“เรากำลังร้องขอความช่วยเหลือจากโลกเสรีอย่างสิ้นหวัง คุณทั้งหลายรู้ว่า หากเรากลับไปประเทศจีน อะไรจะเกิดขึ้นกับเรา นี่คือคำร้องขอจากพี่น้อง 48 คนในประเทศไทย”
คือคลิปเสียงของผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ประท้วงรัฐบาลไทยด้วยการ ‘อดอาหาร’ หลังเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2025 สำนักข่าว CNN ระบุว่า รัฐบาลไทยกำลังจะส่งชาวอุยกูร์กว่า 40 รายที่ถูกคุมขังในสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตั้งแต่ช่วงปี 2013-2014 หลังหลบหนีการประหัตประหารของรัฐบาลจีนตั้งแต่ 11 ปีก่อน โดยทางการไทยเป็นฝ่าย ‘ยื่น’ เอกสารขอกลับประเทศโดยสมัครใจ ขณะที่เจ้าหน้าที่บางส่วนข่มขู่ผู้ต้องขังในเรือนจำว่า จะส่งพวกเขากลับประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร แต่ภาพรถบรรทุกสีขาว 6 คันที่ปิดล้อมด้วยเทปกาวสีดำรอบกระจกในช่วงเช้ามืดของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2025 บ่งบอกเรื่องราวทั้งหมดได้ด้วยตัวของมันเอง ยังไม่นับการยืนยันจากหน่วยงานทางการทั้งไทยและจีนคือ สถานทูตจีนประจำประเทศไทย และพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า ชาวอุยกูร์ 40 รายถูกส่งกลับประเทศจริง และย้ำว่า ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตตามปกติ โดยขั้นตอนการปฏิบัติงานเป็นไปอย่าง ‘ยุติธรรม’ และ ‘มีอารยะ’
เหตุการณ์ดังกล่าวนำมาสู่เสียงต่อต้านจากนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย หลัง มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบน X เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ว่า สหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรที่ยาวนานของไทย ขอ ‘ประณาม’ การกระทำดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยตรวจสอบว่า ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ปลอดภัยและได้รับการปกป้องตามสัญญาหรือไม่
ขณะที่สถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาลว่า ไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามหลักการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับไปเผชิญอันตราย (Non-refoulement) โดยแสดงความเป็นกังวลต่อสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง ประเทศจีน อีกทั้งยังเรียกร้องให้จีนปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน
ท่ามกลางความกังวลที่เกิดขึ้นจากหลายฝ่าย The Momentum พูดคุยกับ พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (Institute of Security and International Studies: ISIS) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศไทยและจีน เพื่อเจาะลึกปัญหาทั้งในมิติสิทธิมนุษยชน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงบทบาทของไทยบนเวทีโลกในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council: UNHRC)
ย้อนเหตุการณ์การส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศ ภายใต้ความท้าทายด้าน ‘บริบท’ ทางการเมือง
