กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ มุมหนึ่งของอ่าวเนเปิลส์ เคยเป็นที่อยู่อาศัยของส่ิงมีชีวิตต้องคำสาปที่เรียกว่า ‘ไซเรน’ (Siren) ว่ากันว่าพวกเธอถูกเทพีดิมีเทอร์ (Demeter) และเทพีแห่งโชคชะตาสาปให้อยู่บนเกาะเล็กๆ กลางทะเล และด้วยความรู้สึกอับจนกับโชคชะตาตัวเอง ทำให้พวกเธอแก้แค้นด้วยการร้องเพลง ล่อลวงชาวเรือหนุ่มด้วยเสียงไพเราะหม่นเศร้าที่จะทำให้ลืมทุกอย่าง ทั้งคลื่นลมที่โหมกระหน่ำและคนรักที่อยู่ห่างไกล หรือแม้แต่ชีวิตของพวกเขาเอง ซึ่งกว่าพวกเขาจะรู้ตัวอีกที เรือพวกเขาก็มีอันต้องชนโขดหินอัปปางลงไป

          ชื่อเสียงของเหล่าไซเรนสาวเลื่องลือจนแม้แต่โอดิสซิอุส (Odysseus) ฮีโร่ชาวกรีกในบทประพันธ์ของโฮเมอร์ (Homer) ยังต้องบอกให้คนเรือของตนใช้ขี้ผึ้งอุดหูเพื่อให้รอดพ้นจากภัยของพวกเธอ (ว่ากันว่าเทพีอธีนาก็มีส่วนช่วยอยู่นิดหน่อย) และตัวเขาเองที่อยากฟังเสียงของพวกเธอใจจะขาดก็ต้องมัดตัวเองติดอยู่กับเรือเพื่อไม่ให้ต้องมนต์สะกดอันชวนฝันนั้น…

          ออดิโอไกด์หยิบเรื่องราวของเหล่าไซเรนมาเล่าอีกครั้งระหว่างที่รถบัสของเราแล่นผ่านหมู่เกาะ Le Sirenuse ในอะมัลฟี่ โคสต์ (Amalfi Coast) หนึ่งในสถานที่ตากอากาศยอดนิยมของอิตาลีในช่วงฤดูร้อน แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าใด และตำนานจะมีจริงหรือไม่ ดูเหมือนว่าเสียงของเหล่าไซเรนจะทรงพลังอยู่เสมอ หลังจากเป็นที่ปรารถนาของโจรสลัดแห่งเมดิเตอร์เรเนียนและชนชาติต่างๆ มากมาย ณ วันนี้ มนตร์สะกดของเหล่าไซเรนก็ยังชวนนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้หลั่งไหลมายังดินแดนอันแสนอบอุ่นและสดใสแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย

          วิกิพีเดียนิยาม “อะมัลฟี่ โคสต์” ว่าเป็นชายฝั่งยาวประมาณห้าสิบกิโลเมตรที่ตั้งอยู่ทางเหนือของอ่าวซาเลอร์โน (Salerno) ในทะเลติร์เรเนียน (Tyrrhenian Sea) โดยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นคัมปาเนียของอิตาลี ชายฝั่งที่ประกอบด้วยเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ลดหลั่นไปตามเนินเขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกในปีค.ศ. 1997 พออ่านแล้วรู้สึกสนใจ และเริ่มเสิร์ชหาที่พักในแถบนั้น แต่พอเห็นราคาก็อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อน เพราะแม้ว่าที่พักและค่าอาหารในแถบอะมัลฟี โคสต์จะเรียกว่าแพงมาก แต่นักท่องเที่ยวที่สนใจก็สามารถเดินทางจากเนเปิลส์ไปเที่ยวอะมัลฟี่ โคสต์แบบเดย์ทริปได้สบายๆ ทั้งจากทางเรือไฮโดรฟอยล์หรือทางรถไฟสาย Circumvesuviana ที่ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงซอร์เรนโต (Sorrento) ซึ่งเป็นประตูสู่อะมัลฟี โคสต์แล้ว

