“ที่ไลฟ์ก็คือว่า ผมติดต่อเจ้าหน้าที่ไม่ได้จริงๆ ผมเลยไลฟ์ ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ผมไม่เคยไลฟ์ในเรื่องนี้ แต่ว่าวันนี้ผมไม่มีทางจะไป ผมตันแล้ว (หันกล้องไปยังน้ำท่วม) เพื่อนๆ ดูได้ว่าจริงไหม ผมตันหมดไม่มีทางไปเลย น้ำจมหัวผม ผมไม่มีแรงจะไปต่อ”

เสียงนี้เป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ของคำร้องขอความช่วยเหลือในโลกออนไลน์ เพราะยังมีอีกจำนวนมากที่ต้องไลฟ์ โพสต์หาเจ้าหน้าที่ โทรหาหน่วยงาน หรือเฝ้ารอการเข้าถึงความช่วยเหลือจากในบ้านของตัวเอง

เมื่อประมวลภาพทั้งหมดที่ปรากฏ เราเชื่อได้ว่า คนหาดใหญ่ได้ช่วยเหลือตัวเองอย่างมากที่สุดจริงๆ ทั้งคลิปการร้องขอความช่วยเหลือ ภาพผู้ประสบภัยนอนรอบนหลังคา หรือแม้แต่การไต่ไปตามสายไฟฟ้า-สายสัญญาณเครือข่ายเพื่อหนีน้ำท่วมที่สูงขึ้นทุกนาที 

การช่วยเหลือตัวเองอย่างหมดหน้าตัก ใช้ทุกสรรพกำลัง และทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเพื่อเอาชีวิต นั่นไม่ใช่เพียงเพราะทุกคนอยากรอดพ้นจากน้ำท่วมเท่านั้น แต่มากกว่าเหตุผลที่ว่าคือ พึ่งพา ‘รัฐ’ ไม่ได้ หรือแม้แต่จะเชื่อใจก็ยังไม่ได้อีกเช่นกัน

จากการสำรวจ ณ วันที่ 25 พฤศจิกาคม 2568 พบว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบรวม 115 ตำบล ครอบคลุม 16 อำเภอ 823 หมู่บ้าน 200 ชุมชน รวม 270,906 ครัวเรือน โดยมีประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกว่า 697,231 ราย ต้องอพยพ 1,228 ราย และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะโทษใคร หากโทษว่าเพราะประชาชนไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ คงเป็นการมองปัญหาที่ตื้นเขินนัก

The Momentum ชวนถอดบทเรียนน้ำท่วมครั้งที่ 999 เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยต้องเผชิญภัยพิบัติ และยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่แม้แต่ ‘ครั้งแรกของปี’ 

ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเจอน้ำท่วมวนซ้ำไม่รู้จบ จากเหนือถึงอีสาน ภาคกลางแล้วลงใต้ ที่เรียกได้ว่าน้ำท่วมแทบทุกภาค แต่เรากลับรับมือกับภัยพิบัตินี้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ระบบเตือนภัยผูกกับส่วนกลาง 

ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ รองศาสตราจารย์เสรี ศุภราทิตย์ โดย Thai PBS รองประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระบุว่า “ผมได้รับข้อมูลมาว่า ยังไม่สามารถขึ้นธงแดงได้ ต้องมีการประชุมก่อน นายกเทศมนตรีอยากให้ขึ้นธงแดง แต่ผู้บริหารยังไม่อยากให้ทำ อาจเกี่ยวข้องกับบางเรื่อง เช่น นักท่องเที่ยวด้วยหรือเปล่า ต้องไปดูว่าเพราะอะไร ทำไมถึงเตือนประชาชนได้แค่ในระดับท้องถิ่น แต่ส่วนกลางเตือนตั้งแต่ 20 พฤศจิกายนแล้ว”

สอดคล้องกับที่ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ ออกมาโพสต์สเตเตัสใน Facebook ส่วนตัวว่า น้ำท่วมหาดใหญ่คราวนี้ เสียงสะท้อนออกมาตรงกันว่า ‘ระบบเตือนภัยมีปัญหา’ ฝนตกหนักระดับ ‘Rain Bomb’ ในพื้นที่หาดใหญ่และหลายจังหวัดในภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 19-22 พฤศจิกายน ปริมาณน้ำฝนสะสม 3 วัน วัดได้ 595 มิลลิเมตร มากกว่าปี 2553 (516 มิลลิเมตร) ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ ซึ่งเสียหายนับหมื่นล้านบาทมาแล้ว

