“เลือกตั้งครั้งหนึ่ง ใช้เงินฟาดหัวก็ซื้อได้แล้ว”
“คนอีสาน พวกควายแดงขี้ข้าทักษิณ”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในหลายสิบปีที่ผ่านมา สังคมไทยคุ้นชินกับปรากฏการณ์ ‘เหยียดคนอีสาน’ นอกเหนือจากการเหยียดรูปลักษณ์ หน้าตา และชาติพันธุ์ อีกชุดความคิดที่ผลิตซ้ำส่งต่อมา คือวาทกรรมดูถูกความคิดทางการเมือง พร้อมภาพจำว่า เพราะคนอีสานจนที่สุดในประเทศ ไร้การศึกษา ถูกหลอกเพราะเงินไม่กี่บาท จึงยอมหลับหูหลับตาเลือกนักการเมืองชั่ว เข้ามาในบริหารประเทศ
แต่หากย้อนดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อีสานคือพื้นที่สำคัญในการต่อสู้ทางการเมือง เต็มไปด้วยพลวัตทางความคิด โดยเฉพาะความเป็น ‘นักสู้’ เพื่อประชาธิปไตยและความเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็น ‘กบฏผีบุญ’ ผู้เรียกร้องความเป็นธรรมในสังคม, นักการเมืองสายประชาธิปไตยอย่าง 4 รัฐมนตรีชื่อดัง ได้แก่ ทองอินทร์ ภูริพัฒน์, ถวิล อุดล, จำลอง ดาวเรือง, และเตียง ศิริขันธ์ หรือการเป็น ‘พื้นที่สีแดง’ ฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ไปจนถึงกลุ่มคนเสื้อแดงและเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ล้วนต่อสู้เพื่อเสรีภาพในปัจจุบัน
The Momentum พาทุกคนอ่านสำนึกทางการเมือง และประวัติศาสตร์ความเป็นนักสู้ของอีสานว่า ทำไมภูมิภาคนี้จึงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และตื่นตัวในทางการเมืองเป็นพิเศษ โดยพูดคุยกับ ประวิทย์ สายสงวนวงศ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้เขียนหนังสือ เปลี่ยนอีสานให้เป็น “ไทย”: อุดมการณ์รัฐชาติกับสํานึกการเมืองของคนที่ราบสูง และวิภาวี ศรีฟ้า อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ทำวิจัยเรื่องชนชั้นแรงงานอีสานในช่วงการเข้ามาของทหารอเมริกัน
ไม่เป็นกลุ่มก้อน ไร้เอกภาพ: สำนึกทางการเมืองคนอีสานในรัฐโบราณ
‘พื้นที่ชายขอบ’
คือภูมิรัฐศาสตร์ของอีสานในรัฐจารีตที่ อาจารย์ประวิทย์นิยามให้เห็นภาพ ขยายความคือ การเป็นพื้นที่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของอำนาจอย่างสยามและล้านช้าง ทำให้อีสานเป็นแหล่งอพยพของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ เช่น เมื่อเกิดปัญหาทางเวียงจันทน์ กลุ่มต่อต้านก็จะหนีมาตั้งเมืองทางอีสาน และสวามิภักดิ์กับอีกศูนย์กลางของเมืองอย่างสยามเพื่อคานอำนาจ
ด้วยลักษณะภูมิศาสตร์ดังข้างต้น ทำให้สำนึกทางการเมืองในยุคโบราณของอีสานไร้ความเอกภาพ โดยไม่ได้อิงกับขอบเขต เชื้อชาติ หรือกลุ่มก้อนทางความคิด แต่เชื่อมโยงกับผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม สำนึกทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางศาสนาแบบชาวบ้าน ซึ่งจะเห็นได้ว่า บางครั้งกลุ่มทางการเมืองจากลาวเป็นพันธมิตรกับเมืองในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นศัตรูกับกลุ่มที่พูดภาษาลาวด้วยกันเอง