          ว่ากันว่าเมืองซอร์เรนโตนี้เองที่โฮเมอร์ได้มาเยือนเมื่อพันกว่าปีก่อน แล้วเกิดหลงใหลในความงามจนถึงกับประพันธ์เรื่องราวของเหล่านางไซเรนขึ้นเพื่ออุทิศให้กับดินแดนแห่งนี้ ตำนานหนึ่งเล่าว่าชื่อเมืองซอร์เรนโต มาจากคำว่า ‘Sirentum’ ซึ่งแปลว่าดินแดนของเหล่าไซเรนนั่นเอง ส่วนอีกตำนานบอกว่า Sirentum เป็นชื่อของหนึ่งในไซเรนที่โดนโจรสลัดจับมา แล้วคนในเมืองนี้ขอให้ปล่อยเธอไป

          ปัจจุบันซอร์เรนโตคือเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยบ้านเมืองสีสันสดใสตั้งลดหลั่นไปตามไหล่เขา ถ้าเดินทางมาทางเรือจะเทียบท่าบริเวณท่าเรือด้านล่าง แล้วนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นลิฟต์มาบริเวณตัวเมืองได้ แต่ถ้าเดินทางมาทางรถไฟ สถานีปลายทางจะตั้งอยู่ด้านบนไม่ไกลจากเขตเมืองเก่านัก และจากสถานีรถไฟของซอร์เรนโตมีรถทัวร์นำเที่ยวเส้นทางอะมัลฟี่ โคสต์ไว้คอยบริการ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหน รถทัวร์ส่วนใหญ่มักจะนำเสนอแพ็คเกจเดย์ทริปแบบ Hop On, Hop Off นักท่องเที่ยวจึงสามารถแวะเที่ยวตามเมืองต่างๆ ที่อยู่รายทางแล้วค่อยมารอรถกลับมายังซอร์เรนโตในช่วงเย็นเพื่อต่อรถไฟไปยังที่พักในเมืองใกล้เคียงหรือในเนเปิลส์ต่อไป

          ถ้าพอมีเวลาเดินเล่นในซอร์เรนโตสักนิดก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะเมืองเก่าแห่งนี้เต็มไปด้วยคาเฟ่และร้านอาหารที่เสิร์ฟเครื่องดื่มประจำท้องถิ่นอย่างลิมอนเชลโล (Limoncello) ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่น หลังจากเติมพลังเสร็จเรียบร้อย ค่อยไปถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยร้านรวงขายของที่ระลึก เมื่อได้เวลารถออก เรากระโดดขึ้นรถทัวร์ที่เปิดเพลง Come Back to Sorrento สลับกับการบรรยายไปตลอดทาง

          เราเลือกแวะที่โพสิตาโน (Positano) เมืองแสนสวยที่ดูจะบอบช้ำอย่างหนักจากอินสตาแกรมของบล็อกเกอร์และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แม้จะได้เห็นโพสิตาโนจากอินเตอร์เน็ตบ่อยแค่ไหน แต่การได้มาเห็นกับตาตัวเองก็ทำให้รู้สึกทึ่งได้อยู่ดี ถ้ามาจากทางเรือ โพสิตาโนที่ปรากฏแก่สายตาจะดูคล้ายกับจอมปลวกขนาดยักษ์ที่ประดับประดาด้วยสีสันแบบลูกกวาด แต่ถ้าอยากได้ประสบการณ์แปลกใหม่ แนะนำมาทางรถ แล้วค่อยๆ เดินไต่ลงมาตามทางเดินเล็กๆ ที่ลัดเลาะไปตามบ้านเรือนของชาวบ้าน นอกจากจะได้ชมวิวแล้วยังได้ออกกำลังไปด้วย