พงศ์พิสุทธิ์อธิบายว่า อันที่จริงมาตรการการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศไม่มีแนวทางเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีของชาวอุยกูร์ โดยหากย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นจะพบว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2013-2014 ตรงกับรัฐบาลไทยในสมัยของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ขณะนั้นรัฐบาลไทยดำเนินแนวทางกักตัวชาวอุยกูร์ไว้ เพราะเผชิญ ‘ภาวะหนีเสือปะจระเข้’ ในการเมืองระหว่างประเทศ กล่าวคือ หากส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศจีน อาจเผชิญแรงกดดันจากนานาชาติที่ประณามบทบาทของไทยด้านสิทธิมนุษยชน ขณะที่การส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งเป็นแนวทางตามอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 (1951 Convention Relating to the Status of Refugees) ที่ไทยมักปฏิบัติแม้ไม่ได้รัฐสมาชิก ทว่ารัฐบาลก็เกรงกลัวว่า จีนในฐานะมหาอำนาจ มีแนวโน้มกดดันไทยได้
อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนสำคัญคือ ปี 2014 หลังไทยเกิดเหตุการณ์รัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ต่อมามี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าทิศทางการต่างประเทศไทยไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการหันไปพึ่งพาความชอบธรรมทางการเมืองจากจีน หลังสหรัฐฯ และชาติตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์ความไม่เป็นประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ในช่วงแรกรัฐบาล คสช.ตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ไปประเทศที่สามอย่างตุรกีในปี 2015 ทว่าจีนกลับวิพากษ์วิจารณ์และแสดงท่าทีต่อต้าน โดยย้ำว่า นี่คือเรื่องภายในประเทศ เพราะคนอุยกูร์เป็นพลเมืองของจีน การกระทำของไทยจึงเปรียบเสมือนการแทรกแซงกิจการภายในประเทศ และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี
ท้ายที่สุดไทยจึงเปลี่ยนท่าทียอมส่งชาวอุยกูร์นับร้อยชีวิต กลับประเทศตามคำขอของรัฐบาลจีน ในช่วงเวลานั้นปรากฏภาพของผู้ลี้ภัยบนเครื่องบิน มีผ้าโพกหัวและกุญแจคล้องมือ ขณะที่เจ้าหน้าที่นั่งข้างๆ แม้รัฐบาล คสช.อ้างว่า มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์กลุ่มดังกล่าว แต่กลับไม่มีความคืบหน้าจนถึงปัจจุบัน โดยหลังจากนั้นไทยต้องเผชิญแรงต่อต้านทางการเมือง ด้วยเหตุการณ์ระเบิดศาลท้าวมหาพรหม หน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2015
“จะเห็นว่า มาตรการของไทยต่อผู้อพยพไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจนว่า เราจะปฏิบัติตามแนวทางใดต่อพวกเขา ขึ้นอยู่บริบทในแต่ละช่วงมากกว่า” ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติสรุปปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยดำเนินนโยบายดังกล่าวคือ บริบททางการเมืองไทยที่ขนานไปกับการเมืองระหว่างประเทศ
คำนึงถึง ‘ผลประโยชน์ระยะสั้น’ มากกว่าระยะยาว: บทวิเคราะห์ปมการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับประเทศ
สำหรับเหตุการณ์การส่งตัวชาวอุยกูร์ภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศและความมั่นคงไทยวิเคราะห์ว่า มาตรการดังกล่าวอาจมาจากผู้กำหนดนโยบายบางกลุ่ม และความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้นำระดับสูงของทั้ง 2 ประเทศ เพราะปกติแล้วจุดยืนของหน่วยงานราชการคือความพยายามวางท่าทีสมดุล กล่าวคือ ไม่ต้องการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง เพราะภาพลักษณ์ไทยด้านสิทธิมนุษยชนจะย่ำแย่ ขณะที่ไม่พร้อมจะส่งไปประเทศที่สาม เนื่องจากอาจเผชิญแรงกดดันจากจีน
