น่าสนใจว่าในช่วงปี 2025 มีหนังที่วิพากษ์ทุนนิยมอย่างเผ็ดร้อนออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกันไม่น้อยทีเดียว อย่างน้อยในช่วงครึ่งปีหลัง ก็ดูจะมีหนังที่พยายาม ‘ส่งสาร’ ถึงความเลวร้ายของระบบทุน และบ่อยครั้งมันก็แนบเป็นเนื้อเดียวกันกับสื่อหรือมีเดียในมือ

นักวิจารณ์หลายสำนักมองว่า ท่าทีการวิพากษ์ทุนนิยมและสื่อของฮอลลีวูดนั้นออกจะ ‘เสแสร้ง’ อยู่ไม่น้อย เพราะตัวฮอลลีวูดเองก็เป็นภาพแทนของทุนนิยมโดยตัวมันเอง กระทั่งตัวตนของภาพยนตร์ก็เป็นเรื่องของทุน มิหนำซ้ำ หนังหลายเรื่องที่พูดถึงประเด็นเหล่านี้ บ่อยครั้งมันก็ถูกขยับขยายกลายเป็นแฟรนไชส์ภาคต่อใช้โกยเงินในที่สุด

แต่ก็อีกนั่นแหละ การที่หนังหันมาจับจ้องประเด็นนี้ ไม่ว่าจะด้วยท่าทีแบบใด มันย่อมเป็นเรื่องน่าสนใจ และมากต่อมากก็อาจสะท้อนเศรษฐกิจและสังคมในภาพใหญ่ของสหรัฐฯ หรืออาจจะของโลกด้วยก็เป็นได้ โดยเฉพาะในปี 2025 ที่หลายประเทศประสบปัญหาเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับอเมริกาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ (และอาจจะยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้มากขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์)

The Running Man (2025) หนังยาวลำดับล่าสุดของ เอ็ดการ์ ไรต์ ดัดแปลงมาจากงานเขียนชื่อเดียวกันของ สตีเฟน คิง (และเคยถูกสร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อปี 1987) เล่าถึงโลกอนาคตสุดดิสโทเปีย ที่ประชากรใช้ชีวิตอยู่ด้วยรายการประโลมโลก หากไม่ใช่เรียลลิตีคนดังก็เป็นเกมโชว์ที่คนจนต้องทุ่มชีวิตแลกเงินก้อน 

และหนึ่งในรายการยอดนิยมคือ The Running Man รายการที่ให้ผู้เข้าแข่งขันสามราย เอาตัวรอดในสังคมให้ได้นานที่สุด โดยมีชาวเมืองและเจ้าหน้าที่ของรายการออกตามล่าตัว ความเดือดดาล เห็นเลือดเห็นเนื้อของรายการ ตลอดจนเงินรางวัลที่ผลักให้ผู้ชนะได้เป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน ทำให้หลายคนพร้อมใจสมัครไปแลกตาย เช่นเดียวกับ เบน ริชาร์ด (เกลน โพเวลล์) ชายหนุ่มชนชั้นแรงงาน ที่ทั้งเขาและเมียต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อหาเงินมารักษาลูก และเมื่อจนตรอก เขาก็ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมรายการ โดยเตรียมใจแลกเป็นแลกตายเพื่อหาเงินก้อนให้ครอบครัว

ตัวหนังฉายภาพชีวิตอันไร้ทางเลือกของคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม การกลายเป็นเรื่องบันเทิงของคนชนชั้นกลางหรือชนชั้นสูงผ่านรายการโทรทัศน์ และชีวิตที่ถูกกำกับ-ควบคุมโดยโปรดิวเซอร์รายการและเรตติงอีกชั้นหนึ่ง สิ่งที่ The Running Man เน้นย้ำตลอดทั้งเรื่อง คืออิทธิพลของสื่อและเม็ดเงิน ที่อยู่เหนือรัฐบาลหรือแม้แต่สวัสดิภาพของประชาชน

