อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตประจำวัน ที่อาจบ่งบอกได้ถึงลักษณะนิสัยหรือสถานะของแต่ละบุคคล และบางที อาหารก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวในแง่มุมประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจได้ด้วย โดยเฉพาะอาหารของบุคคลมีชื่อเสียง อย่างเช่น มื้อสุดท้ายของเลดีไดอานา เมนูที่เสิร์ฟบนเรือไททานิกก่อนจมลงในมหาสมุทร ชาวปารีสกินอะไรในยามคับขันที่กองทัพปรัสเซียกำลังบุกโจมตีเมือง หรือแม้กระทั่งอาหารจานโปรดของบรรดาจอมเผด็จการของโลก…
ภาวะวิกฤติตอนปารีสปิดเมือง
อเล็กซองเดรอะ-เอเตียนน์ โชรอง (Alexandre-Etienne Choron) เชฟแห่ง ‘คาเฟ่ วัวแซง’ ภัตตาคารหรู แทบจะย้ายสวนสัตว์มาลงครัวบนถนนแซงโตโนเร เพื่อรับรองลูกค้าเกรดดีของร้านในค่ำวันที่ 25 ธันวาคม 1870 เรียกได้ว่าเป็นค่ำคืนแห่งวาระพิเศษ ต้อนรับการมาเยือนของกองทัพปรัสเซีย ที่กำลังเคลื่อนออกจากพอตส์ดัม (ใกล้เบอร์ลิน) มุ่งหน้าสู่ปารีส
เชฟเตรียมเมนู 6 คอร์สไว้ล่วงหน้า เริ่มกันตั้งแต่เมนูแรก คือซุปหัวลาและช้าง ตามด้วยเนื้ออูฐย่าง ซี่โครงหมีย่าง และเนื้อจิงโจ้ตุ๋นผัก เมนูถัดมาเสิร์ฟน่องสุนัขจิ้งจอก ละมั่งอบเห็ดทรัฟเฟิล และปิดท้ายด้วยจานเด็ด เนื้อแมวบนเตียงหนู ใครที่ยังไม่อิ่มเอมจะตบท้ายด้วยของหวานก็ได้ มีเค้กข้าวเสิร์ฟพร้อมแยม และชีสกรือแยร์
นับตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 1870 มหานครซึ่งมีประชากรนับล้านคนของฝรั่งเศสประกาศปิดเมือง ถัดจากนั้นอีกราวสองเดือน แทบไม่มีเนื้อสัตว์เหลือให้บริโภค ในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนั้น ชาวปารีสที่หิวโหยจำต้องกินทุกอย่างเท่าที่จะแสวงหาได้ อัลลิสแตร์ ฮอร์น (Allistair Horne) นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษเปิดเผยข้อมูลว่า ม้า 65,000 ตัว แมว 5,000 ตัว และสุนัข 1,200 ตัวถูกชำแหละเพื่อการบริโภคในระหว่างที่ปารีสปิดเมืองอยู่นาน 132 วัน
กระทั่งบรรดาสัตว์สี่ขาไม่เพียงพอที่จะให้บริโภคกันแล้ว สิ่งมีชีวิตทุกประเภทในสวนสัตว์จึงต้องถูกสังเวย เมนูตำรับพิสดารสำหรับช่วงเทศกาลคริสต์มาสปีนั้น เชฟโชรองต้องไปติดต่อขอซื้อจากสวนสัตว์ ‘จาร์แดง ดักคลีมาตาติออง’ ด้วยตนเอง ไม่ว่าลิง เสือ หรือฮิปโป รวมถึงช้างคู่ขวัญ-คาสตอร์ และพอลลักซ์ ทั้งหมดถูกชำแหละในวันที่ 29 และ 30 พฤศจิกายน เพื่อลำเลียงไปยังภัตตาคาร ‘คาเฟ่ วัวแซง’ สำหรับเทศกาลคริสต์มาส
มื้อสุดท้ายของชีวิต
อาหารการกินไม่ได้บอกลางหรือเหตุการณ์ล่วงหน้า แต่บางครั้งมันกลับเป็นเรื่องราวให้คนรุ่นหลังอ้างอิงหรือกล่าวถึง
อย่างเช่นเรื่องราวจากโศกนาฏกรรมของเรือในตำนาน – ค่ำคืนของวันที่ 14 เมษายน 1912 บนเรือไททานิก เชฟตระเตรียมเมนูพร้อมเสิร์ฟอาหารมื้อค่ำ เป็นหอยนางรมสด ไก่อบพร้อมสลัดเครส พายกับฟัวกราส์ และของหวานเป็นเอแคลร์ สำหรับแขกเหรื่อราว 2,200 คน และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ผู้โดยสารประมาณ 1,500 คนก็จมดิ่งลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติกไปพร้อมกับเรือ