“แต่ในวันที่ 20 พฤศจิกายน หรือ 48 ชั่วโมงก่อนเกิดสาธารณภัยน้ำท่วม ทางศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยเทศบาลนครหาดใหญ่ ที่มีนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่เป็นผู้อำนวยการ ยังเพิ่งออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 2 และแจ้งว่าอยู่ในสภาวะปกติ ธงเขียว”

นอกจากนี้ หลายคนวิเคราะห์แล้วว่า ประเทศไทยมีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) แต่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่ฝนเริ่มตกวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แทบไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ หรือพยากรณ์อากาศล่วงหน้า แต่กลับไม่มีการคำนวณว่าปริมาณฝนที่จะไหลเข้าเมืองหาดใหญ่ระดับนี้ จะทำให้เกิดน้ำท่วม หรือเกิดความเสียหายเท่าไร จึงส่งผลให้หลายภาคส่วนประมวลผลกระทบต่ำกว่าที่เป็นจริง และทำให้ประชาชนตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างไม่เหมาะสม

Cell Broadcast มีจริง แต่อาจจะยังไม่ดีพอ

มีข้อสังเกตจากหลายคนระบุว่า หากมาดูตรงข้อความเตือนภัยแล้ว มีหลายข้อความระบุว่า เป็น ‘หย่อมความกดอากาศต่ำ’ จึงทำให้ประชาชนที่อ่านข้อความแจ้งเตือนประเมินความเสี่ยงลดลง รวมถึงข้อความที่ส่งมามีลักษณะยาวอาจทำให้การสื่อสารคลาดเคลื่อนได้

ขณะเดียวกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ออกมาชี้แจงหลังเกิดกระแสว่าไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าว่า มีการแจ้งเตือนถึง 7 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 20-23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมกับแนบคอมเมนต์ที่ประชาชนมาแสดงความเห็นว่า “เตือนค่ะ เตือนหลายรอบมาก แต่นายกเทศบาลบอกว่า เอาอยู่ๆๆๆ” และ “เตือนนะครับ ของผม 2 รอบ ก่อนฝนกระหน่ำ”

สำนักข่าวผู้จัดการออนไลน์สัมภาษณ์เสียงของประชาชนที่อาศัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยบุคคลแรกระบุว่า “ได้รับการแจ้งเตือนน้ำท่วมจากระบบ Cell Broadcast ครั้งแรกเมื่อวานตอนเย็น (21 พฤศจิกายน 2568) ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่น้ำเริ่มท่วมในช่วงค่ำ ส่วนการแจ้งเตือนในพื้นที่ที่ชาวบ้านรับรู้ได้คือ การแจ้งเตือนจากเทศบาล (ท้องถิ่น) ตั้งแต่ในช่วงเย็นวันเดียวกัน”

บุคคลที่ 2 กล่าวว่า “ที่เขาเตือน ก็คือการบอกว่า น้ำเยอะแล้ว จะเกิดน้ำท่วมแน่ เตือนเพื่อให้เราเก็บข้าวของ รักษาชีวิตและทรัพย์สิน แต่เดิมคนที่นี่จะเข้าใจกันว่า น้ำจะต้องมาจาก อำเภอสะเดา แต่รอบนี้น้ำมาจากทาง ตำบลคอหงส์ (อยู่เหนือเทศบาลนครหาดใหญ่) ซึ่งมันไม่เหมือนที่ผ่านมา”

น่าคิดต่อว่า ประเทศไทยเราควรเปลี่ยนวิธีการหรือรูปแบบการเสื่อสาร เพื่อเตือนภัยต่อประชาชนหรือไม่ เช่น ข้อความควรระบุกรอบเวลาให้ประชาชนทราบเลยว่า น้ำจะมาในอีกกี่ชั่วโมงหรืออีกกี่นาที เพื่อที่คนในพื้นที่จะได้วางแผนการอพยพยได้ถูกต้อง หรือเพื่อประเมินว่าจะรับมือสถานการณ์อย่างไร ควรนำสิ่งของใดติดตัวไปบ้าง

ไร้ผู้นำไม่มีส่วนกลาง 

สิ่งที่หลายคนน่าจะเห็นภาพตรงกันคือ มหาอุทกภัยน้ำท่วมครั้งนี้ ไม่มี Single Command ไม่มีการจัดการรวมศูนย์ ไม่มีใครอยู่หน้างานในพื้นที่ โดยปกติแล้วหากมีแนวโน้มว่า จะเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมสิ่งที่จะเกิดคือ ‘ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า’ ที่ต้องตั้งขึ้นมาก่อนเกิดภัยพิบัติ เพื่อประเมินความเสี่ยง

จากข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้น ภาครัฐมีข้อมูลและทราบอยู่แล้วว่า มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วม ‘ก่อน’ ภัยพิบัติจะมา ซึ่งกรมอุตุฯ มีการเตือนล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า จะมีฝนตกหนักในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่วันที่ 18-23 พฤศจิกายน 

