เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT ออกหนังสือแจงมติที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. กรณีการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) หรือ ‘King Power’ ในท่าอากาศยานที่ ทอท.รับผิดชอบ
โดยมติของคณะกรรมการ ทอท.เห็นควรให้ดำเนิน ‘แก้ไขสัญญา’ แทนที่จะยกเลิกสัญญา เนื่องจากมองว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด ต่างจากการยกเลิกสัญญา ซึ่งจะทำให้ ทอท.ขาดรายได้จากค่าผลประโยชน์ตอบแทนจนกว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 14 เดือน
รวมทั้งผู้ประกอบการรายใหม่อาจไม่สามารถให้ค่าผลประโยชน์ตอบแทนกับ ทอท.ได้เทียบเท่าหรือสูงกว่าผู้ประกอบการรายปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินแก้ไขสัญญาของ King Power ทอท.จะยังคงเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
-
การเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee: MG) โดย ทอท.จะยังคงได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (MG) และค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำมีอัตราเติบโตร้อยละ 5 ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตของ GDP ประเทศ
-
ส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ที่ร้อยละ 20
-
ค่าผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่ม (Upside) หากเข้าเงื่อนไขที่กำหนด
สำหรับจุดเริ่มต้นของการแก้ไขสัญญาครั้งนี้ระหว่าง ทอท.และ KPD เริ่มต้นขึ้นเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่ KPD ยื่นหนังสือขอยกเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี เนื่องจากประสบกับภาวะทางการเงินจากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ลดลง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงและอ้อมต่อ KPD
ทั้งนี้จากการศึกษาแนวทางให้แก้ไขสัญญา ทอท.คำนึงถึงปัจจัยด้านต่างๆ เช่น ความต่อเนื่องของธุรกิจ โดย ทอท.จะยังคงให้บริการผู้โดยสารได้อย่างต่อเนื่อง เพราะ ทอท.จะไม่ต้องไปหาผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งต้องใช้ทั้งงบประมาณและเวลา อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนจากการหาผู้ประกอบการรายใหม่มาทดแทนได้
ด้านรายได้ กล่าวคือ การดำเนินแก้ไขสัญญา ทอท.จะยังคงได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างต่อเนื่อง ไม่มีช่วงเวลาที่รายได้ รวมทั้งการแก้ไขสัญญาจะทำให้ผลตอบแทนทางการเงินสูงกว่าผลตอบแทนต่ำกรณีหาผู้ประกอบการรายใหม่ และไม่ต่ำกว่าผู้ยื่นข้อเสนอลำดับที่ 2 ที่ยื่นประมูลครั้งก่อนหน้า
อีกทั้งยังเป็นการลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ เพราะหากมีการยกเลิกสัญญาระหว่าง ทอท.และ KPD จะกระทบต่อการจ้างงานของผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง
โดยรายละเอียดการแก้ไขสำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.ยังคงเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อหัว (MG) ตามหลักการเรียกเก็บตามจำนวนผู้โดยสารเดิม โดยเก็บเป็นรายปี เทียบเท่า 232.90 บาทต่อคน และมีการเติบโตในอัตราร้อยละ 5 ต่อปีอย่างต่อเนื่อง
ทอท.ยังได้เจรจาให้ส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) ส่วนเพิ่มอีกร้อยละ 35 ของมูลค่าซื้อต่อผู้โดยสาร (Spending per Head) ส่วนเกิน แสดงให้เห็นว่า ทอท.มีโอกาสในการมีรายได้เพิ่มเติมในกรณีที่สถานการณ์อุตสาหกรรมการบินปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมากกว่าสัญญาเดิมที่เรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ตลอดอายุสัญญาที่ร้อยละ 20
