง ในขณะเดียวกัน ภาคประชาสังคมจะต้องเข้าหาตัวแทนรัฐในแบบนักการทูตมากขึ้นเพื่อให้เสียงของพวกเขาเป็นที่ได้ยิน

ราเชลกล่าวว่า ในกฎบัตรอาเซียน ภาคผนวก 2 (ANNEX 2) พูดถึงการรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ร้อยละ 62 ในนั้นคือองค์กรภาคประชาสังคม จึงเป็นสิทธิของภาคประชาสังคมที่จะต้องเข้าหาอาเซียน ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศสมาชิกอาเซียนใช้กลไกอาเซียนเป็นเหมือนเกราะในการสร้างความชอบธรรมการกระทำต่างๆ เช่นเรื่องโรฮิงญา ที่คณะกรรมการค้นหาความจริงในพม่าได้กล่าวหาพม่าว่ากระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ว่าประเทศสมาชิกอาเซียนก็ยังคงมองเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาผู้ก่อการร้ายหรือเรื่องปัญหาความยากจน ซึ่งบทบาทของประชาสังคมก็คือต้องทำหน้าที่ตรวจสอบและเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ปฏิบัติตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนที่เป็นสากล อาเซียนในวันนี้ หลักการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางได้รับความสำคัญน้อย และค่อยๆ กลายเป็นการรวมตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น บทบาทประชาสังคมอีกอย่างคือการย้ำเตือนให้อาเซียนเคารพหลักการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางเข้าไว้

ดังที่สุภาษิตในละตินอเมริกากล่าวไว้ว่า กระดาษแข็งแรงพอที่จะรองรับทุกอย่างที่เขียนลงไป ความหวังของภาคประชาสังคมในการใช้กลไกอาเซียนผลักดันประเด็นที่พูดหรือทำกันในประเทศไม่ได้จะเป็นอย่างไร ต้องคอยติดตามดูว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทยและประเทศสมาชิกอื่นๆ นำข้อเสนอที่ได้รับในการพบปะวันนี้ไปดำเนินการมากน้อยแค่ไหน

ย้อนเส้นทางภาคประชาชนอาเซียนปี 2562

ในปี 2562 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพอาเซียน ความสัมพันธ์ระหว่างภาคประชาชนไม่ได้ราบรื่นเท่าที่ควร ในช่วงต้นปีที่มีการชี้แจงเรื่องการเป็นประธานอาเซียนที่กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้รับจัดสรรงบประมาณจำนวนเกือบ 10 ล้านบาท เพื่อให้มีการจัดเวทีอาเซียนภาคประชาชนขึ้น ทว่า ในเดือนพฤษภาคม ภาคประชาสังคมได้มีการเลื่อนจัดงานที่จากเดิมจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายน 2562 เนื่องจากภาคประชาสังคมไม่สามารถจัดเตรียมความพร้อมได้ทันเวลา แต่ยังยื่นข้อเสนอว่าจะเข้าพบปะกับผู้นำในอาเซียนซัมมิตครั้งที่ 34 ในเดือนมิถุนายน โดยจะใช้แถลงการณ์จากการประชุมเมื่อปี 2561 ที่สิงคโปร์แทน

การขอเข้าพบได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องความไม่พร้อมของประชาสังคม อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า มีผู้นำบางประเทศที่แสดงจุดยืนไม่ต้องการพบกับภาคประชาสังคม การพบปะจึงถูกพับไป ภาคประชาสังคมตัดสินใจเลื่อนการจัดอาเซียนภาคประชานไปเป็นวันที่ 10-12 กันยายน 2562

แต่ในช่วงต้นเดือนกันยายนก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์ที่น่ากังวล เมื่อคณะทำงานภาคประชาสังคมออกมาแถลงข่าวเมื่อ 3 กันยายน ตัดสินใจไม่รับงบประมาณจาก พม. ทั้งหมด โดยคณะทำงานของภาคประชาสังคมให้เหตุผลว่าฝ่ายความมั่นคงของไทยพยายามแทรกแซงด้วยการขอรายชื่อที่ประชาสังคมต้องให้ พม. เพื่อทำการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อนำมาตรวจสอบว่าใครติดแบล็คลิสต์ของรัฐบาลเพื่อนบ้านบ้าง จึงตัดสินใจไม่รับงบประมาณก้อนดังกล่าว

การปฏิเสธงบประมาณก้อนที่มีสัดส่วนแทบจะทั้งหมดของการจัดงานในช่วง 1 สัปดาห์สุดท้ายก่อนจัดงาน ทำให้ต้องเปลี่ยนสถานที่จัดงานและการจัดการงบประมาณที่มีโดยฉับพลัน สถานที่จัดงานต้องเปลี่ยนมาเป็นศูนย์ประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ห้องนอนเปลี่ยนเป็นห้องพักรวม 50 คนและห้องน้ำรวม ภายใต้ความฉุกเฉินนี้ ภาคประชาสังคมได้รับงบประมาณและความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศจนมีงบประมาณทั้งสิ้น 3 ล้านบาทจาก Taiwan Foundation for Democracy, AIDS Healthcare Foundation, SIDA Sweden, Heinrich Boll Stiftung Southeast Asia จากเยอรมนี นอกจากนั้นยังได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลแคนาดาและเยอรมนีด้วย

ดราม่ากลับซับซ้อนไปอีกเมื่อ พม. ได้ใช้เงินก้อนเดียวกันนั้นที่ภาคประชาสังคมไม่รับมา ไปจัดงานชื่อ “โครงการประชุมภาคประชาชนอาเซียน” จัดที่โรงแรมเบิร์กลีย์ ประตูน้ำ ในวันที่ 9-12 กันยายน  โดยเชิญชวนกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ในประเทศจำนวนราว 1,000 คนหน่วยงานในสังกัดสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ พม. บ้านพักเด็ก กลุ่มอาสาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประจำหมู่บ้าน (อพม.) และเครือข่ายทั่วประเทศ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัดและ สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการ (สสว.) 12 แห่ง ซ้ำร้าย สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ยังไปทำข่าวที่นั่นเสมือนว่าเป็นเวทีอาเซียนภาคประชาชนจริงๆ เสียด้วย

การจัดงานอาเซียนภาคประชาชนที่ มธ. รังสิตครั้งนั้น มีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้น 1,046 คน โดยมาจากประเทศไทย 504 คน และจากประเทศอื่นๆ ในอาเซียน รวมถึงติมอร์-เลสเตรวม 542 คน มีการหารือในประเด็นแยกย่อยหลายเรื่อง ทั้งยังมีการพบปะตัวแทนจากภาครัฐของชาติสมาชิกอาเซียน หรือที่เรียกว่า Town Hall Meeting ที่ปีนี้มีปลัดจากกระทรวงการต่างประเทศของไทย และเอกอัครราชทูตจากมาเลเซีย อินโดนีเซียและติมอร์-เลสเต ประจำประเทศไทยเข้าร่วม ก็ได้มีการพูดคุยอย่างเปิดกว้างกับผู้เข้าร่วมหลักพัน ก่อนจะจบลงด้วยการร่างแถลงการณ์ร่วมกัน

Tags: ,