สตีเฟน คิง เขียนนิยายเรื่องนี้ในปี 1982 หรือก็คือขวบปีที่สหรัฐฯ เข้าสู่สงครามเย็นเต็มตัว (และอยู่ในระยะเพิ่งฟื้นจากความพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนาม) “ตอนนั้นผมอยากเขียนนิยายผจญภัยที่ขายได้ เพราะเราถังแตกสุดๆ ลูก 2 คนก็ยังเล็ก และผมก็อยากให้พวกเขากินดีอยู่ดี” คิงให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์ของสถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (The British Film Institute: BFI) “เลยอยากเขียนนิยายที่มันขายได้ ซึ่งแน่ล่ะว่าเรื่องนี้ขายไม่ออกเลย เพราะมันเล่าเรื่องโลกดิสโทเปียยังไงล่ะ แต่ผมน่ะอยากเขียนถึงรายการเกมโชว์ชั่วร้ายที่เอาเรื่องพวกนี้มาเป็นความบันเทิง”

นิยายอีกเรื่องของคิงที่วิพากษ์ประเด็นคล้ายๆ กันและเพิ่งออกฉายในปีนี้คือ The Long Walk (2025) กำกับโดย ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ผู้เคยทำหนังสำรวจชนชั้นมาแล้วในแฟรนไชส์ The Hunger Games หนังดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของคิงในปี 1979 เล่าเรื่องโลกอนาคตที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตกต่ำสุดขีด หนึ่งในหนทางอันน้อยนิดที่จะพลิกชีวิตผู้คนได้ คือการเป็นผู้ชนะการแข่งขัน ‘เดินไกล’ ที่กำหนดขึ้นมาโดยรัฐทหาร เงื่อนไขคือผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นชายหนุ่ม และต้องออกเดินไปเรื่อยๆ โดยห้ามพักเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกทหารที่ขนาบข้างอยู่ยิงทิ้ง และในระยะท้ายๆ ของการเดินทาง กองทัพจะถ่ายทอดสดการออกเดินของผู้เข้าแข่งขัน เพื่อปลุกใจประชาชนให้ลุกออกไปทำงานและใช้ชีวิต

เรย์ (คูเปอร์ ฮอฟฟ์แมน) เป็นเด็กหนุ่มที่สมัครเข้าร่วมการแข่งขันนี้ เป้าหมายของเขาไม่ใช่เพื่อเอาชนะเงินรางวัล แต่เพื่อแก้แค้นให้พ่อผู้เป็นนักปฏิวัติ ระหว่างการแข่งขัน เขาผูกมิตรกับพีต (เดวิด จอนส์สัน) เด็กหนุ่มผิวดำที่มีอดีตอันโชกโชนและลึกลับ โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าหากพวกเขาลากสังขารไปถึงปลายเส้นชัยได้ พวกเขาก็ต้องชิงชัยให้เหลือผู้ชนะคนเดียวอยู่ดี

คิงเขียนนิยายขึ้นมาในช่วงที่สหรัฐฯ ยังบาดเจ็บจากสงครามเวียดนาม เศรษฐกิจในเวลานั้นตกต่ำย่ำแย่แทบจะเป็นประวัติการณ์ ก็อาจจะเทียบเคียงได้ว่า ตัวละครคนหนุ่มในนิยายเป็นภาพแทนของคนหนุ่มสาวที่ถูกโยนส่งเข้าระบบฟันเฟืองแห่งโลกทุน ที่มีแต่ต้องออกเดินหรือทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่มีปลายทางแน่ชัด เพื่อป้อนเงินหรือผลิตผลให้แก่ประเทศ

อาจจะพูดได้ว่าหนังเข้ามือฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ไม่ว่าจะเป็นการดัดแปลงจากงานเขียน การต่อสู้ของคนหนุ่มสาว หรือการเล่าเรื่องโลกอันหม่นหมองดิสโทเปียก็ตาม หนังหุ่มคลุมด้วยสีธีมเทา บอกเล่าความเหน็ดเหนื่อย สิ้นหวัง และหวาดกลัวของตัวละคร กับสภาพแวดล้อมอันแล้งไร้ของอเมริกาในอนาคต