แม้จะมีเหตุการณ์ ‘กบฏเจ้าอนุวงศ์’ ในปี 2369 ที่สะท้อนสำนึกทางการเมืองของคนอีสาน ผ่านการอธิบายเรื่องราวว่า ลาวถูกสยามขูดรีด แต่ความคิดดังกล่าวก็ยังอยู่ในระดับชนชั้นนำ และไม่ชัดว่าได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในความคิดทางการเมืองระดับประชาชน
กบฏผีบุญ: ภาพแทนสำนึกทางการเมืองคนอีสานในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อย่างไรก็ตาม จุดตั้งต้นความคิดทางการเมืองในอีสานที่มีลักษณะกลุ่มก้อน คือเหตุการณ์ ‘กบฏผีบุญ’ ในสมัยรัชกาลที่ 5 แม้จะมีลักษณะผูกโยงกับศาสนา คือความเชื่อเรื่องผู้มีบุญญาธิการปกครองบ้านเมือง แต่แก่นทางความคิดคือ การสร้างสังคมใหม่ที่เท่าเทียม รื้อถอนสังคมเดิมที่ย่ำแย่ ถือเป็นสำนึกทางวัฒนธรรมที่แผ่ขยายไปถึงดินแดนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำโขง
อาจารย์ประวิทย์อธิบายว่า การที่สยามเข้าสู่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือการรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกบฏผีบุญ เพราะผู้นำทางการเมืองเสียผลประโยชน์ อย่างอำนาจเต็มเม็ดเต็มหน่วยทางการเมืองและเศรษฐกิจ ขณะที่ประชาชนยังเผชิญปัญหาปากท้อง ถูกบังคับให้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่ทำการแลกเปลี่ยนซื้อขายด้วยเงิน การดำเนินวิถีชีวิตแบบเดิม เช่น การตัดไม้ การเคลื่อนย้ายหรือฆ่าสัตว์เศรษฐกิจ กลายเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐ
กล่าวได้ว่า รัฐสมัยใหม่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อภาคอีสานทั้งในเชิงกายภาพและความคิด โดยผลกระทบทางกายภาพ คือ การเชื่อมโยง 2 พื้นที่อย่างกรุงเทพฯ และอีสานเข้าด้วยกัน ผ่านการสร้างสถานที่ราชการหรือเส้นเดินทางรถไฟ ขณะที่ผลกระทบด้านความคิดคือ การสร้าง ‘อีสานให้เป็นไทย’ ด้วยการจัดการศึกษา สร้างประดิษฐกรรมทางความคิด ทำให้อีสานเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสมัยใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ
ขณะที่อาจารย์วิภาวีมองว่า ในขั้นตอนการปฏิรูปประเทศสมัยรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อีสานต้องเผชิญกับภาวะ ‘อาณานิคมภายใน’ (Internal Colonization) หรือกระบวนการที่สยามพยายามควบคุมครอบงำกลุ่มที่มีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมที่แตกต่างในรัฐเดียวกัน โดยเป็นกระบวนการตอบสนองต่อการล่าอาณานิคมจากภายนอก ส่วนกลางจึงต้องใช้วิธีปฏิรูปราชการ และกดทับความแตกต่างทางการเมืองในท้องถิ่น เพื่อให้สามารถควบคุมพลเมือง และรับมือต่อความท้าทายจากกระแสภายนอก
