“ไปจอร์เจียกันไหมหม่าม้า”
“ไม่เอาอ่ะ ดูน่ากลัว ว่าแต่… มันอยู่ตรงไหนหรอ?”
เราชวนแม่ไปเที่ยวจอร์เจีย ซึ่งเราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลก
ปัญหาต่อมาที่เราพบคือ เมื่อถามไปทางกลุ่มที่จะไปว่า
“เอาแม่ไปได้ไหมคะ”
“ได้เลยค่ะ หากอายุไม่เกิน 65 ปีนะคะ”
“67 แล้วแต่แข็งแรงมากค่ะ”
น้องที่รับเรื่องหายไป 2 วันค่อยได้คำตอบว่าโอเค(ก็ได้ค่ะ)
กรุงท
จอร์เจีย เป็นประเทศโบราณ ที่ฝังตัวอยู่ในเทือกเขาคอเคซัส (Greater Caucasus Mountain Range) ทุกสิ่งโบราณ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ ถ้ำ ถนน สะพาน ผู้คน การแต่งกาย อาหาร ขนม ม้า ลา หมา ล้วนดูโบราณไปหมด หากนับเป็นอายุก็มีตั้งแต่โบสถ์พันปี ถ้ำพันปีไปยันที่อยู่มนุษย์ห้าพันปีก่อน
เราไปเที่ยวโบสถ์หลากหลายที่มาก หน้าตาคล้ายๆกัน ต่างกันตรง เก่ามาก เก่าน้อย บางแห่งอายุมากแต่ได้รับการบูรณะแล้วก็ดูไม่เก่าเท่าไร ที่น่าทึ่งมากคือ การเอาหินที่สกัดเป็นก้อนๆ แล้ว มาตั้งไว้เป็นผนังกำแพงทนร้อน ทนหนาวนับพันปี ซึ่งก็มีสึกกร่อน ถล่มทลายไปบ้าง แต่โครงสร้างหลักยังอยู่ครบถ้วน ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาคงไม่เชื่อว่ามันจะแข็งแรงทนทาน ยืนหยัดอดทนมาได้ จนกระทั่งให้คนสมัยนี้ได้ยืนมองอ้าปากค้าง และทึ่งในความสามารถของคนยุคก่อน ที่ยังไม่รู้จักคำว่า ‘เทคโนโลยี’ ด้วยซ้ำไป
ก่อนมาได้บังเอิญไปอ่านอยู่เรื่องหนึ่ง คือเสาศักดิ์สิทธิ์ในโบสถ์สเวทิสโคเวลี (Svetitskhoveli Cathedral) แห่งเมืองมิสเคต้า (Mtskheta) เมืองที่มีบันทึกไว้ว่าเก่าแก่ที่สุดในประเทศจอร์เจีย เรื่องราวมีอยู่ว่า หญิงสาวชื่อ ซิโดเนีย (Sidonia) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักบุญหญิง ในภายหลังเธอบังเอิญได้จับผ้าห่อศพของพระเยซู แต่จับแล้วเธอสิ้นใจทันที โดยที่มือยังกำผ้าอยู่และไม่สามารถแกะออกได้ จึงฝังร่างของเธอไปพร้อมผ้าไว้ที่โบสถ์แห่งนี้ แล้วมีการใช้ไม้ Cedar ทำเป็นอนุสรณ์ไว้ ว่ากันว่าสมัยโบราณอนุสรณ์ไม้ท่อนนี้ลอยได้และมียางไม้ไหลออกมาตลอดเวลา ซึ่งมีชาวบ้านเอายางไม้นี้ไปใช้รักษาโรคและหายด้วย เลยอยากไปเห็นกับตา ซึ่งเวลาผ่านมาสองพันปีเศษ อนุสรณ์ไม้แท่งนั้นยังตั้งอยู่ที่เดิม สภาพรอยยางไม้ยังมีให้เห็นโดยรอบ เพียงแต่ไม่ลอยจากพื้นให้เห็นแล้ว สัมผัสลึกๆ ของเราเชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ยังคงอบอวลอยู่อย่างมากมายภายในโบสถ์นี้ เพียงแต่ความศรัทธาของคนในปัจจุบัน ลดน้อยลงไปมากจนเรามองไม่เห็นสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านั้นอีก โดยโบสถ์แห่งนี้เริ่มสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 4 (ราว สองพันปีก่อน) แต่มีการสร้างเพิ่มเติม ปรับปรุงและบูรณะหลายครั้งในเวลาถัดมา
ชาวจอร์เจียนั่งอยู่บริเวณหน้ามหาวิหารจวารี (Jvari Monastery)
ในเมืองมิสเคต้า ยังมีโบราณสถานเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งคือ มหาวิหารจวารี (Jvari Monastery) สร้างเสร็จในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ในอดีตเคยมีไม้กางเขนขนาดใหญ่ที่นักบุญนีโน่ (Saint Nino) นำมาวางไว้และเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆ (ปัจจุบันไม้กางเขนในมหาวิหารไม่ใช่ของเก่าแต่ดั้งเดิม มีเพียงฐานหินที่ตั้งอยู่ ยังเป็นของเก่าแต่ดั้งเดิม)