ความอิ่มเอมและสุนทรีย์ในรสชาติคล้ายกัน ยังรวมถึงอาหารมื้อสุดท้ายของเลดี ไดอานา ที่นั่งร่วมโต๊ะกับโดดี อัล-ฟาเยด ในค่ำของวันที่ 31 สิงหาคม 1997 ที่ภัตตาคารของโรงแรมริตซ์ คาร์ลตัน ใจกลางกรุงปารีส มื้อนั้นมีเมนูปลาลิ้นหมา ผักเทมปุระ ออมเล็ตต์เห็ดและหน่อไม้ฝรั่ง หลังอาหารประมาณสองชั่วโมงทั้งสองก็ประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต
และอีกมื้อหนึ่งที่ไม่มีความเป็นความตายเข้ามาเกี่ยวข้อง เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 27 สิงหาคม 1965 ซึ่งเป็นวันที่สมาชิกวงเดอะ บีเทิลส์เดินทางไปพบเอลวิส เพรสลีย์ที่บ้านพัก บรรยากาศของการพบกันครั้งแรกของศิลปินใหญ่เริ่มจากความประดักประเดิดและเหินห่าง กระทั่งมีกีตาร์เข้ามาแทรก รวมถึงของกินเล่น ความสนิทสนมของพวกเขาจึงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น
ในวันนั้นไม่มีบันทึกการแจมกันด้านดนตรี จะมีก็แต่ข้อมูลจากปากคำของอดีตสาวใช้ภายในบ้านของเอลวิส ที่อย่างน้อยก็เฉลยให้ฟังว่า เอลวิสเลี้ยงแขกคนดังของเขาด้วยเมนู ไข่รัสเซีย (ลักษณะคล้ายไข่กระทะ ที่ไข่แดงไม่สุก) โรยชีส มีตบอล ตับไก่ และเนื้อปู
เมนูโปรดของจอมเผด็จการ
ผู้นำเผด็จการมีอำนาจในการชี้ขาดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ ชี้ขาดตัวบทกฎหมาย ชี้ขาดให้ใครเป็นหรือตาย และชี้ขาดว่าเมื่อไรควรทำสงคราม แต่บรรดาผู้นำเผด็จการทั้งหลายก็มีชีวิตที่ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป พวกเขาต้องนอน ต้องตาย ต้องขับถ่าย และต้องกิน
แล้วจอมเผด็จการคนไหนกินอะไรกันบ้าง?
โจเซฟ สตาลิน ปกครองสหภาพโซเวียตตลอดหลายปีด้วยกำปั้นเหล็ก การกิน-ดื่มของเขาเป็นที่เลื่องลือ บ่อยครั้งเขาใช้เวลาสำหรับบางมื้อนานถึง 5-6 ชั่วโมง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นับไม่ถ้วน เมนูโปรดของสตาลินคือ ‘ซัตซีวี’ หรือของเย็น เสิร์ฟกันแบบเย็นๆ ส่วนใหญ่เป็นเนื้อไก่ ราดซอสถั่ววอลนัตตำรับจอร์เจียน ที่ขาดไม่ได้คือหอมใหญ่และกระเทียมเยอะๆ
เบนิโต มุสโสลินี เป็นผู้นำเผด็จการคนหนึ่งที่ยืนยันว่าอาหารฝรั่งเศสไร้ค่า และอาหารอิตาเลียนดีที่สุดในโลก มุสโสลินีไม่ชอบกินเนื้อแต่ชอบกินผัก อย่างเช่นสลัดกระเทียม ซึ่งไม่เป็นที่ปลาบปลื้มของภรรยาสักเท่าไหร่ เพราะทำให้กลิ่นตัวของเขาอบอวลไปด้วยกระเทียม ส่วนเมนูโปรดของสมาชิกทั้งครอบครัวมุสโสลินี ได้แก่ ‘ไซแอมเบลโลเน’ ขนมอบรสหวานหน้าตาคล้ายโดนัท
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แสดงตัวเป็นคนกินมังสวิรัติบ่อยครั้ง แถมยังเคยสั่งห้ามจำหน่ายตับห่านทั่วเยอรมนี แต่จะกินผักเป็นจริงเป็นจังก็ไม่ใช่ เมนูโปรดของเขาคือ นกพิราบยัดไส้ลิ้น ตับ และถั่วพิสตาชิโอ เชฟคนหนึ่งรำลึกได้ว่า ฮิตเลอร์เคยบอก “ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า ‘เลเบอร์คะนอเดล’ (เกี๊ยวตับ) อีกแล้ว” อย่างไรก็ดี เผด็จการเยอรมันผู้นี้ได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการท้องผูกเรื้อรัง และต้องใช้ยาถึง 28 ตัวต่อวัน
