อาจเป็นที่จังหวะเวลา แต่ก็น่าสนใจว่าในปี 2025 นี้ มีนักแสดงอาชีพที่แจ้งเกิดในฐานะผู้กำกับหนังมากหน้าหลายตาทีเดียว โดยส่วนหนึ่ง หนังของพวกเขาเข้าฉายในเทศกาลหนังใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเทศกาลหนังซันแดนซ์เมื่อช่วงต้นปี เทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อเดือนพฤษภาคม รวมทั้งเทศกาลหนังนานาชาติเวนิสที่เพิ่งล่วงผ่านไปด้วย หลายเรื่องก็เข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเรา ทั้งรอบปกติและในรอบเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ (Bangkok International Film Festival) เมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ที่ผ่านมามีนักแสดงหลายคนที่ประสบความสำเร็จในฐานะผู้กำกับ นับตั้งแต่ คลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) หนึ่งในนักแสดงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในฮอลลีวูดยุค 60s ที่คว้ารางวัลในฐานะผู้กำกับมาแล้ว, เบน แอฟเฟล็ก (Ben Affleck) ซึ่งที่จริงก็ดังมาจากการคว้ารางวัลเขียนบทยอดเยี่ยมจาก Good Will Hunting (1997) ร่วมกับ แมตต์ ดามอน (Matt Damon) และ Argo (2012) หนังที่เขากำกับก็คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากออสการ์มาแล้ว, เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig) นักแสดงสาวผู้เป็นที่รักจาก Frances Ha (2012) ก็ประสบความสำเร็จระเบิดระเบ้อจาก Lady Bird (2018) ที่ส่งเธอเข้าชิงออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม
สำหรับปีนี้ นักแสดงที่ประเดิมงานกำกับครั้งแรกและได้ออกฉายในเทศกาลหนังตั้งแต่ต้นปีคือ อีวา วิกเตอร์ (Eva Victor) นักแสดงจาก As of Yet (2021) และ Dating & New York (2021) และกำกับหนังเรื่องแรกคือ Sorry, Baby (2025) ซึ่งได้ แบร์รี เจนกินส์ (Barry Jenkins) มาร่วมโปรดิวซ์ หนังฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลหนังซันแดนซ์ กวาดคำชมถล่มทลายในฐานะหนังที่เล่าเรื่องการข้ามพ้นบาดแผลทางจิตใจได้อย่างอ่อนโยน
โดยหนังเล่าถึง แอ็กเนส (วิกเตอร์) นักศึกษาวรรณกรรมในนิวอิงแลนด์ เธอพบว่าตัวเองดูจะเป็นลูกศิษย์คนโปรดของ เด็กเคอร์ (หลุยส์ แคนเซลมี) ศาสตราจารย์ที่มักเปรยให้เธอฟังอยู่เนืองๆ ว่าเขาเพิ่งหย่าขาดจากเมีย และมักชมเชยเธอให้เพื่อนร่วมชั้นฟังเสมอ รวมทั้ง ไลดี (นาโอมิ แอ็กคี) เพื่อนสนิทของแอ็กเนสที่เห็นแววว่าอาจารย์หนุ่มน่าจะสนใจเพื่อนของเธอ
หากแต่ความสนใจของเด็กเคอร์ก็ข้ามเส้น เมื่อแอ็กเนสไปหาเขาที่บ้านเพื่อปรึกษาเรื่องวิทยานิพนธ์ ก่อนจะลงเอยด้วยเหตุการณ์ชวนสะอิดสะเอียน ที่กลายเป็นบาดแผลทางใจของแอ็กเนสไม่ว่าเธอจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และหนังถ่ายทอดประเด็นนี้ผ่านการไม่ขยับ ไม่เปลี่ยนแปลงของแอ็กเนส ทั้งการใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งเดิม แวดล้อมเดิม ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่มีประเด็นหรือบาดแผลจากเด็กเคอร์ ขยับไปใช้ชีวิตในพื้นที่แห่งใหม่ ชีวิตในรูปแบบใหม่กันหมด รวมทั้งไลดีด้วย