นอกจากนั้น ในการเปลี่ยนแปลงสัญญาสำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.ยัง ‘ขยายอายุสัญญา’ ออกไปอีก 2 ปี สอดคล้องกับแผนการพัฒนาอาคารผู้โดยสารทิศใต้ (South Terminal) ที่คาดว่าแล้วเสร็จในปี 2575 การขยายอายุสัญญานั้นจะครอบคลุมช่วงที่ต้องปิดซ่อมแซมอาคารผู้โดยสารหลังเดิม ซึ่งเป็นพื้นที่ผู้ประกอบการ KPD ดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน ระหว่างปี 2575-2578 ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวคาดว่า จะไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่สนใจเข้าร่วมประมูล
“การขยายอายุสัญญาจึงมีความจำเป็นเพื่อให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในระหว่างการทยอยปิดซ่อมแซมอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบันได้อย่างราบรื่น” เอกสารของ ทอท.ระบุ
ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ทอท.จะยังคงเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อตารางเมตร (39,187.76 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน) และเรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ที่ร้อยละ 20 ตามสัญญาเดิม ทั้งนี้หากอัตราการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสารกลับมาเกินร้อยละ 100 ทอท.จะกลับไปใช้อัตราค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อตารางเมตรตามที่ตกลงไว้ก่อนหน้า
ขณะที่ประเด็นการขยายอายุสัญญาของท่าอากาศยานดอนเมือง เนื่องจากตามแผนพัฒนาท่าอากาศยาน ผู้ประกอบการปัจจุบันมีความจำเป็นต้องย้ายไปให้บริการที่อาคารผู้โดยสาร 3 และรื้อถอนการลงทุนในอาคารผู้โดยสารเดิมออก จากการศึกษาพบว่า หากมีการลงทุนในพื้นที่ใหม่สำหรัธุรกิจสินค้าปลอดอากร จะมีระยะเวลาการประกอบกิจการที่เหมาะสมจากการลงทุนใหม่นั้นประมาณ 5 ปี
ดังนั้น การขยายระยะเวลาของสัญญาที่เหมาะสมและสร้างแรงจูงใจในการย้ายอาคารผู้โดยสารคือ 5 ปี (นับรวมอายุสัญญาคงเหลือ) กล่าวคือ หากระยะเวลาจากสัญญาเดิมเหลือ 3 ปีในวันที่อาคารผู้โดยสาร 3 แล้วเสร็จ ระยะเวลาที่เหมาะสมในการขยายอายุสัญญาอยู่ที่ 2 ปี
อย่างไรก็ตาม หากการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร 3 ล่าช้าออกไปจนทำให้สัญญาประกอบกิจการคงเหลืออายุสัญญาไม่ถึง 1 ปี ณ วันเปิดอาคารผู้โดยสาร 3 อย่างเป็นทางการ ทอท.ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณายกเลิกสัญญาของ KPD ปัจจุบัน เพื่อเปิดประมูลใหม่
ส่วนท่าอากาศยานภูเก็ต, ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ทอท.จะยังคงเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (MG) ตามหลักการเรียกเก็บตามจำนวนผู้โดยสารเช่นเดิม โดยเก็บเป็นรายปี (129.67 บาทต่อคน เติบโตอัตราร้อยละ 5 ทุกปีต่อเนื่อง) และยังได้เจรจาส่วนแบ่งรายได้ส่วนเพิ่มอีกร้อยละ 35 ของมูลค่าซื้อต่อผู้โดยส่วนเกิน
ทั้งนี้ในวันเดียวกัน คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราค่าบริการผู้โดยสาร (Passenger Service Charges: PSC) สำหรับผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ในท่าอากาศยาน ภายใต้การดูแลของ ทอท. จากเดิมที่ 730 บาทต่อคน เพิ่มเป็น 1,120 บาทต่อคน ขณะที่เส้นทางภายในประเทศยังคงอัตราเดิม 130 บาท
โดย ทอท.ประเมินว่า จะมีผู้โดยสารระหว่างประเทศประมาณ 35 ล้านคนต่อปี การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมจาก 730 บาท มาเป็น 1,120 บาท จะทำให้ ทอท.มีรายได้เพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถนำมาลงทุนปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ ตลอดจนขยายขีดความสามารถก เช่น โครงการ South Terminal โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณของประเทศได้
ทั้งนี้มติดังกล่าวของ กบร.จะถูกนำเสนอให้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมลงนามภายในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะมีผลปรับขึ้นในวันที่ 1 เมษายน 2569