ซัดดัม ฮุสเซน เติบโตขึ้นมาในย่านคนจน และตอนเป็นเด็กเคยขโมยไข่หรือไก่บ่อยครั้ง เขาจึงเป็นคนกินน้อย มักเหลืออาหารในจานเหมือนคนกินทิ้งกินขว้าง เมนูโปรดของฮุสเซนคือ ‘มาสกุฟ’ อาหารประจำชาติอิรักจากเนื้อปลา โดยเฉพาะปลาคาร์ฟ ทาด้วยมะขามเปียก ขมิ้น และเครื่องเทศอื่นๆ แล้วนำไปย่าง เมนูนี้แม้แต่ประธานาธิบดีฌากส์ ชีรัคของฝรั่งเศสเองถึงกับเอ่ยปากชม
มูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำลิเบีย เคยเรียกตนเองว่าเป็น ‘ราชาแห่งราชาของแอฟริกา และอิหม่ามของมุสลิมทั้งหมด’ นอกจากอาหารอิตาเลียนแล้ว เขายังชอบทุกเมนูที่ปรุงจากเนื้ออูฐ โดยเฉพาะสเต็กเนื้ออูฐกับคูสคูส (เมนูแป้ง) และนมอูฐเป็นเครื่องดื่มที่เขาโปรดปราน และเป็นต้นเหตุของปัญหาระบบการย่อยของเขาด้วยเช่นกัน
อิดี อามิน ผู้คิดค้นคำบัญญัติของตนเองว่า ‘ฯพณฯ ประธานาธิบดีเพื่อชีวิต จอมพลอัล ฮัจจิ ดอกเตอร์ อิดี อามิน ดาดา, วีซี, ดีเอสโอ, เอ็มซี, ราชาแห่งสัตว์ทุกชนิดบนโลก และปลาทุกชนิดในท้องทะเล ผู้พิชิตจักรวรรดิอังกฤษในแอฟริกาโดยทั่วไป และในอูกันดาโดยเฉพาะ’ จอมเผด็จการอามินกินส้มวันละ 40 ลูก และมีเมนูโปรดคือ ‘ลูวอมโบ’ เนื้อแพะย่าง คลุกถั่วบด หอมใหญ่ เห็ด และหัวปลี
โมบูตู เซเซ เซโก กอบโกยสมบัติชาติกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ระหว่างที่ครองตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งซาอีร์ตั้งแต่ปี 1965-1997 เขาเป็นที่มักคุ้นของคนทั่วไปด้วยหมวกลายเสือดาว อาหารที่เซโกชื่นชอบคือ หอยแมลงภู่
ฟิเดล คาสโตร เคยรอดชีวิตจากการถูกลอบสังหารบ่อยครั้งแบบที่ไม่เคยมีผู้นำที่ไหนในโลกนี้เคยประสบ ประธานาธิบดีของระบอบคอมมิวนิสต์ประเทศเดียวในซีกโลกฟากตะวันตกชอบที่จะปรุงอาหารด้วยตนเอง และยังชอบที่จะอบรมสั่งสอนเชฟในสังกัดของตนอีกด้วย เมนูโปรดของคาสโตรคือ ซุปเต่า
เหมาเจ๋อตุง กับนโยบายก้าวกระโดดไปข้างหน้าของเขา ทำให้ชาวจีนนับล้านคนพากันอดตาย ตราบถึงทุกวันนี้นโยบายทางการเมืองของเหมายังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่โดยความเห็นของชาวจีนทั่วไปแล้ว ยังมองว่าสิ่งที่เขาทำให้กับบ้านเมืองนั้นเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องเลวร้าย เรื่องอาหารของเขาก็เช่นกัน เป็นเรื่องอ่อนไหวไม่แพ้การเมือง และเขาจะเลือกกินเฉพาะสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น เมนูโปรดของประธานเหมาคือ หมูสามชั้นตำรับหูหนาน ที่เขาชอบกินกับข้าวสวยร้อนๆ
คิมจองอิล ผู้นำเผด็จการอันดับสองของเกาหลีเหนือ แม้ประชาชนต้องเผชิญกับวิกฤติความหิวโหย แต่ตัวเขาเองนั้นชื่นชอบอาหารสารพัดจากทั่วโลก ตั้งแต่เนื้อหมูจากเดนมาร์ก ไข่ปลาคาเวียร์จากอิหร่าน มะม่วงจากไทย โยเกิร์ตจากสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนเมนูโปรดของเขาคือ ซุปหูฉลาม นอกจากนั้นเขายังเป็นลูกค้าแถวหน้าของเฮนเนสซี คอนญักอีกด้วย
อ้างอิง:
- Tobias Roth/Moritz Rauchhaus, Wohl bekam’s!: In Hundert Menus durch die Weltgeschichte, Verlag Das Kulturelle Gedächtnis (2018)
- Victoria Clark/Melissa Scott, Dictators’ Dinners: A Bad Taste Guide to Entertaining Tyrants, Gilgamesh Publishing (2017)
Tags: dictator, Something Between, Food