‘หนองคาย’ เมืองริมฝั่งโขง ดินแดนแห่งความเชื่อเรื่องพญานาคอันผูกโยงกับพุทธศาสนา แต่ละปีมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาให้เมืองดูคึกคักก็ต่อเมื่อเทศกาลงานบุญที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงงานประเพณี หนองคายกลายเป็นเมืองเล็ก บรรยากาศสงบเงียบ แต่ยังดึงดูดให้คนแวะเวียนมาทำความรู้จักวัฒนธรรมของเมืองนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป

และ ‘ศิลป์โสภา โฮสเทล’ ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่นักท่องเที่ยวเลือกมาพัก เพราะนอกจากจะมีโอกาสได้พบเพื่อนใหม่ที่พร้อมเที่ยวหนองคายไปด้วยกันแล้ว ด้วยคอนเซปต์ ‘นอนบ้านศิลปิน’ ที่นี่จึงเต็มไปด้วยงานศิลปะช่วยจรรโลงใจในโฮสเทลอบอุ่น

The Momentum พูดคุยกับ เม-ลลิดา ทองพีระ และต่าย-สุระ อนุตรพงษ์พันธ์ 2 ใน 5 ของเจ้าของศิลป์โสภา โฮสเทลที่เปิดทำการมานานถึง 9 ปี จากความคิดแรกของกลุ่มเพื่อนที่อยากเปิดแกลเลอรี เพื่อสร้างพื้นที่ศิลปะในหนองคาย และความหวังในวันนี้ที่อยากให้ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนบ้านเกิด

โฮสเทลที่เต็มไปด้วยศิลปะทุกอณู

จุดเริ่มต้นของศิลป์โสภาอาจไม่ได้เหมือนโฮสเทลทั่วไปที่วัตถุประสงค์หลักคือตั้งใจเปิดเป็นที่พัก เพราะที่แห่งนี้เกิดจากความสงสัยว่า หนองคายมีศิลปินอยู่บ้างหรือไม่

ต่ายเล่าว่า เดิมทีตนเป็นคนหนองคายที่ไปเรียนการออกแบบตกแต่งที่จังหวัดนครราชสีมา และได้คลุกคลีอยู่กับศิลปะ รวมถึงได้เจอเพื่อนและรุ่นพี่รุ่นน้องอย่างเม รวมถึง หนุ่ม-เกรียงศักดิ์ พุทธิชาติ และออมสิน-ชัยวุฒิ นิตสาวงศ์ ที่กลายเป็นหุ้นส่วนของศิลป์โสภาในปัจจุบัน

ต่าย-สุระ อนุตรพงษ์พันธ์ (ซ้าย) และเม-ลลิดา ทองพีระ (ขวา)

ก่อนทั้งหมดจะร่วมมือกันสร้างศิลป์โสภา โฮสเทลในหนองคาย เมื่อปี 2559 ต่ายก็เป็นอีกคนที่พลัดถิ่นฐานบ้านเกิดไปทำงานในจังหวัดเชียงใหม่ จึงเห็นว่าเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีศิลปินเยอะ จึงเกิดความคิดว่าอยากส่งเสริมศิลปะในท้องถิ่นบ้านเกิด และอีก 4 คน ก็เห็นตรงกันว่าอยากเปิดแกลเลอรีที่หนองคาย จึงเช่าบ้านที่ถนนมีชัย ใกล้อนุสาวรีย์ปราบฮ่อในตัวเมืองหนองคาย และหากต้องทำธุรกิจอะไรสักอย่างที่เหมาะสมกับแกลเลอรี ก็ต้องเป็นโฮสเทลเพื่อเปิดโอกาสให้มีคนเข้ามาพบเจอผลงานของศิลปินชาวหนองคายในบ้านหลังนี้ได้มากขึ้น