          เช่นเดียวกับซอร์เรนโตและเมืองอื่นๆ ที่อยู่ในเขตอ่าวเนเปิลส์ซึ่งได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมกรีก โพสิตาโนก็มีประวัติผูกพันกับเทพปกรณัมอย่างแน่นแฟ้น ว่ากันว่านี่คือเมืองที่เทพโพไซดอน เทพเจ้าแห่งท้องทะเลสร้างขึ้นเพื่อมอบให้กับนางพรายอันเป็นที่รักนามว่า Pasitea ในยุคกลาง โพสิตาโนถูกผนวกเป็นเมืองท่าของสาธารณรัฐอะมัลฟี่ (Republic of Amalfi) และกลายเป็นชุมทางการค้าสำคัญระหว่างยุโรปและตะวันออกกลาง แม้จะผ่านการต่อสู้แย่งชิงจากชนชาติต่างๆ มากมาย โพสิตาโนในวันนี้ก็ยังรักษาเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างน่าชื่นชม

          อยู่กับโพสิตาโนจนเพลิน กว่าจะรู้ตัวและจับรถต่อมายังอะมัลฟี่ สถานีปลายทางก็เย็นย่ำไปแล้ว แต่กระนั้น อะมัลฟี่ก็ยังต้อนรับเราด้วยความคึกคัก จากท่ารถเดินเข้าไปนิดเดียวก็พบกับจัตุรัสใจกลางเมือง อันที่จริง เมืองอะมัลฟีนี้มีขนาดเล็กจนสามารถเดินทั่วได้ภายใน 20 นาที ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมียุคหนึ่งที่เมืองเล็กๆ เมืองนี้มีประชากรถึง 70,000 คน

          จากเดิมที่อยู่ใต้อาณัติของจักรวรรดิโรมันและเมืองเนเปิลส์ ในปีค.ศ. 839 อะมัลฟีประกาศเอกราชและกลายเป็นรัฐอิสระนามว่า ‘สาธารณรัฐอะมัลฟี่’ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชุมทางการค้าทางทะเลแห่งสำคัญของคาบสมุทรอิตาเลียน พ่อค้าจากอัฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง จักรวรรดิไบแซนไทน์ต่างหลั่งไหลมาที่นี่เพื่อเจรจาแลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เศรษฐกิจของรัฐอิสระแห่งนี้เฟื่องฟูจนกลายเป็นเป้าหมายของเหล่าโจรสลัดแห่งเมดิเตอร์เรเนียนที่มุ่งโจมตีและปล้นสะดม

          แม้อะมัลฟี่และเมืองอื่นๆ บนอะมัลฟี่ โคสต์จะสร้างหอคอยและป้อมปราการไว้มากมายเพื่อป้องกันการโจมตีโจรสลัดเหล่านี้ แต่เมื่อเจอบ่อยๆ เข้า ถึงจะแกร่งแค่ไหนก็ยากที่จะต้านทานได้ ท้ายที่สุดแล้วชาวเมืองอะมัลฟี่จำนวนมากก็ตัดสินใจลาจากเมืองแสนสวยแห่งนี้ไปตั้งรกรากยังประเทศอื่น แล้วการค้าก็เริ่มซาลงเมื่อเวลาผ่านไป จนกระทั่งเหล่านักท่องเที่ยวมาคนพบเมืองแห่งนี้อีกครั้งในอีกหลายร้อยปีถัดมา

          “ดูก่อนชาวอะมัลฟี่ พวกเจ้าไม่ต้องกลัวความตายไปหรอก เพราะพวกเจ้าได้อยู่ในสรวงสวรรค์แล้ว” ว่ากันว่าคำกล่าวที่จารึกอยู่บนแผ่นป้ายโบราณบนพื้นของเมืองอะมัลฟีกล่าวไว้ และเราก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนถึงกล่าวไว้เช่นนั้น ใครจะไปคิดล่ะว่าท่ามกลางหน้าผาอันสูงชันและท้องทะเลอันบ้าคลั่งจะมีเมืองเล็กๆ แสนสวยราวกับเทพนิยายแบบนี้อยู่ และอยู่อย่างนี้มาหลายศตวรรษแล้วด้วย! สงสัยจะต้องมนตร์ของเหล่าไซเรนอีกแล้วสินะเรา

 

Tags: , , ,