‘มาลากา’ เมืองท่าแห่งสเปนใต้ สัมผัสวิถีชีวิตผู้คนในแคว้นอันดาลูเซีย

การปักหมุดเที่ยวสเปน คนอาจถึงถึงเมืองใหญ่อย่างบาร์เซโลน่าหรือมาดริด มากกว่าที่จะเป็นเมืองทางใต้ของสเปนอย่าง ‘มาลากา’ เราวางแผนทริปนี้ ด้วยการบินลงที่มาลากาก่อนจะต่อไปบาร์เซโลน่า

สำหรับการเดินทางแบบไปกลับจากต่างเมืองกัน (Multi-City) สายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ โดดเด่นเรื่องตั๋วแบบ Multi-City เน้นเที่ยวได้หลายๆ เมืองในทริปเดียว ทำให้คุ้มค่ากับการเดินทาง ช่วยประหยัดเวลา และได้เที่ยวมากกว่าเดิม

ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สายการบินกาต้าร์ แอร์เวย์ มีเส้นทางจากโดฮาไปมาลากาโดยตรง เราจึงได้ไปแวะมาลากาก่อนจุดหมายปลายทางสุดท้ายจะเป็นบาร์เซโลน่า ซึ่งการไปครั้งนี้จาก กรุงเทพฯ – โดฮา และโดฮา – มาลากา เรานั่ง Business Class ของกาต้าร์ แอร์เวย์ เป็นครั้งแรก แน่นอนว่าเราประทับใจหลายอย่าง นอกจากที่นั่งจะกว้างขวางแล้ว ยังปรับนอนได้เกือบจะ 180 องศา เราชอบตรงมีชุดนอนจาก The White Company ให้เปลี่ยนระหว่างทริป พร้อมชุดอุปกรณ์จาก Bric แบรนด์ดังจากอิตาลี และลิสต์เมนูของกินที่แอร์โฮสเตสจะมาเราให้เลือกก่อน และอยากจะให้เสิร์ฟเวลาไหนก็บอกได้เลย

มาลากา คือบ้านเกิดปิกัสโซ

มาลากาเป็นจังหวัดหนึ่งในแคว้นอันดาลูเซียทางตอนใต้ของประเทศสเปน ค่อนข้างเป็นเมืองใหญ่และมีความสำคัญในเชิงธุรกิจพอสมควร เนื่องจากมีท่าเรือพาณิชย์ เป็นที่จอดเรือเดินสมุทรและเรือยอร์ชสำหรับนักท่องเที่ยว

น้อยคนจะรู้ว่ามาลากาเป็นบ้านเกิดของปิกัสโซ จิตรกรเอกของโลก ส่วนหนึ่งเพราะว่าแม้ปิกัสโซจะเกิดและเติบโตที่นี่ แต่ก็ย้ายไปทำงานที่อื่นจนมีผลงานอันโด่งดัง ในตัวเมืองมาลากามีจตุรัสปิกัสโซ่พร้อมรูปปั้นจิตรกรเอกรายนี้ตั้งอยู่ ในบริเวณรอบๆ ก็มีพิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ และบ้านที่เขาเคยอาศัยพร้อมเก็บผลงานชิ้นแรกๆ ที่สำคัญเอาไว้

ตามประวัติศาสตร์ มาลากาถือเป็นเมืองเก่าแก่เมืองหนึ่งของโลก ถูกค้นพบโดยชาวฟินิเซียน (Phoenicians) ต่อมาก็ถูกโรมันเข้าครอบครอง หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ก็ทำให้มาลากาตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาวมุสลิมมัวร์ ก่อนจะกลับสู่การครอบครองของอาณาจักรคริสเตียนอีกครั้งหนึ่ง ทำให้สถาปัตยกรรมต่างๆ อาคารบ้านเรือน โบสถ์และวิหาร มีความหลากหลายผสมกันทั้งแบบโรมัน แขก และคริสต์

มหาวิหารมาลากา (The Cathedral of Málaga)

ปราสาท ‘อัลคาซาบา’ (Alcazaba)

ถ้าถามว่าอะไรคือแลนมาร์กของเมืองมาลากา ก็ต้องเป็น ปราสาท ‘อัลคาซาบา’ (Alcazaba) ตั้งอยู่บนเนินเขา Gibralfaro ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระราชวังของชาวมัวร์ในสมัยศตวรรษที่ 11 ที่สร้างซ้อนทับป้อมปราการเก่าแก่จากยุคโรมัน ปัจจุบันถือเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นมาชมวิวเมืองมาลากาในช่วงพระอาทิตย์ตกเย็น

เสน่ห์ของเมืองมาลากาอย่างหนึ่งที่เราสัมผัสได้คือวิถีชีวิตที่ไม่ได้รีบเร่งหรือพลุกพล่านมากนัก กิจกรรมที่คนนิยมทำกันคือเดินเล่นรอบเมือง ดูโบสถ์และวิหารที่มีความงดงามทางสถาปัตยกรมแบบเรอเนซองส์และบาโรกที่ผสมกันอยู่ โดยเฉพาะ มหาวิหารมาลากา (The Cathedral of Málaga) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเป็นแหล่งถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว ตกเย็นก็หาคาเฟ่หรือร้านอาหารนั่งชิลๆ

รอนดา เมืองแห่งหน้าผาและแหล่งกำเนิดการต่อสู้วัวกระทิง

นอกจากตัวเมืองมาลากาแล้ว เรายังมีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ รอนดา (Ronda) ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองมาลากาแค่ 1 ชั่วโมงกว่าๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยไร่มะกอก เหตุผลคือมะกอกเป็นสินค้าสำคัญอย่างหนึ่งของมาลากาและสเปนตอนใต้  