สิ่งที่น่าสนใจคือ Sorry, Baby ไม่ได้มีท่าทีเป็นหนังฟูมฟายต่อบาดแผลของตัวละคร มันเพียงแต่พินิจสิ่งที่เกิดขึ้นช้าๆ ตัวละครเองก็ดูจะรับมือต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ถูก เธอเพียงแต่ขับรถกลับบ้าน อาบน้ำและระบายให้เพื่อนสนิทฟังอย่างละเอียด และอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกนับปี โดยที่ก็ตอบตัวเองได้ชัดเจนว่าเธอต้องการและไม่ต้องการอะไรจากเรื่องที่เกิดขึ้น และแม้มันจะว่าด้วยบาดแผลทางจิตใจ หากแต่วิกเตอร์ก็ถ่ายทอด บอกเล่าหนังทั้งเรื่องด้วยความอ่อนโยนและเปี่ยมอารมณ์ขัน
“อันที่จริงฉันก็พยายามทำให้มันออกมาดราม่าแหละ แต่ไม่รู้ต้องทำยังไง สุดท้ายก็พบว่า สำหรับฉันแล้วหนทางระบายเรื่องราวเหล่านี้ได้ดีที่สุด คือการบอกเล่ามันด้วยวิธีที่ตัวฉันเองจะใช้รับมือกับเรื่องพวกนี้” วิกเตอร์บอก “แล้วคอเมดีนี่แหละคือวิธีที่ผู้คนใช้บอกเล่าสิ่งที่พวกเขารู้สึก”
อีกหนึ่งคนที่ประเดิมกำกับหนังยาวเรื่องแรกคือ คริสเตน สจวร์ต (Kristen Steward) เรื่อง The Chronology of Water (2025) ดัดแปลงจากอัตชีวประวัติของ ลิเดีย ยุคนาวิตช์ อดีตนักว่ายน้ำที่เคยถูกคุกคามทางเพศโดยคนในครอบครัวตัวเอง โดยหนังเล่าถึงช่วงยุคนาวิตช์ในวัยผู้ใหญ่ (อิโมเจน พูตส์ ที่แบกหนังทั้งเรื่อง) ตัดสลับกับบาดแผลในวัยเด็กที่เธอถูกพ่อล่วงละเมิด และแม่ที่เอาแต่หนีปัญหา อดีตเช่นนี้ทำให้เธอเติบโตมาเป็นเด็กสาวที่ชิงชังทั้งตัวเองและคนรอบข้าง ยุคนาวิตช์กลายเป็นคนเก็บกดและเลือกกลืนบาดแผลของตัวเองเงียบๆ กระทั่งเธอเข้าเรียนด้านงานเขียนวรรณกรรม เธอจึงได้เรียนรู้กระบวนการถ่ายทอดความเจ็บช้ำออกมาเป็นตัวอักษร
อาจจะพูดได้ว่าเป็นงานกำกับที่สจวร์ตเล่นท่ายาก ทั้งในแง่ประเด็นอ่อนไหว และในแง่การถ่ายทอดเรื่องราวที่ตัดสลับอดีตกับปัจจุบัน การใช้เสียงกระซิบกระซาบหลอนหลอก และงานภาพที่สะท้อนความไม่มั่นคงของตัวละคร “ฉันว่ามันไม่ใช่หนังที่เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับลิเดียบ้าง แต่มันเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทุกคน และปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับเนื้อตัวเรา” สจวร์ตบอก “มันอาจไม่รุนแรงขนาดเท่าที่ลิเดียประสบพบเจอหรอก แต่มันก็ใกล้เคียง มันคือความรุนแรงที่ผู้หญิงเคยต้องรับมือมาทั้งนั้น
“บาดแผลพวกนี้มันส่งผลต่อตัวเรา สร้างบทสนทนาในเนื้อตัว เสียงที่เราบอกตัวเองว่า ‘ไม่ต้องบอกใครหรอก อย่าพูดออกไปเลย เก็บมันไว้เป็นความลับดีกว่า ไม่ต้องบอกใครว่าเรากำลังเจ็บปวด ไม่ต้องบอกใครว่าสิ่งที่พวกเขาทำกับเรามันไม่โอเค เก็บมันไว้กับตัว แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรกับมันนะ ไม่ต้องสู้ ไม่ต้องพูดเสียงดัง เพราะพูดไปก็ไม่มีใครได้ยินหรอก’ มันมีแต่ความน่าละอายล้อมรอบตัวเรา” สจวร์ตบอก