นั่นหมายความว่า ภาครัฐมีเวลาเตรียมตัวอย่างน้อยราว 72-96 ชั่วโมง แต่การจัดตั้งศูนย์กลางบริหารจัดการน้ำส่วนหน้ากลับไม่เกิดขึ้น หรือแม้แต่ในวันที่เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมแล้ว ก็ยังมีการมอบหมายหน้าที่ หรือการจัดงานแบบ ‘งงๆ’ อยู่

แม้ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) Cell Broadcast ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ก็ส่งแจ้งเตือนถึงระดับน้ำท่วมสูงสุด และสั่งให้ประชาชนขนของเคลื่อนย้ายทรัพย์สินที่มีค่าออกจากพื้นที่ในช่วงเย็น แต่ขณะเดียวกันก็เกิดคำถามว่า แค่การลงพื้นที่เพียงพอหรือไม่

ต่อมาหลังน้ำท่วมได้ 3 วัน (24 พฤศจิกายน 2568) อนุทินแต่งตั้ง ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ เพื่อกำกับดูแลการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติ

ภายหลังการแต่งตั้ง นายกฯ ถามถึงร้อยเอกธรรมนัสอยู่หลายครั้ง ในที่ประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงขึ้น ผลปรากฏว่า ร้อยเอกธรรมนัสไม่ได้อยู่ในที่ประชุม แต่ไปปรากฏที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา และโครงการพัฒนาสวนลำใย

ต่อมาร้อยเอกธรรมนัสโพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัวว่า “ในวันนี้เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่สามารถนำเครื่องขึ้นเพื่อบินไปที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาได้ แต่ยังคงนั่งประชุมผ่านทางระบบ Zoom กับปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แม่ทัพภาคที่ 4 อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อประสานช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย ที่ยังคงติดค้างและรอคอยความช่วยเหลือ

“ในวันพรุ่งนี้ในช่วงเช้า ผมจะรีบเดินทางไปยังอำเภอหาดใหญ่ เราทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องครับ”

เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานของรัฐบาลและการรับมือได้อย่างดีว่า ขาดการทำงานที่เป็นรูปแบบ ไร้การวางแผน และมีการจัดลำดับความสำคัญของงานได้ไม่ถูกต้อง ซึ่งการทำงานที่เลินเล่อ ‘บกพร่อง’ และไร้องค์ความรู้เหล่านี้ ส่งผลต่อจำนวนผู้รอดชีวิต และผู้ประสบภัยที่กำลังรอการช่วยเหลือ

สั่งอพยพ แต่ไม่บอกทางรอด

แม้ว่าจะมีการสั่งอพยพก็จริง แต่สิ่งที่เราเห็นคือ จะให้ผู้ประสบภัยทำอย่างไร ในเมื่อขาดทั้งอุปกรณ์ในการขนย้าย ทรัพยากร และคน ที่ต้องออกไปจากพื้นที่ และอีกคำถามที่สำคัญคือ ต้องอพยพไปที่ไหน

อีกภาพที่เห็นคือ การทำงานยังขาดการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในการเข้าช่วยเหลือประชาชน เช่น จากการสั่งอพยพล่าสุดเมื่อวานนี้ พบว่ามีการประกาศอพยพก็จริง แต่กลับแทบไม่เห็น ‘เรือ’ หรือพาหนะใดๆ เข้าช่วยเหลือและพาประชาชนออกจากพื้นที่

ภาพที่ปรากฏส่วนใหญ่จึงเต็มไปด้วย ประชาชนช่วยเหลือตัวเอง รอการช่วยเหลือ ตกค้าง หิว และไร้ที่ไป

ชีวิตของประชาชนไม่ใช่ของเล่น

697,231 ราย คือจำนวนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่ ‘ป้องกันได้’ หรือลดความเสียหายได้ หากภาครัฐมีการเตรียมการ จัดการ และรับมืออย่างถูกต้อง ที่ไม่ได้เหมือน ‘ทำงานไม่เป็น’ และกำลังมาลองจัดการ รับมืองานใหญ่ๆ ที่บางครั้ง และบางคน ตำแหน่งที่ได้รับอาจไม่ได้เหมาะสมกับคุณสมบัติหรือองค์ความรู้ ที่จะมาบริหารประเทศ หรือสถานการณ์ต่างๆ 

เพราะการลองผิดลองถูกในตำแหน่งหน้าที่ นั้นแลกมากับชีวิตของประชาชน ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่เพียงเป็นผู้โชคร้ายที่ได้ผู้นำไร้ศักยภาพ

Tags: , , , , , ,