พงษ์พิสุทธิ์วิเคราะห์ว่า ไม่ว่าสังคมตั้งคำถามถึงเบื้องหลังการช่วยเหลือด้วยเหตุผลใด เช่น การเจรจาแลกเปลี่ยน เพื่อแลกกับการจัดการปัญหาคอลเซ็นเตอร์ในบริเวณชายแดน คำตอบดังกล่าวเป็นไปได้หมด และเชื่อว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการคำนวณถึง ‘ผลประโยชน์ระยะสั้น’ เพราะหากคำนวณถึงผลประโยชน์ระยะยาว การส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศกระทบกับภาพลักษณ์ของประเทศไทยในประเด็นสิทธิมนุษยชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“รัฐไทยส่วนใหญ่มองว่า ปัญหาสิทธิมนุษยชนมาเป็นระยะ หาทางรับมือ และคลี่คลายไปเอง เรื่องพวกนี้จะหายไปตามสายลม
“เหมือนกับกรณีการส่งตัวกลับในยุคของคุณประยุทธ์ ซึ่งหนักมาก เพราะประเด็นดังกล่าวมีเรื่องทางการเมืองเข้ามาด้วย แต่พอเขากลับสู่ตำแหน่งในปี 2019 ก็ไม่มีใครพูดเรื่องอะไรกับเรื่องอุยกูร์มากนัก ในแง่นี้รัฐบาลไทยอาจมองภาพระยะยาวที่ผ่านมาว่า ประเด็นนี้ไม่ได้สำคัญที่สุดที่สหรัฐฯ หรือบางประเทศจะกดดันไทย แม้หน่วยงานสิทธิมนุษยชนจะต่อต้านก็ตาม”
อาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังอธิบายเพิ่มเติม ถึงเหตุผลหนึ่งในการตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายคือ บริบททางการเมืองระหว่างประเทศ หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ทำให้ทิศทางการต่างประเทศของอเมริกาในแบบรักษาคุณค่าทางสิทธิมนุษยชนค่อยๆ ลดความสำคัญไป ขณะที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับสงครามอิสราเอล-กาซา หรือสงครามรัสเซีย-ยูเครนมากกว่า
เหล่านี้ทำให้ผู้นำไทยระดับสูงอาจคิดว่า ข้อวิจารณ์ดังกล่าวอาจคลี่คลายลงเร็วกว่าที่คิด และไม่ได้ส่งผลกระทบระยะยาวกับไทยมาก แม้รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะเล่นบทบาทนำในระหว่างการยืนยันตัวตนกับวุฒิสภา โดยย้ำว่า ไม่เห็นด้วยที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศ ซึ่งพงศ์พิสุทธิ์อธิบายว่า นี่เป็นเพียงบทบาทหนึ่งที่สหรัฐฯ ยังเล่นอยู่
นอกจากนี้ The Momentum ยังตั้งคำถามกับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการต่างประเทศไทยและจีนว่า การวางตัวของไทยในครั้งนี้ อาจส่งผลต่อภาพใหญ่ระหว่างความสัมพันธ์ 3 เส้าระหว่างไทย จีน และสหรัฐฯ ในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์หรือไม่ โดยเฉพาะท่าทีของไทยที่ดูเอนเอียงเข้าหาจีนมากกว่าสหรัฐฯ
พงศ์พิสุทธิ์ตอบคำถามว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการขึ้นมาของทรัมป์ที่ดู ‘ไร้จุดยืน’ และ ‘คาดเดา’ ไม่ได้ โดยเขาเชื่อว่า เป็นไปได้ว่า หากรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ยังอยู่ หรือพรรคเดโมแครต (Democratic Party) ที่มีแนวทางยึดมั่นในสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยได้เป็นรัฐบาล ภาพการส่งอุยกูร์กลับประเทศจีนอาจไม่เกิดขึ้น
“ในแง่นี้ไทยก็เหมือนไผ่ลู่ลม ดูและคำนวณว่า ถ้าเสียน้อยกว่าได้ ทำแล้วแก้ไขปัญหาอะไรบางอย่างได้ และหากทำให้จีนร่วมมือได้ ก็อาจจะมีประโยชน์สำหรับรัฐบาลไทย”
พงศ์พิสุทธิ์อธิบายโดยเชื่อมโยงกับการที่รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันต้องอาศัย ‘เสียง’ ของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า ส่วนหนึ่งคือการแสดงให้เห็นถึงผลงานการบริหารประเทศเป็นรูปธรรม เช่นการแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์โดยได้รับความร่วมมือกับจีน ซึ่งอาจจะช่วยซื้อใจกลุ่มผู้ลงคะแนนเสียงบางกลุ่ม
ผลกระทบระยะยาวที่รัฐมองไม่เห็น: ภาพลักษณ์ย่ำแย่ และ Soft Power ที่กลายเป็น ‘ไม้หลักปักขี้เลน’