นอกจากนี้การสร้างอัตลักษณ์แบบไทย ยังเป็นส่วนสำคัญของการสร้างอาณานิคมภายใน โดยสยามพยายามปลูกสำนึกพลเมืองผ่านการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยกระแสหลัก และจัดวางตำแหน่งแห่งที่ในสังคม เช่น การสร้างลำดับชั้นทางวัฒนธรรมที่ชี้ว่า วัฒนธรรมไทยกลางอยู่สูงสุด ทุกคนควรต้องเรียนรู้ และควรเข้ามาแทนที่วัฒนธรรมท้องถิ่นที่ด้อยกว่า
อย่างไรก็ตามอาจารย์ประวิทย์ตั้งข้อสังเกตว่า แม้กบฏผีบุญไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่นำโดยอุดมการณ์การเมืองสมัยใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเปลี่ยนแปลงสังคมหรือระบอบการปกครองอย่างถอนรากถอนโคน เพียงแต่หวังสร้างรัฐเล็กๆ ปกครองเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนผู้นำ แต่ก็ซื้อใจใครหลายคน ซึ่งก็น่าสนใจว่า กบฏผีบุญยังเกิดขึ้นแม้แต่ในยุครัฐสมัยใหม่ของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ด้วยเช่นกัน
กลุ่มพลังทางสังคมใหม่: ผลผลิตจากรัฐสมัยใหม่ กระบอกเสียงผลักดันการปฏิวัติ 2475
ในอีกมุมหนึ่ง รัฐสมัยใหม่ก็ก่อให้เกิดกลุ่มคนอีสานรุ่นใหม่อย่าง ‘กลุ่มพลังทางสังคมใหม่’ หรือคนหนุ่มสาวในอีสานที่เกิดในครอบครัวผู้มีฐานะ สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้
ลักษณะเด่นของกลุ่มพลังทางสังคมใหม่คือ คนท้องถิ่นรุ่นใหม่ที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัฐส่วนกลางผ่านการศึกษา มีสถานะทางสังคม และหน้าที่การงานดี เติบโตโดยอาศัยความสามารถส่วนตัว ต้องพยายามพิสูจน์ฝีมือของตนเอง และมีสำนึกความเป็นพลเมืองชัดเจนต่างจากคนรุ่นก่อน เช่น ครูอ่ำ บุญไทย, เตียง ศิริขันธ์ หรือทองอินทร์
สาเหตุที่คนกลุ่มนี้ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะเห็นความแตกต่างระหว่างสังคมเมืองกับชนบทที่ต่างกันราว ‘ฟ้า’ กับ ‘เหว’ ขณะที่ยังมองว่า ระบบราชการที่ตนทำงานมีปัญหา ไม่ยุติธรรมกับคนรุ่นใหม่ที่ใช้ความสามารถไต่เต้าหน้าที่การงาน พร้อมกับตั้งคำถามกับโครงสร้างว่า สิ่งที่ตนได้ร่ำเรียนมานั้นแก้ไขไม่ได้อะไรไม่ได้เลย
“ข้อสำคัญที่ข้าพเจ้าสำเหนียกมานานก็คือว่า บุคคลที่เป็นคนพื้นเมือง ถ้าหากจะเข้ารับราชการก็จะถูกกดโดยธรรมชาตินี้เป็นความจริงแท้ๆ”

ทองอินทร์
คือข้อเขียนของ ทองอินทร์ อดีต สส.อุบลราชธานี ต่อระบบราชการ โดยอาจารย์ประวิทย์หมายเหตุไว้ว่า กลุ่มคนเหล่านี้เป็นเสียงสะท้อนปัญหาจากระบอบเก่า และแรงขับเคลื่อนที่นำไปสู่การปฏิวัติการปกครอง 2475 ซึ่งขณะนั้นไม่ได้มีแค่กลุ่มพลังทางสังคมจากอีสาน แต่ทุกภาคสังคมในสยาม โดยเฉพาะชนชั้นนำต่างรับรู้ว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สั่งการจากบนลงล่าง ไปไม่รอดแล้ว
แน่นอนว่า เมื่อเกิดการปฏิวัติ 2475 ที่มาพร้อมความคิดเรื่องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมือง สำนึกทางการเมืองเพื่อประชาธิปไตย จึงยิ่งเด่นชัดในหมู่คนรุ่นใหม่และชนชั้นนำ พวกเขามีความรู้สึกว่าต้องเคลื่อนไหวเพื่อส่วนรวม ชาติบ้านเมือง และท้องถิ่น