การวิพากษ์ทุนและลัทธิบริโภคนิยมไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในหนังทริลเลอร์ดิสโทเปีย หากแต่มันยังอยู่ในหนังดราม่า-โรแมนติกอย่าง Materialists (2025) หนังเรื่องล่าสุดของ เซลิน ซง ที่เพิ่งออกฉายเมื่อช่วงกลางปี เล่าถึงชีวิตสุดอลหม่านของแม่สื่อคนสวย ลูซี (ดาโกตา จอห์นสัน) ที่ทำงานจับคู่ให้คนหนุ่มสาวแต่ตัวเองยังโสด เธอถือคติว่าการหาคู่ก็เหมือนการลงทุน ความรักไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะพาให้ชีวิตคู่รอด แต่ยังมีประเด็นเรื่องรายได้ ค่านิยม ที่ผูกติดมากับรายได้อย่างแยกไม่ขาด ภูมิหลังของคู่รัก ไปจนถึงส่วนสูง สัดส่วน ที่บอกได้ว่าเราลงทุนกับร่างกายตัวเองมากน้อยแค่ไหน ออกกำลังกายอย่างไรให้รูปร่างดูดีพอจะดึงดูดคู่ตรงข้าม ฯลฯ

ความท้าทายมาเยือนชีวิตของลูซี เมื่อเธอพบว่า แฮร์รี (เปโดร ปัสกาล) นักธุรกิจหนุ่มหล่อที่ร่ำรวยขนาดเช่าเพนต์เฮาส์เพื่อพักผ่อนเล่นๆ โดยขนหน้าแข้งไม่ร่วง มีท่าทีสนใจเธออย่างจริงจัง แม้ในสมการของลูซีแล้ว เขาออกจะ ‘อยู่เหนือ’ จากเธอไปสักนิด จนทำให้เธอตั้งคำถามต่อความต้องการของเขา หากแต่มองในแง่การลงทุน ก็ดูเหมือนว่าเขากับเธอจะเป็นสมการที่ตอบโจทย์กันลงตัว 

เรื่องยุ่งคือเมื่อเธอดันเจอ จอห์น (คริส อีแวนส์) คนรักเก่าที่คบกันมาตั้งแต่เธอยังไม่ได้สร้างเนื้อสร้างตัวอีกครั้ง เขายังทำงานแสดงที่ดูไร้อนาคต เสริมด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟในงานเลี้ยงต่างๆ และยังพักอยู่ในหอพักกับเพื่อนอีกกลุ่มใหญ่ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย มองในแง่นี้ก็ดูเหมือนว่าแฮร์รีจะชิงชัยในการเป็นคู่ชีวิตเธอได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่ลูซีรู้สึกว่าบางอย่างในหัวใจของเธอตั้งคำถามต่อสิ่งนี้

“ทุนนิยมมันเข้ามากินพื้นที่ในหัวใจเราไปแล้ว เวลาคนบอกว่าดูหนังเรื่องนี้แล้วอารมณ์เสีย คงเพราะมันไปกระทบใจพวกเขามั้ง” ซงให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ Dazed “บางครั้งพวกเขาก็บอกฉันว่า ‘นี่คุณกำลังจะบอกให้ฉันปักหลักกับคู่ แทนที่จะเป็นโสดต่อไปเหรอ’ และฉันจะบอกพวกเขาทุกทีแหละว่า ‘อย่างเดียวที่คุณควรได้รับจากคนรักของคุณ คือความรักจากพวกเขานะ’ เรื่องนี้ต่อรองไม่ได้ คนเคยมาถามฉันว่า ‘เซลีน เรื่องที่คุณรู้สึกว่าต่อรองไม่ได้ที่สุดคืออะไร’ และฉันตอบไปว่า ‘เรื่องที่ต่อรองไม่ได้ของฉันคือ คนที่รักฉันจะต้องรักฉันนะ’

“ความรักน่ะเป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้เลย ถ้าปราศจากความรัก เราก็แค่ต้องจากมา”