รอนดา เมืองที่เราไม่คุ้นชื่อ แต่กลับชอบมากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะในวันที่เราไปรอนดามีสภาพอากาศที่เย็นสบาย เนื่องจากภูมิประเทศอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,640 เมตร ทำให้อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี

สะพาน ปูเอนเต นูโว (Puente Nuevo)

ไฮไลต์ของเมืองรอนด้าคือสะพาน ปูเอนเต นูโว (Puente Nuevo) ซึ่งเป็นสถานที่เชื่อมระหว่างเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า The New Bridge สร้างในศวรรษที่ 18 เดิมทีสะพานแห่งนี้สร้างใหม่หลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แต่พอสร้างไปได้ไม่นาน ยังไม่ทันเปิดใช้ก็เกิดพังลง จนต้องสร้างใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ช่วงเวลาที่งดงามของสะพาน ปูเอนเต นูโว ต้องในตอนเย็นพระอาทิตย์กำลังตกจะสาดแสงสีเหลืองทองพาดผ่านสะพานและอาคารบ้านเรือนโดยรอบ พร้อมกับมองเห็นวิวรอนดาที่เต็มไปด้วยภูเขาเขียวขจี ช่างเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกไม่น้อย

สนามต่อสู้วัวกระทิง Plaza De Toros

ที่เมืองรอนดานี้เองที่เป็นต้นกำเนิดของการสู้วัวกระทิง ในบริเวณไม่ไกลกัน มีอนุเสาวรีย์วัวกระทิง เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมือง และสนามต่อสู้วัวกระทิงที่ชื่อ Plaza De Toros ซึ่งเป็นสนามต่อสู้วัวกระทิงเก่าแก่และใหญ่มากที่สุดแห่งหนึ่งในสเปน เป็นอาคารรูปวงแหวนสไตล์นีโอคลาสสิก ก่อสร้างโดยสถาปนิกที่ชื่อ José Martin de Aldehuela

มาร์เบลลา เมืองตากอากาศยอดนิยม

มาลากาไม่ได้มีแค่เมืองท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีบางส่วนที่มีสภาพเป็นเมืองชายทะเลหรือเมืองตากอากาศ เช่นที่ มาร์เบลลา (Marbella) บริเวณชายฝั่ง Costa del Sol ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่นี่เป็นสถานตากอากาศยอดนิยมของคนมีเงิน สังเกตง่ายๆ เฉพาะตรง Nueva Andalucia ซึ่งเป็นท่าจอดเรือยอชท์ที่มีเรือหรูมาจอดรับร้อยลำ รอบๆ เต็มไปด้วยร้านค้าขายของแบรนด์เนม

จัตุรัสส้ม (Orange Square)

ท่าจอดเรือยอชท์ Nueva Andalucia

เมืองมาร์เบลลามีความน่ารัก อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่คุมโทนสีขาวล้วน ประดับตกแต่งด้วยต้นไม้ดอกไม้หลากสีสัน ตามตรอกซอกซอยมีร้านค้าเล็กๆ งานทำมือพวกเครื่องประดับ จานชามสวยๆ ตามสไตล์ยุโรปมีให้เลือกซื้อ ส่วนไฮไลต์คือ จัตุรัสส้ม (Orange Square) ใจกลางตัวเมืองที่นอกจากจะมีต้นส้มแล้ว ยังมีรูปปั้นของพระเจ้าฆวนคาร์ลอสที่ 1 (Juan Carlos 1) อยู่ด้วย

แอนติเครา เมืองเล็กๆ ที่มีสุสานหินปูน และผจญภัยเส้นทางริมผาที่อาร์ดาเลส

สองเมืองเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลกัน ยังมีเมืองแอนติเครา (Antequera) เมืองเงียบสงบที่คุมโทนบ้านเรือนด้วยสีขาวและสีส้ม ความน่ารักของเมืองนี้หากได้เดินสำรวจจะเห็นว่า ตามบ้านเรือนมักตกแต่งทางเดินเข้าด้วยกระเบื้องเซรามิก ขณะที่มีโบสถ์ Real Colegiata de Santa María la Mayor ที่สวยงามและถือเป็นจุดท่องเที่ยว ถ้านั่งรถออกไปนอกเมืองก็มีสุสานหินปูน El Torcal de Antequera ที่เป็นการทับถมของหินปูนนับร้อยล้าน ทำให้มีรูปทรงแปลกตา และสามารถพบร่องรอยของสัตว์โบราณที่เคยอาศัยอยู่บริเวณนี้

สุสานหินปูน El Torcal de Antequera

โบสถ์ Real Colegiata de Santa María la Mayor

นอกจากที่แอนติเครา เรายังมีโอกาสได้ไป El Caminito del Rey ซึ่งอยู่ในเมืองอาร์ดาเลส (Ardales) ครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามให้เป็น เส้นทางเดินที่อันตรายที่สุดในโลก เพราะเดิมที่เป็นสะพานไม้ลัดเลาะ เป็นทางเดินให้คนงานเดินไปสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ

El Caminito del Rey

และนับตั้งแต่เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ก็มักมีคนชอบความท้าทายมาเดินบนสะพานไม้เก่าแก่อายุเกินร้อยปีนี้ และว่ากันว่ามีคนเคยตกผาเสียชีวิตมาแล้ว จนต้องปิดทำการเพื่อสร้างทางเดินใหม่ที่แข็งแรงและปลอดภัยกว่า ซึ่งใช้เวลาสร้างนานถึง 15 ปีกว่าจะเปิดให้เที่ยวอย่างในปัจจุบัน ใครที่ชอบผจญภัยรับรองว่าคุ้มแม้จะต้องเดินหลายกิโลก็ตาม แต่ประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นที่ได้เดินลัดเลาะริมหน้าผาก็อาจจะหาจากที่ไหนไม่ได้