เห็นได้ชัดเจนจากการร่วมมือปราบกบฏบวรเดชในปี 2476 เพราะประชาชนรู้สึกว่า บ้านเมืองกำลังจะถอยหลังกลับสู่ระบอบเดิม จึงมีภาพของข้าราชการระดับเล็กและประชาชนเข้าร่วม เช่น ข้าราชการ ช่างไปรษณีย์ช่วยกันดักฟังโทรเลข พระบางรูปขันอาสาเทศนารับเทศนาอธิบายข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หรือผู้นำบางคนร่วมกลุ่มอาสาสมัครชาวบ้านสู้กับกบฏไม่ให้ยึดเมือง
“หากไม่เกิดการปฏิวัติ 2475 ขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าก็จะยังคงเป็นนายเถื่อนอยู่ รอแดดจะเก็บฝ้าย รอฝนจะตกกล้า หากคนเหี้ยแห่งกรุงศรีอยุธยามานั่งเมือง ข้าพเจ้านายเถื่อนก็คงหลงก้มกราบโดยสำคัญผิดว่าคนดี”
คือข้อเขียนส่วนหนึ่งของถวิล อุดล อดีต สส.ร้อยเอ็ด ที่เป็นภาพสะท้อนวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ว่า เป็นโอกาสสำคัญทำให้คนเป็นคน ไทยเป็นไทย คนเป็นพลเมืองจริงๆ มีสถานะเท่าเทียมกัน

เตียง ศิริขันทร์
อย่างไรก็ตามอาจารย์ประวิทย์หมายเหตุไว้ว่า สำนึกทางการเมืองระดับชาวบ้านในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ยังไม่เข้มข้นเท่ายุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กำลังหันเหจากแนวทางเดิมของคณะราษฎร คือการเป็นรัฐเผด็จการที่ปฏิเสธการมีส่วนร่วมของคนอีสาน ทำให้เกิดการรวมตัวระหว่างชาวบ้านกับคนรุ่นใหม่ คือ ‘เสรีไทยสายอีสาน’ ซึ่งเป็นการจัดตั้งองค์กรทางการเมืองสมัยใหม่ โดยไม่ได้ยึดติดกับความเชื่อทางศาสนาและพลังท้องถิ่น แต่เชื่อมโยงกับอุดมการณ์การเมืองว่า นี่คือการต่อสู้เพื่อชาติ ทุกคนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าการเสียภาษี
เสรีไทยสายอีสานมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 1 หมื่นคนทั่วภูมิภาค ทั้งคนธรรมดา ชาวบ้าน ครู และนักการเมือง โดยมีเทือกเขาภูพานเป็นฐานบัญชาการหลัก ขณะที่การเมืองท้องถิ่นเข้มแข็ง เพราะนักการเมืองสายอีสานทั้ง 4 คนอย่าง เตียง, ทองอินทร์, ถวิล และจำลอง เข้าหาประชาชน และรับฟังปัญหาอย่างจริงจัง ทำให้ได้รับความรักและศรัทธาจากคนในท้องถิ่น
อีสานในฐานะ ‘พื้นที่สีแดง’ กับการเข้ามาของจักรวรรดิอเมริกา
แต่เมื่อถึงช่วงปี 2490-2500 ความสำคัญทางการเมืองของอีสานผันแปรตามการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ในฐานะ ‘พื้นที่ความมั่นคง’ จากภัยคอมมิวนิสต์ ตามมุมมองของรัฐไทยและสหรัฐอเมริกา มหาอำนาจโลกเสรี ที่เข้ามามีอิทธิพลในประเทศ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้อินโดจีนถูกกลืนกินจากภัยสีแดงตามทฤษฎีโดมิโน (Domino Theory)
อาจารย์ประวิทย์อธิบายว่า สาเหตุการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสม์ในภาคอีสาน นอกจากอุดมการณ์ส่วนตัว อีกปัจจัยสำคัญคือปัญหาปากท้อง แม้สังคมจะเข้าสู่รัฐสมัยใหม่ แต่อีสานยังเผชิญสภาวะดังกล่าวเรื่อยมา