“ย้อนกลับไปเราอยากมีพื้นที่ให้ศิลปิน และอยากรู้ว่าในจังหวัดเรามีศิลปินไหม ซึ่งเพื่อนเราบอกว่ามี พอเปิดโฮสเทลทำให้เราได้เจอศิลปินมากขึ้น ได้เจอกระทั่งคนเขียนรูปโปสเตอร์หน้าโรงหนังสมัยก่อน เขียนโปสเตอร์หนังติดรถโฆษณา ได้เจอศิลปินที่เป็นอาจารย์แล้วมีลูกศิษย์ด้วย หรือเพื่อนของเพื่อน ไม่ใช่หนองคาย แต่รวมถึงในอุดรธานี และจังหวัดใกล้เคียงด้วย ซึ่งตอนแรกเราเริ่มทำก็ลุ้นนะ หวังว่าจะมี แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีศิลปินเยอะขนาดนี้” ต่ายเล่า

เมเสริมว่า เพราะต่ายเป็นคนหนองคาย และมีเครือข่ายกว้างขวาง ทำให้มีเพื่อนหลายคนเข้ามาช่วยโปรโมตโฮสเทล ทำให้คนอื่นรู้ว่าที่แห่งนี้ก็ขายงานศิลปะด้วย และสำหรับศิลปินที่สนใจก็สามารถนำผลงานมาวางขายได้ฟรี ทำให้ศิลป์โสภาเป็นที่พักของเหล่าคนรักศิลปะ ทั้งภาพเขียน โปสต์การ์ด ตุ๊กตา เสื้อ งานฝีมือ และหัตถกรรมท้องถิ่น

นอกจากเป็นพื้นที่แกลเลอรีแล้ว ศิลป์โสภายังเปิดห้องเรียนสอนศิลปะให้กับเด็กในหนองคายซึ่งเมเป็นคนดูแลในส่วนนี้ และยังมีคาเฟ่ที่ต่ายเล่าว่า ภาพวาดที่ติดอยู่เป็นผลงานของเด็กประถมที่มาเรียนวาดรูปที่นี่ ไปจนถึงรูปวาดที่แปะอยู่บนเครื่องชงกาแฟ ก็มาจากฝีมือของแขกที่มาพักเช่นกัน

“หน้าเครื่องชงกาแฟมีผลงานศิลปะที่วาดโดยลูกค้าแปะไว้เยอะเหมือนกัน หรือเด็กๆ ที่มาแล้วเห็นว่าผนังเราสามารถแปะรูปภาพได้ เขาก็วาดแล้วเอามาแปะ เพราะเราก็ชอบเก็บประสบการณ์เล็กๆ ของลูกค้าด้วย สิ่งเหล่านี้ทำให้เรามีความสุขมากที่ได้แบ่งปันกัน”

ในพื้นที่เดียวกัน เราสังเกตว่ามีเปียโนตั้งอยู่ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ที่นี่นอกจากจะสอนศิลปะแล้วที่นี่ยังสอนดนตรีอีกด้วย

ต่ายเล่าว่า ตนซื้อเปียโนกับกีตาร์มาวางไว้ เพื่อให้เด็กๆ ได้เข้ามาลองเล่น เพราะพื้นที่ของแกลเลอรีกับคาเฟ่ไม่ได้สงวนเฉพาะลูกค้าของโฮสเทลเท่านั้น แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ใช้เวลาว่างเข้ามาปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์

“เราซื้อเปียโนมาตั้ง จริงๆ เราก็เล่นไม่เป็นแต่ชอบดนตรี แล้วเราก็เพิ่งรู้ว่าเด็กหนองคายก็เล่นเป็นเยอะนะ เด็กวัยรุ่นมัธยมหลังเลิกเรียนก็มาเล่นกีตาร์ ที่นี่ก็ให้เล่นฟรี ปลดปล่อยความเป็นตัวเองได้เต็มที่”

ศิลปะในห้องพักที่เติมเต็มหัวใจ

ผลงานศิลปะในโฮสเทลไม่ได้มีแค่ในแกลเลอรีและโถงชั้นล่างกับคาเฟ่ เพราะห้องพักทุกห้องยังถูกตกแต่งด้วยศิลปะในทุกอณู และตั้งชื่อห้องพักตามชื่อของศิลปินชื่อดัง เพื่อสื่อว่าหากเลือกพักห้องนี้จะได้พบกับศิลปะในธีมอะไร