อีกเรื่องหนึ่งที่เพิ่งออกฉายคือ Bugonia (2025) หนังสุดเฮี้ยนโดย ยอร์กอส ลานธิมอส รีเมกมาจาก Save the Green Planet! (2003​) หนังสัญชาติเกาหลี จับจ้องไปยังแผนการสุดป่วงของ เท็ดดี (เจสซี พลีมอนส์) พนักงานในอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ไร้ตัวตน ที่หวังลักพาตัว มิเชลล์ (เอมมา สโตน) นักธุรกิจหญิงแถวหน้าของประเทศ ด้วยความเชื่อว่าเธอเป็นมนุษย์ต่างดาว (!!) แทรกซึมเข้ามายังโลกมนุษย์ เพื่อหวังทำลายมนุษยชาติให้ราบเป็นหน้ากลอง

หนังเปิดเรื่องด้วยผึ้งออกหาเกสรในดอกไม้ ตัวเท็ดดีมีงานอดิเรกเป็นคนเลี้ยงผึ้ง เขาอธิบายให้ ดอน (ไอแดน เดลบิส) ญาติที่มีภาวะออทิสติกอ่อนๆ ว่าผึ้งช่วยสิ่งแวดล้อมและช่วยโลกอย่างไร และช่างน่าเสียดายที่ผึ้งกำลังลดจำนวนน้อยลงจนอาจสูญพันธุ์ เพราะผลพิษจากบริษัทใหญ่ของมิเชลล์ 

เขาจึงไม่มีทางเลือก ต้องลักพาตัวเธอมาแล้วจับโกนผม เพื่อไม่ให้ติดต่อสื่อสารกับยานแม่ได้ (เนื่องจากมนุษย์ต่างดาวสื่อสารกันด้วยผม) และต้องเอาครีมมาโปะผิวเธอทั้งตัวเพื่อให้ร่างกายเธออ่อนแอ มิเชลล์ได้แต่กัดฟันทำตามที่พวกเขาสั่ง โดยที่ก็ค่อยๆ ใช้จิตวิทยา เพื่อล่อให้พวกเขาปล่อยเธอออกไปด้วย

หนังอาจไม่ได้ฉายภาพความรุนแรงที่เกิดจากทุนอย่างเป็นระบบ หาก แต่มันสำรวจบาดแผลที่เกิดขึ้นจากความไม่รับผิดชอบโดยบริษัทใหญ่และทุนมากกว่า ไม่ว่าจะเหล่าฝูงผึ้งที่เท็ดดีรัก หรือแม่ของเขาที่กลายเป็นหนูทดลองกลายๆ ให้บริษัทของมิเชลล์

สิ่งที่เป็นรายละเอียดและแสนแยบยลคือ ตัวละครของมิเชลล์ไม่ได้สนทนากับเท็ดดีหรือดอนด้วยภาษาระดับเดียวกันกับพวกเขา หากแต่เป็นภาษาของนักธุรกิจ เธอพูดจาด้วยน้ำเสียงแบบทางการ ซึ่งก็อาจอ่านได้ถึงสถานะของการ ‘เป็นอื่น’ ของเหล่านักธุกิจมหาเศรษฐีที่ไม่มีวันเป็นหนึ่งเดียวกันกับแรงงานอย่างเท็ดดี หรือก็อาจมองมันในแง่ของการเป็นอื่นในสถานะ ‘สิ่งมีชีวิตจากดาวอื่น’ จริงๆ ก็ย่อมได้

อันที่จริง หากเรามองย้อนกลับไปในระยะ 2-3 ปีให้หลังนี้ ยังมีหนังฮอลลีวูดอีกมากที่สำรวจประเด็นแหลมคมของทุนนิยมและบาดแผลจากมัน ทั้งในแง่ปัจเจกและในแง่สังคมโดยรวม กระทั่งว่าในปีที่แล้วก็มีประกาศว่า American Psycho (2000) อันเป็นหนังที่วิพากษ์ประเด็นทุนนิยมและลัทธิบริโภคนิยมได้เผ็ดร้อนที่สุด กำลังจะถูกนำมารีเมกอีกครั้งโดย ลูกา กัวดัญญีโน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ก็อาจสะท้อนภาพความเปราะบางของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกา และระบบเศรษฐกิจภาพใหญ่ในอเมริกาด้วยเช่นกัน

Tags: , , , , , , , , ,