“วาทกรรม ‘โง่-จน-เจ็บ’ มันต่างอย่างไรกับคำว่า ‘ผีบ้า-ผีบุญ’ มันคือการมองข้ามภาพความทุกข์ยากกับปัญหาที่เขา (คนอีสาน) เผชิญ ทำให้การจัดตั้งทางการเมืองเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างชัดเจน ต่อเนื่องมาจนถึงการแพร่หลายของแนวคิดสังคมนิยม ถึงขั้นที่ในสภามีสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย”
อาจารย์จากมหาวิทยาลัยบูรพาอธิบายเสริมว่า ความทุกข์ยากเหล่านี้ถือเป็นเชื้อเพลิงแห่งการปฏิวัติชั้นดี ทำให้อีสานเหมาะกับการเป็นพื้นที่แห่งการปฏิวัติ และฐานใหญ่ของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในเวลาต่อมา
ขณะที่อาจารย์วิภาวีมองว่า ลัทธิคอมมิวนิสม์ซื้อใจคนอีสานได้บางส่วน เพราะขายแนวคิดเรื่องความเท่าเทียม คนเท่ากันทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงการสร้างสังคมที่ไร้ชนชั้น ซึ่งสวนทางกับประสบการณ์ที่พวกเขาเผชิญตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จากกระบวนการอาณานิคมภายใน กล่าวคือ รัฐไทยไม่ได้เหลียวแลอีสานในสมัยก่อนหน้านี้ แต่พยายามแสวงหาประโยชน์ ปราบปราม กลืนวัฒนธรรม ซึ่งสภาวะเหล่านี้ดำเนินมาต่อเนื่องจนถึงรัฐสมัยใหม่
“ชาวบ้านไม่ได้ Innocent เขารับรู้ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้าง ตรงนี้มันยิ่งซ้ำเติมช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่รัฐไทยกวาดล้าง กำจัดนักการเมืองอีสาน เช่น คนอีสานเลือกตัวแทนของเขามา แต่ตัวแทนถูกบังคับสูญหาย เขาเลยรู้สึกว่า เสียงของตนเองไม่ได้รับการเคารพ” อาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรอธิบาย
ขณะเดียวกันสถานะพื้นที่ความมั่นคงของอีสานในสายตาของไทย ยังถูกนิยามจากความแปลกแยก เพราะวัฒนธรรมหรือตัวตนไม่ยึดโยงอัตลักษณ์ของส่วนกลาง แต่มีความสนิทชิดเชื้อกับลาวมากกว่า เห็นได้จากกรณีเสรีไทยสายอีสานเคยให้ความช่วยเหลือขบวนการชาตินิยมในลาว โดยมองว่าเป็นการช่วยเหลือ ‘พี่น้อง’ กันมากกว่าเป็นศัตรู
อย่างไรก็ตาม อาจารย์วิภาวีหมายเหตุไว้ว่า สำนึกทางการเมืองของคนอีสานที่ฝักใฝ่แนวคิดคอมมิวนิสต์มีอยู่ไม่มากนัก เพราะรัฐไทยประสบความสำเร็จในการปลูกฝังแนวคิดชาตินิยม โดยเฉพาะการเคารพรักในสถาบันหลัก เช่น การสร้างวาทกรรมว่า หากคอมมิวนิสต์กลืนกินไทย สถาบันหลักของประเทศจะล่มสลาย
“ในสมัยสงครามเย็น สเกลของคอมมิวนิสต์ในอีสานไม่เคยเติบโต ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามใหญ่ที่จะล้มรัฐบาลไทยได้ อีสานในฐานะพื้นที่สีแดง เปราะบางต่อความมั่นคง จึงเป็นการฉายภาพที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงมากนัก”
ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์อธิบายว่า ในช่วงที่มีการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ในอีสาน สหรัฐฯ ยังเล่นบทเกื้อหนุนรัฐไทยผ่านนโยบายการพัฒนาที่เข้าถึงอีสานผ่านเลนส์ความมั่นคงมากกว่าการพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจ เช่น การสนับสนุน Propaganda ผ่านหน่วยพัฒนาเคลื่อนที่ (Mobile Development Unit) ด้วยการฉายภาพยนตร์ ส่งใบปลิวที่ต้านภัยคอมมิวนิสต์ ขณะที่มีการสอดแนมและจับตามองพฤติกรรม อย่างการจดบันทึกปฏิกิริยาของชาวบ้านทั่วไปว่าพูดอะไร จนถึงการสอดแนมว่า ใครเป็นคอมมิวนิสต์แฝงตัว
มรดกสงครามเย็นในอีสาน: พลังของผู้หญิงและคนอีสานในฐานะชาวบ้านผู้รู้โลกกว้าง (Cosmopolitan Villagers)
ทว่าการเข้ามายังอีสานของสหรัฐฯ ในนามของ ‘ผู้พัฒนา’ ไม่ได้ช่วยให้ชาวอีสานกินดีอยู่ดีขึ้นมากนัก ช่องว่างทางรายได้ระหว่างกรุงเทพฯ กับอีสานยังคงขยายกว้างขึ้น จากการพัฒนาเศรษฐกิจด้านการเกษตรที่กระจุกตัว โครงการพัฒนาสาธารณูปโภคไม่ได้คำนึงถึงบริบทท้องถิ่น ขณะที่วัฒนธรรมเดิมถูกทำลาย จนผู้คนรู้สึกว่า อีสานห่างไกลจากการเข้าถึงความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและการเมือง
สถานการณ์ยิ่งซ้ำเติมในช่วงหลังปี 2518 เมื่อสหรัฐฯ ถอนฐานทัพออกไปหลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม ทำให้รายได้ท้องถิ่นที่เคยพึ่งพาคนอเมริกันหดหาย เศรษฐกิจซบเซา ขณะที่นโยบายรัฐก็ไม่ได้รับมืออย่างมีประสิทธิภาพ

ค่ายรามสูร
ในช่วงการมาตั้งฐานทัพของสหรัฐฯ กลุ่มประชากรที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและวิถีชีวิตอย่างมากคือ ‘ผู้หญิงอีสาน’ ซึ่งแต่เดิมเป็นแรงงานในครอบครัว ทำงานบ้าน ไม่ได้รับค่าจ้าง แต่การเข้ามาของทหารอเมริกัน แปรเปลี่ยนสถานภาพสตรีเพศเหล่านี้ ผ่านการสร้างพลังทางเศรษฐกิจและยกระดับสถานะทางสังคม ซึ่งแปรเปลี่ยนพลวัตทางอำนาจทั้งในครอบครัวและชุมชน
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่วนหนึ่งสะท้อนจากการเดินขบวนของกลุ่มผู้หญิงอีสานที่เคยทำงานบาร์ในจังหวัดนครราชสีมา 500-600 คน โดยออกมาสนับสนุนทหารอเมริกัน และต่อต้านการถอนฐานทัพออกจากประเทศ เพราะกลัวว่าหากไม่มีทหารอเมริกัน เศรษฐกิจในอีสานจะแย่ลง
“การกล้าออกมาแสดงความคิดเห็นสาธารณะแบบนี้เท่ากับว่า เขาตระหนักถึงพลังทางการเมืองของตัวเองพอสมควรว่า สามารถส่งเสียงไปถึงรัฐบาลหรือสังคมที่ใหญ่ขึ้นได้ และตัวเองสามารถเรียกร้องได้เช่นเดียวกับที่นักศึกษาออกมาประท้วงไล่อเมริกันในตอนนั้น เพราะการเข้ามาของทหารอเมริกันเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญ ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมทางเพศ แต่เป็นแรงงานในไซต์ก่อสร้าง แม่บ้าน งานบริการ ร้านอาหาร โรงแรม ซึ่งผู้หญิงล้วนแล้วแต่เป็นกำลังสำคัญ