“แต่ละห้องเรามีคอนเซปต์ การวางชื่อห้องแต่ละห้องให้เป็นชื่อศิลปิน ทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น ห้องเฉลิมชัย ภายในตกแต่งด้วยกระดานที่สอนลายไทยตั้งแต่เริ่มจนมาประกอบลายจนเป็นพญานาค เป็นพุทธศิลป์ หรืออย่างห้องโมเนต์ (Monet), ห้องแวนโก๊ะ (Van Gogh) ห้องกุสทัฟ คลิมท์ (Gustav Klimt) หรือห้องปิกัสโซ (Picasso) ก็จะเอาคาแรกเตอร์ของงานเขาเข้ามาใช้ในการออกแบบ”

ทั้งนี้ศิลป์โสภามีทั้งสิ้น 8 ห้อง แบ่งเป็นประเภทดอร์มิทอรี (Dormitory) แยกชาย-หญิง ห้องละ 10 เตียง, ประเภทสแตนดาร์ด (Standard) และประเภทแฟมิลี (Family) ซึ่งห้องแบบดอร์มิทอรีจะคิดราคาต่อเตียง

“ส่วนใหญ่ลูกค้าของเราจะเป็นนักท่องเที่ยว เป็นคนที่ทำการบ้านมาก่อน ตั้งใจมาพักที่นี่เพราะห้องพักเราไม่เหมือนใคร แล้วเข้ามาพักเพราะเขาอยากเข้ามาเห็นห้องจริง” ต่ายเล่า

โฮสเทลอายุ 9 ปี ที่มองว่าธุรกิจเป็นเรื่องรอง

กระทั่งวันนี้ยังไม่ได้มองเรื่องธุรกิจอย่างเข้มข้น และไม่ได้มองว่ามีคู่แข่ง เพราะการทำพื้นที่ส่งเสริมศิลปะเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจและที่สำคัญไม่แพ้เงินทองที่จะได้รับ

“ไม่มีอะไรเป็นธุรกิจเลย ทำสนองความต้องการกัน” ต่ายตอบด้วยเสียงหัวเราะ

“จุดเริ่มคือศิลปะ แล้วเปิดโฮสเทลเพื่อให้มันอยู่ได้ ข้อเสียของเราคือรู้อยู่แล้วว่าเงินได้ช้าแน่นอน แต่มันสนุก แล้วเราอยากเข้าไปสัมผัส” เมเสริม

แม้จะมองเม็ดเงินเป็นเรื่องรอง และยึดมั่นในการทำศิลป์โสภาในคอนเซปต์นี้ แต่เสียงตอบรับจากแขกหลายคนที่มาเข้าพักได้ยืนยันว่า ที่นี่เดินมาถูกทางแล้ว 

“ย้อนกลับไปเราทำแบบไม่มีความรู้ด้านนี้ แค่คิดอยากจะทำ แล้วค่อยไปลุ้นผลอีกที แล้วมันก็ออกมาได้ตามที่เราวางแผนกัน โมเมนต์ที่มันสำเร็จคือ ตอนที่เราได้เจอลูกค้าเยอะๆ แล้วเกิดการแบ่งปันเรื่องราวกัน เกิดบทสนทนาจากหลายอาชีพ 

“ที่เราประทับใจที่สุดคือ มีแขกมาเข้าพัก เป็นวิศวกรที่มาสร้างตึกโรงพยาบาลใหม่ แล้วแอร์เราพัง เขามาซ่อมให้เราทั้งที่เป็นลูกค้า คือเขาก็มากินอยู่กับเรา ไปเที่ยวด้วยกัน เรารู้สึกเหมือนเขาเป็นครอบครัว รู้สึกว่าเขาอยากให้สิ่งดีๆ กับเรา นั่นคือความสำเร็จ แล้วเขามีความทรงจำดีๆ กับที่นี่ เขาก็มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ต่ายเล่าถึงความประทับใจ

หนองคายบ้านเรา

หนองคายเป็นเมืองเล็ก นักท่องเที่ยวที่มาในช่วงไม่มีเทศกาลใหญ่ จึงเป็นกลุ่มคนที่เข้ามาเพื่อโอบกอดความเงียบสงบจากเมืองนี้ เพราะหากเทียบกับหลายเมืองในไทย คงพูดว่าหนองคายเป็นเมืองที่เจริญได้ไม่เต็มปากนัก แต่จุดนี้คือเป็นข้อดีของหนองคายที่ใน 1 ปี จะมีหลายเดือนที่สามารถดื่มด่ำความบรรยากาศแบบดั้งเดิมได้