อย่างไรก็ตามพงศ์พิสุทธิ์มองว่า ไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากชาติยุโรปมากกว่าสหรัฐฯ เพราะประเทศเหล่านี้ยังคงไว้ซึ่งบทบาทความเป็นมหาอำนาจ ที่รักษาค่านิยมด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย (Normative Power) เป็นไปได้ว่า ประเด็นการส่งกลับอุยกูร์อาจถูกหยิบยกขึ้นมาหารือกับทางการไทยในบางครั้ง ขณะที่บทบาทของไทยในฐานะสมาชิก UNHRC ก็ส่งผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะในมุมมองของกลุ่มประเทศมุสลิม
“ภาพลักษณ์ของไทยต่อนานาชาติในมิติสิทธิมนุษยชนขาดความชอบธรรม เพราะไทยเป็นสมาชิกของคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชน การมีนโยบายแบบนี้มันขัดแย้งกัน”
ผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงฯ ย้ำว่า ประเด็นสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่อง ‘แยบยล’ ในการนำมาใช้กับนโยบายต่างประเทศ หากรัฐบาลไทยไม่ได้สมาทานคุณค่าเหล่านี้อย่างแท้จริง ท้ายที่สุดจะกลายเป็นเครื่องมือที่นานาชาติหรือกลุ่มต่างๆ นำมากดดัน และไทยจะอยู่ภาวะ ‘น้ำท่วมปาก’ เพราะไม่มีความสม่ำเสมอทางนโยบาย
นอกจากนี้พงศ์พิสุทธิ์ยังตั้งคำถามถึงภาพลักษณ์ของไทยผ่าน ‘อำนาจโน้มนำ’ (Soft Power) ตามนิยามของ โจเซฟ ไนน์ (Joseph Nye) นักวิชาการเจ้าของแนวคิดดังกล่าว เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดตอกย้ำว่า อำนาจโน้มนำของประเทศเหมือน ‘ไม้หลักปักขี้เลน’ โดยยกตัวอย่างถึงเหตุการณ์ในอดีต หลังรัฐบาลไทยภายใต้ ชวน หลีกภัย ถูกจีนกดดันไม่ให้วีซ่า ดาไลลามะ (Dalai Lama) ในการประชุมโนเบลสาขาสันติภาพในประเทศไทย แต่ทางการก็หาทางออกด้วยการชี้แจงว่า การประชุมจัดขึ้นโดยกลุ่มเอกชนและ NGO ไม่ใช่ในนามของรัฐบาล นับเป็นภาพสะท้อนของประเทศไทยในช่วงที่บริบททางการเมืองให้คุณค่ากับด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนว่า รัฐก็สามารถใช้สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการยึดถือและเครื่องมือในการดำเนินนโยบายได้
“เรื่องเศรษฐกิจคือการสร้างแบรนด์ของชาติ (Nation Branding) แต่สิทธิมนุษยชนคืออำนาจโน้มนำตามนิยามจริงๆ ที่รัฐบาลไม่สามารถทำได้ ถ้าให้ประเมินในมิตินี้ไทยก็ไม่ผ่าน เพราะเราไม่สามารถบอกกับชาวโลกได้ว่า เรามีคุณค่าอะไรที่สังคม รัฐบาล และหน่วยงานกำหนดนโยบาย สามารถผลักดันหรือใช้เป็นเครื่องมือทางนโยบายต่างประเทศได้
“ถ้าไม่มีหลักการด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย สุดท้ายอำนาจโน้มนำของคุณก็กลายเป็นไม้หลักปักขี้เลน เป็นอะไรผิวเผินมากๆ ถ้าอ้างอิงตามนิยามของไนน์ ที่ต้องมีเรื่องการต่างประเทศในคอนเซปต์นี้ว่า เราต้องสนับสนุนคุณค่าบางอย่างที่สะท้อนจากสังคมและการเมืองของเรา ซึ่งตรงกันกับคุณค่าที่ชาวโลกเห็นว่ามีความสำคัญอย่างประเด็นสิทธิมนุษยชน นั่นหมายความว่า ไทยไม่สามารถใช้กลไกนี้ในการทำให้อำนาจโน้มนำของเราเข้มแข็งได้”
อาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังทิ้งท้ายถึงกรณีก่อการร้าย หลังกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นและสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ประกาศให้เฝ้าระวังเหตุความไม่สงบในประเทศไทย โดยย้ำว่า ภาพเหล่านี้สะท้อนการตัดสินใจของรัฐบาลที่กระทบเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประเทศ แต่เชื่อว่า หน่วยงานความมั่นคงประเมินมาแล้วว่า ตนจะสามารถจัดการสถานการณ์ได้ และอาจมีความร่วมมือกับทางการจีนด้านการข่าวมากขึ้นหลังจากนี้
Tags: กระทรวงการต่างประเทศ, อุยกูร์, สหรัฐฯ, ซินเจียง, UNHCR, การต่างประเทศไทย, สหรัฐอเมริกา, พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์, อเมริกา, รัฐศาสตร์ จุฬาฯ, จีน, มาร์โก รูบิโอ, สิทธิมนุษยชน, อำนาจโน้มนำ, Soft Power, อังกฤษ