“หนังสือของลิเดียไม่ได้เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่มันเล่าว่าเธอผ่านกระบวนการต่างๆ มาได้แบบไหน และศิลปะมันช่วยเธอไว้อย่างไรต่างหาก”
หนังเข้าฉายสาย Un Certain Regard ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ และได้รับเสียงตอบรับแง่บวกจากเหล่านักวิจารณ์ในงาน โดยสจวร์ตเล่าว่า เวอร์ชันที่ฉายในเทศกาลหนังนั้นถือเป็นเวอร์ชันสุดท้ายแล้ว เธอจะไม่ปรับแก้อะไรทั้งสิ้นนอกจากหยิบมาแก้สีใหม่ในภายหลัง
“ฉันไม่เอามาตัดต่อเพิ่มหรอก เพราะโครงหนังมันไม่ได้เล่าแบบ 3 องก์อย่างที่เราคุ้นเคยในการดูหนัง แล้วคนดูก็เข้าใจดีด้วย”
อีกเรื่องที่เข้าฉายในสายประกวดเดียวกันคือ Urchin (2025) ของ แฮร์ริส ดิกคินสัน (Harris Dickinson) นักแสดงชาวอังกฤษที่แจ้งเกิดจาก Beach Rats (2017), Triangle of Sadness (2022) ที่เปิดตัวหนังยาวเรื่องแรกที่เขากำกับได้แสบสุดๆ ด้วยการสวมเสื้อยืดสกรีนข้อความถึงรัฐบาลอังกฤษว่า “การใช้ชีวิตข้างถนนไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ มันคือสัญญาณความล้มเหลวของนโยบายจากรัฐต่างหาก”
Urchin เล่าเรื่องของ ไมก์ (แฟรงค์ ดิลเลน ได้รางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากสายประกวด) คนไร้บ้านหนุ่มในลอนดอนที่ตระเวนหาที่นอนไปเรื่อยๆ หนังพาคนดูตามติดการพยายามกลับเข้าระบบในสังคมของเขาอีกครั้ง ผ่านการทำงานกับภาครัฐ ซึ่งหาที่พักชั่วคราวและงานประจำให้
แฟรงค์ทำท่าจะไปได้ดีกับงานใหม่ในภัตตาคารเล็กๆ หากแต่บาดแผลบางอย่างก็ทำให้เขาต้องกระเสือกกระสนออกมาหางานใหม่อีกครั้ง ด้วยการเป็นคนเก็บขยะ โดยที่ก็ต้องต่อสู้กับอาการโหยหาสารเสพติด กับความอ้างว้างอันไร้คำอธิบายตลอดการมีชีวิตเล็กจ้อยในสังคม
ดิกคันสันแจ้งเกิดอย่างงดงามในฐานะผู้กำกับ หนังอธิบายความบอบช้ำทั้งภายนอกและภายในของคนไร้บ้าน การกลายเป็นคนนอกของสังคมทั้งที่โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ความหวังที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิตแต่ก็พ่ายแพ้ซ้ำๆ และหากมองในแง่งานวิชวล Urchin ยังท้าทายคนดูด้วยภาพหลอนและภาพกึ่งฝัน ที่ตัดสลับจากเหตุการณ์หลักอยู่เป็นระยะ นับเป็นการวาดลวดลายเล่นท่าบางอย่างที่น่าจับตาไม่น้อย
“ผมอยากกำกับมาก่อนอยากแสดงเสียอีก” ดิกคินสันบอก ตัวเขารับบทเล็กๆ ในหนัง ที่แน่นอนว่าก็เป็นหนึ่งในคนไร้บ้านที่ตระเวนใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมายด้วย “ผมทำหนังสั้นมาตั้งแต่แปดขวบเก้าขวบได้มั้ง”