แต่ในอีกมุมหนึ่ง ความสงบเงียบของหนองคายจะส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยว ตลอดจนจำนวนแขกที่เข้าพักหรือไม่ 

“อยากให้หนองคายเป็นเมืองที่ไม่ต้องเร็วเกิน เป็นที่ฮีลลิงของทุกคน ซึ่งเราอยากให้ทุกคนได้สัมผัสได้ด้วยตัวเอง” เมกล่าว

“มีเมืองท่องเที่ยวที่เคยสโลว์ แต่พอวันหนึ่งคนเข้าไปเยอะจนล้น มันก็พัง ซึ่งที่ผ่านมามีหลายกรณีให้เราได้เห็น ส่วนใหญ่มาจากการจัดการเมืองที่ไม่ดี ทั้งสาธารณูปโภคหรือกฎระเบียบ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น กำหนดเรื่องอาคารสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งเราเชื่อว่าถ้ามีกฎหมายควบคุมที่ดี ต่อให้เมืองเจริญไปมากเท่าไร มันก็ไม่ทำลายหม้อข้าวหม้อน้ำตัวเอง” ต่ายกล่าว

ในฐานะที่เจ้าของศิลป์โสภาเป็นคนหนองคาย และเคยได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ ได้เห็นการพัฒนาของเมืองอื่นแล้ว เมื่อถึงจุดหนึ่งที่กลับมาปักหลักอยู่บ้านเกิด แล้วคนกลุ่มนี้อยากเห็นหนองคายเติบโตไปในทิศทางไหน 

“ส่วนตัวเราต้องการสร้างหนองคายให้เป็นมากกว่าเมืองทางผ่าน แต่เพราะเราเป็นคนตัวเล็กๆ ก็จะยากหน่อย แต่เราเชื่อว่าถ้าเมืองเจริญ ต้องเจริญได้ด้วยสถาปัตยกรรมหรือศิลปะก่อน เพราะมันมีเรื่องราวในนั้น หนองคายมีของเก่าที่ดี มีโบราณวัตถุและโบราณสถาน ขาดแต่การเชื่อมโยงกับคน และขาดการเชื่อมต่อโดยงานศิลปะ เราอยากให้มีกิจกรรมที่พาคนเข้าไปใกล้ชิดคุณค่าของสิ่งเหล่านี้มากขึ้น 

  “เรารู้ว่าบ้านเราจริงๆ ยังขาดการดูแลด้านการท่องเที่ยวที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ หมายถึงด้านวิชวล ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนเข้าถึงของดีของเมืองได้อย่างจริงจัง เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน” ต่ายอธิบาย

สุดท้ายนี้จากมุมมองของศิลป์โสภาผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่กับศิลปะได้ทิ้งท้ายให้ขบคิดว่า ความจริงแล้วศิลปะอาจเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเมืองได้มากกว่าที่หลายคนคิด

“เรารู้สึกว่าศิลปะ ธรรมชาติ และมนุษย์เป็นสิ่งเดียวกัน แม้บางคนจะบอกว่า ฉันไม่ได้ชอบธรรมชาติ ไม่ได้ชอบเรียนศิลปะ เขาอาจไม่รู้ตัวว่าศิลปะอยู่ในตัวเขานั่นแหละ ฉะนั้นถ้าพลเมืองมีพลังใจที่ดี บ้านเมืองก็ดีไปตามไปด้วย ทุกอย่างล้วนเอื้อกันหมด สุดท้ายเมืองจะขับเคลื่อนได้ด้วยศิลปะ การกระทำก็ศิลปะ คำพูดก็ศิลปะ ทุกอย่างคือศิลปะ” เมทิ้งท้าย

ขอบคุณการสนับสนุนอุปกรณ์ถ่ายภาพจาก Canon Imaging Thailand

Tags: , , , , , , , , , , ,