“การมีฐานทัพหมายถึงการมีรายได้ ความมั่นคงของเศรษฐกิจของตนเองและครอบครัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐไทย ไม่ใช่ว่าผู้หญิงอีสานไม่ได้เห็นข้อเสียของสหรัฐฯ เขาเห็น เขาบ่นถึงประสบการณ์ถูกกดขี่ ถูกดูถูก แต่ฐานทัพคือการประกันคุณภาพชีวิตของเขา ทำให้รู้สึกว่า ถ้าถอนฐานทัพ เขาว่างงาน เศรษฐกิจถดถอยแน่นอน ก็เลยออกมาเดินขบวน
“เขามองการเมืองในแง่ผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เขาอาจจะไม่ได้มองเรื่องจักรวรรดินิยมอเมริกัน หรือการถูกรุกล้ำอธิปไตยไทย หรือประเทศเพื่อนบ้านได้รับผลกระทบจากสงคราม แต่เขาเห็นว่า เศรษฐกิจท้องถิ่นต้องพึ่งพิงการใช้จ่ายของทหารสหรัฐฯ”
อาจารย์วิภาวีอธิบายว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คนอีสานรู้เรื่องความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างดี ไม่ได้นิ่งเฉยแบบที่ใครคิด โดยในภายหลังเราจะเห็นว่า พวกเขาออกมาแสดงพลังหลายครั้ง แสดงความคิดเห็น แสดงสิทธิในการเรียกร้องทั้งในประเด็นเศรษฐกิจและการเมือง
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจซบเซา เป็นเหตุให้คนอีสานจำนวนหนึ่งออกไปแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจนอกประเทศ เช่น ในตะวันออกกลาง ซึ่งหากอธิบายกรอบสำนึกทางการเมือง ผ่านคำอธิบายของ ชาร์ลส์ เอฟ. คายส์ (Charles F. Keyes) ศาสตราจารย์เกียรติคุณทางด้านมานุษยวิทยา อย่าง ‘ชาวบ้านผู้รู้โลกกว้าง’ (Cosmopolitan Villagers) จะเห็นว่า คนอีสานคือผู้ที่เห็นโลกกว้างมาเยอะ ไม่ได้ไร้เดียงสาแบบที่ใครกล่าวหา และส่วนหนึ่ง ความเจนจัดโลกนี้เกิดจากที่สหรัฐฯ เข้ามา ทำให้คนอีสานได้เห็นโอกาสใหม่ๆ ผ่านสินค้าโภคภัณฑ์ วัตถุนิยม การแลกเปลี่ยนข่าวสาร หรือแม้แต่ความสามารถกำหนดชะตากรรมของตนเอง
“ทหารอเมริกันเข้ามากับความคิดอำนาจของปัจเจก การใช้ชีวิตอย่างมีอิสรภาพ เสรีภาพ คนอีสานบางส่วนจึงคิดว่า เขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อม หรือโครงสร้างที่กดทับขนาดนี้ พอเขาได้ติดต่อทหารอเมริกันและต่อมามีกระแสการอพยพไปทำงานต่างประเทศ ชาวอีสานเหล่านี้มีความกล้าที่จะเผชิญโลกภายนอก แสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้ตนเองและครอบครัว” อาจารย์วิภาวีอธิบาย
เพราะการต่อสู้เป็นสำนึกทางการเมืองของอีสาน
“ประวัติศาสตร์การต่อสู้อยู่คู่กับคนอีสาน”
อาจารย์ประวิทย์สรุปพัฒนาการประวัติศาสตร์ของอีสานตั้งแต่อดีตปัจจุบันว่า อยู่คู่การต่อสู้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เชิงสังคมเศรษฐกิจ การปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำ ต้องผลัดถิ่นบ้านเกิดสู่เมืองใหญ่ บ้างต้องทำงานในต่างประเทศ หรือเป็นเมียเช่าอย่างที่ใครตีตรา ขณะที่การต่อสู้ในเชิงการเมืองก็เข้มข้นไม่แพ้กัน อย่างกรณีป่าล้อมเมือง หรือการรักษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไว้