กับประเด็นคนไร้บ้านที่เขาเลือกกำกับและเขียนบท ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ยากและไกลตัวไม่น้อย หากแต่มันก็เป็นประเด็นที่เขาสนใจเรื่อยมา “ผมว่าคนไม่ค่อยสนใจประเด็นพวกนี้เท่าไร อาจเพราะพวกเขาไม่อยากสบตากับความจริงอีกด้านของสังคมน่ะ” เขาว่า “ตัวละครไมก์คือภาพรวมของผู้คนมากหน้าหลายตาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผม ทั้งคนที่ผมเจอ คนสนิท และความดำมืดในตัวของเราทุกคน
“ผมรู้สึกว่าผมสนใจเรื่องนี้และอยากเล่าเรื่องของคนที่ต้องต่อสู้กับตัวเองอยู่เรื่อยไป โดยที่ก็หวังอย่างเต็มกำลังว่าจะหลุดพ้นจากวงจรนี้ให้พ้น จากนั้นผมจึงค่อยมาตีวงเรื่องให้แคบว่า เราจะตามชีวิตของไมก์ได้ยังไง จะตามคนที่หยาบคาย นิสัยไม่ดีหากแต่ก็มีเสน่ห์ น่ารักและแค่พยายามเอาตัวรอดไปเรื่อยๆ ได้ไหม
“จำได้ว่ามันหาทุนทำหนังยากมาก ผมตระเวนประชุมวันละห้าถึงหกครั้งได้มั้ง กว่าจะหาทุนทำหนังได้ ผมเล่าเรื่องย่อหนังด้วยใจทั้งดวง พยายามโน้มน้าวให้พวกเขาให้ทุนหนังที่ดูแสนจะน่าเบื่อของผมนี่”
หนังอีกเรื่องที่ได้เข้าฉายสายประกวด Un Certain Regard ของเทศกาลหนังเมืองคานส์คือ Eleanor the Great (2025) หนังยาวเรื่องแรกของ สการ์เลตต์ โจฮันส์สัน (Scarlett Johansson) กับพล็อตเรื่องแสนเก๋ของ อเลนอร์ (จูน สควิบบ์) คุณยายวัย 94 จากฟลอริด้า ที่วันดีคืนดี เพื่อนร่วมห้องที่อยู่ด้วยกันมากว่าทศวรรษก็ออกเดินทางไกลเพียงลำพัง เธอจึงต้องย้ายมาอยู่กับลูกสาวในเมืองใหญ่ ความเหงาและโดดเดี่ยวทำให้คุณยายหยิบเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเล่าเป็นตุเป็นตะราวกับเป็นเรื่องของตัวเอง สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ลูกสาวจนบ้านแทบแตก
แต่ก็เช่นนี้เองที่เอเลนอร์ได้พบกับ นีนา (อีริน เคลลีแมน) นักศึกษาสาวผู้อ่อนโยน เป็นมิตรและเปี่ยมอารมณ์ขัน จนทั้งสองกลายเป็นคู่ซี้ต่างวัยที่กระเตงไปไหนต่อไหนด้วยกัน หากแต่เรื่องก็ยิ่งชวนยุ่งขิงอีกขั้นเมื่อ โรเจอร์ (ชูวิเท็ล เอจีโอฟอร์) พ่อของนีนาที่เป็นผู้ประกาศข่าว สนใจเอาเรื่องราวของคุณยายไปทำเป็นประเด็นใหญ่ทางโทรทัศน์
อันที่จริง สารหลักๆ ที่ตัวหนังพูด และพูดได้อย่างชวนสะเทือนใจ คือการโอบรับความสูญเสีย ไม่ว่าจะตัวเอเลนอร์ นีนา หรือโรเจอร์เองก็ตามที และนี่เองที่เป็นประเด็นที่โจฮันส์สันสนใจที่สุด
“ฉันว่าความรู้สึกของการสูญเสียคนรักมันเป็นประสบการณ์สากลนะ กระนั้น เราก็ไม่ค่อยได้บอกเล่าหรือแบ่งปันความรู้สึกนี้กับใครนัก เหมือนว่ามันมีข้อห้ามบางอย่างในสังคมเรา” โจฮันส์สันบอก
“ฉันเองก็เคยเป็นมาหมดแล้วนะ ทั้งคนที่ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรกับคนที่เพิ่งผ่านการสูญเสียมา และเคยรู้สึกเป็นอื่นกับความรู้สึกแบบนั้นของตัวเอง มันต้องใช้เวลาและกระบวนการในการทำความเข้าใจเหมือนกัน และยากมากที่จะสำรวจเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเองคนเดียว”