โบสถ์เกอเกติ (Gergeti Trinity Church)
ส่วนอีกโบสถ์ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันคือ โบสถ์เกอเกติ (Gergeti Trinity Church) หรือ โบสถ์สมินดา ซาเมบา (Tsminda Sameba Cathedral)ในภาษาจอร์เจียน ตั้งอยู่บนยอดเขาคาสเบก (Mt.Kazbek) หนึ่งในภูเขาบนเทือกเขาคอเคซัส ที่รูปภาพของโบสถ์นี้เกือบจะเป็นสัญลักษณ์ประเทศจอร์เจียไปแล้ว สร้างสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 (ราวๆ หกร้อยกว่าปีก่อน) ซึ่งการเดินทางนั้นต้องนั่งรถตู้ขนาดเล็กที่สามารถทนแรงกระแทกได้พอสมควร ทางขึ้นค่อนข้างลำบาก รถเขย่าจนคนนั่งด้านหลังแทบจะรวมตัวกันเป็นก้อนได้ เลยนึกได้ว่าทำไมทางกรุ๊ปจึงต้องจำกัดอายุผู้เดินทาง เพราะผู้ใหญ่ที่ทนแรงเขย่าได้ขนาดนี้ ต้องชอบและสนุกไปกับการเดินทางแบบผจญภัยจริงๆ
วิวบนยอดเขาคาสเบก (Mt.Kazbek) หนึ่งในภูเขาบนเทือกเขาคอเคซัส
เมื่อขึ้นถึงบริเวณยอดเขาแล้ว เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ล้วนหามุมเพื่อเก็บภาพสวยๆของโบสถ์นี้ ซึ่งจุดที่ตั้งของโบสถ์บวกกับวิวโดยรอบ ล้วนเอื้ออำนวยให้จุดนี้สมควรแก่การมาถ่ายภาพเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนตัวแล้ว จุดที่สวยและเหมาะกับการถ่ายภาพคือจุดที่ห่างออกไปราว 500 เมตร บนเนินเขาก่อนที่จะเดินไปถึงตัวโบสถ์ ได้ทั้งภาพพาโนรามาและภาพพอร์ทเทรตหลังละลาย สวยมากจริงๆ !!!
ประติมากรรม อาลี แอนด์ นีโน่ (Ali and Nino Statue)
ในส่วนของ ศิลปะยุคปัจจุบันที่มีชื่อเสียงมากคือ ประติมากรรม อาลี แอนด์ นีโน่ (Ali and Nino Statue) จริงๆ ก็เป็นเรื่องเล่ากึ่งนิยาย เกี่ยวกับความรักกันระหว่างสองชาติและต่างฐานันดร คือชายมุสลิมชาวอาเซอร์ไบจานกับเจ้าหญิงของจอร์เจียที่เป็นออโธดอกซ์ ในยุคสงครามสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 เลยมีคนทำปประติมากรรมโลหะเป็นรูปคนสองคนที่เคลื่อนไหวได้ เคลื่อนที่แยกจากกัน และมารวมร่างกัน
ส่วนวิวตลอดการเดินทาง หลักๆ คือเทือกเขาคอเคซัสที่เห็นได้ตั้งแต่บนเครื่องบิน (ถ้าคุณไม่หลับและนั่งฝั่งซ้ายของเครื่อง) มันยิ่งใหญ่และสวยงามมาก หวังไว้ว่าชีวิตนี้ จะมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศในทุกด้านของเทือกเขานี้
ทริปนี้เป็นการท่องเที่ยวที่ถ่ายรูปได้สนุกมาก ได้ทั้งภาพวิวสวยๆ ภาพพอร์ทเทรตที่มีฉากหลังอลังการมาก โบราณสถานที่น่าตื่นตาและตื่นใจในเรื่องราวต่างๆ และสุดท้าย สิ่งที่ดีที่สุดและยังคงเป็นจุดประสงค์หลักในการเดินทางของเรา นั่นคือ
‘รอยยิ้มของแม่’ แม่สนุก แม่หัวเราะ แค่นี้ก็เป็นสุขใจแล้ว จริงไหม
จบ…
ประเทศจอร์เจีย
ตุลาคม 2018
บันทึกภาพโดย Olympus Pen F (17mm f1.8, 45mm f1.8)
Fact Box
- คนไทยสามารถมาท่องเที่ยวที่ประเทศจอร์เจียได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้ไม่เกิน 365 วันรวมถึงประเทศที่ติดกันอย่าง รัสเซีย อยู่ได้ 30 วันและประเทศตุรกี อยู่ได้ 30 วันเช่นกัน สามารถวางแผนเดินทางมาทั้ง 3 ประเทศนี้พร้อมกันได้อย่างสบายๆ
- จากประเทศไทยไม่มีสายการบินตรงไปประเทศจอร์เจีย ต้องต่อเครื่องที่ประเทศใกล้เคียงเช่น ตุรกี หรือรัสเซีย โดยรวมแล้วใช้เวลาประมาณ 12-14 ชั่วโมง