ฟากนักแสดงเอเชีย ที่มาแรงสุดๆ คือ Girl (2025) ของนักแสดงสาวชาวไต้หวันที่เรารักอย่าง ซูฉี (Shu Qi) โดยหนังเข้าฉายสายประกวดหลักของเทศกาลหนังนานาชาติเวนิส และส่งเธอคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังนานาชาติปูซาน หนังเล่าเรื่องไต้หวันในปี 1988 กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตในครอบครัวอันเย็นชาห่างเหิน กระทั่งเธอพบกับเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกัน ที่ทำให้เธอหวังอยากใช้ชีวิตอย่างเสรีและเปี่ยมสุขบ้าง
ซูฉีเล่าว่า เธอเขียนบทหนังเรื่องนี้มากว่าทศวรรษ และจุดตั้งต้นก็เริ่มขึ้นเมื่อ โหว เสี่ยวเซียน (Hau Xaioxian) คนทำหนังคู่บุญที่เธอร่วมงานด้วยมาหลายปี ถามเธอว่า “ทำไมไม่ลองเป็นผู้กำกับดูล่ะ”
“ฉันไม่ใช่นักเขียนบทมืออาชีพ มันจึงใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง” เธอบอก “ฉันต้องลงมือเขียน เขียน และเขียน พร้อมกันนั้นก็ยังต้องรับงานแสดงด้วย ตารางฉันจึงแน่นไปหมด ต้องหาเวลามาเขียนบทไปเรื่อยๆ ให้ได้”
แรงบันดาลใจในการเขียนบทและทำหนังของซูฉีมาจากสิ่งละอันพันละน้อย หนึ่งในแรงกระตุ้นที่ชัดเจนที่สุดคือเมื่อเธอมาเป็นกรรมการให้เทศกาลหนังนานาชาติเวนิสครั้งที่ 80 เมื่อปี 2023 “ฉันได้ดูหนังเยอะมาก และสิ่งหนึ่งที่ฉันพบคือภูมิทัศน์หนังอาร์ตเฮาส์กำลังเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าฉันไม่ฉวยจังหวะนี้ปั้นหนังของตัวเองออกมาละก็ ฉันคงไม่มีโอกาสอีกแล้วล่ะ”
กับตัวตนของเธอ ซูฉีไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องส่วนตัวของเธอนัก จะมีบ้างก็ครั้งที่เธอเล่าถึงความหวานอมขมกลืนของการเติบโตภายใต้ชายคาครอบครัวอนุรักษนิยม และไม่ว่าจะอย่างไร ตัวละครพ่อผู้ห่างเหินในหนังนั้นก็เป็นส่วนเสี้ยวที่เธอหยิบจับมาจากพ่อของเธอจริงๆ หากแต่การปรึกษา สนทนากับโหว เสี่ยวเซียนก็ทำให้เธอค่อยๆ เกลาตัวละครนี้ รวมทั้งเส้นเรื่องอันเปราะบางในเหลี่ยมมุมต่างๆ ของหนังให้ลงตัวยิ่งขึ้น
“ฉันอยากเล่าถึงการหยุดยั้งวงจรแห่งความรุนแรง และสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวขึ้นมาใหม่น่ะ” เธอว่า ก่อนขยายความว่า ความสำเร็จของ Girl ทำให้เธอมั่นใจเรื่องงานกำกับมากขึ้น และกำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาบทหนังอีก 2 เรื่องในมือด้วย
สำหรับนักแสดง การประเดิมงานผู้กำกับไม่ใช่เรื่องง่าย พูดอีกอย่างคือมันใช้ทักษะอื่นที่อยู่นอกเหนือจากขั้นตอนทางการแสดง ซึ่งก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว หากแต่งานกำกับย่อมหมายถึงการเห็นภาพรวมหนังทั้งเรื่อง การทำงานกับคนกลุ่มมาก และการร้อยเรียงเส้นเรื่องให้แหลมคมหากแต่ก็มีหัวใจ และความสำเร็จของพวกเขาในฐานะคนทำหนังเรื่องแรก ก็ดูจะไปได้สวย และน่าจับตาว่าในภายภาคหน้า พวกเขาจะมีโปรเจกต์ใดรอสร้างใหม่อยู่อีกบ้าง
Tags: แฮร์ริส ดิกคินสัน, ภาพยนตร์, คริสเตน สจวร์ต, อีวา วิกเตอร์, People Also Watch, ซูฉี, Sorry Baby, The Chronology of Water, Urchin, Eleanor the Great, Girl, สการ์เล็ตต์ โจฮันส์สัน