น่าสนใจอย่างยิ่งว่า หากมองภาพเหตุการณ์ปัจจุบัน สำนึกทางการเมืองคนอีสานในปัจจุบันมีความภาคภูมิต่อกระแส ‘ภูมิภาคนิยม (Regionalism)’ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากการที่มวลชนคนรุ่นใหม่หยิบเรื่องราวการต่อสู้ของคนรุ่นก่อน มาเป็นแรงบันดาลใจในปัจจุบัน เช่น การเคลื่อนไหวระลึกเรื่องราวของกบฏผีบุญ หรือนักการเมืองอีสานในอดีต ไม่ให้ความทรงจำหายไป
นอกเหนือจากการต่อสู้ในการเมืองภายใน หากมองอิทธิพลภายนอกอย่างการเข้ามาของสหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับแนวคิดเรื่องปัจเจกชนและเสรีภาพ รวมทั้งการอพยพไปแสวงหาโอกาสภายนอกประเทศ อาจารย์วิภาวีมองว่า ปัจจัยดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งทำให้คนอีสานมีสำนึกทางการเมือง ที่มองตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกระแสความเปลี่ยนแปลงในโลก ซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดแค่กรอบความเป็นประชาชนคนไทยอย่างเดียว
แม้อีสานพัฒนาขึ้นมากๆ ไม่ได้ยากจนที่สุดในประเทศอีกต่อไป แต่เธอก็ชวนตั้งคำถามต่อว่า การพัฒนาดังกล่าวมาจากความช่วยเหลือรัฐไทย หรือรายได้ที่คนอีสานต้องดิ้นรนทำงานในต่างประเทศ แล้วส่งกลับมาในบ้านเกิด และการพัฒนาภายในภูมิภาคเองเป็นสัดส่วนเท่าไรต่อเท่าไร ขณะที่มายาคติอีสาน ‘ด้อยพัฒนา’ และ ‘แปลกแยก’ กว่าที่อื่น ยังถูกผลิตซ้ำในสื่อ จนการตีตรานี้ลุกลามในแง่มุมอื่นๆ เช่น มาตรฐานความงาม (Beauty Standard) อย่างการหยิบคำว่า ‘หน้าลาว’ มาด่าทอผู้อื่น ซึ่งปรากฏการณ์นี้ยิ่งรุนแรงขึ้นจากกระแสโซเชียลฯ ที่ทุกคนแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้
“เพราะอีสานที่ปรากฏในสื่อคือ จน แล้ง ด้อยพัฒนา พอคำว่าอีสานขึ้นมา บางคนยังคิดถึงภาพของทุ่งกุลาร้องไห้ที่แตกระแหง สิ่งนี้คือมายาคติในความคิดกระแสหลักที่ยังลบไม่ออก และไม่ได้สะท้อนความจริง” อาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรสรุป
แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่เป็นบทเรียนชั้นครูในประวัติศาสตร์การเมืองอีสาน จากอดีตจนถึงปัจจุบันคือ การผลักไสให้อีกฝ่ายไม่มีตัวตนในทางการเมือง และการลดทอนดูถูกทางความคิด นำมาซึ่งความเลวร้ายเสมอ
“ไม่ว่านโยบายของรัฐจะเป็นประชานิยมหรือไม่ แต่มันเป็นคนละเรื่องกับการเอาอำนาจจากภายนอกมาปฏิเสธการมีส่วนร่วมของประชาชน
“ประวัติศาสตร์ที่ปฏิเสธการมีส่วนร่วมของประชาชน นำมาสิ่งซึ่งแย่เสมอ และการที่พวกเขาต่อต้าน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการปฏิเสธการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน” อาจารย์ประวิทย์ทิ้งท้าย
Tags: ประชาธิปไตย, ภาคอีสาน, อีสาน, คณะราษฎร, ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, วิภาวี ศรีฟ้า, สงครามเย็น, ฟ่าว To The Future, 2475, Isaan, Cityscape, สำนึกทางการเมือง, สหรัฐอเมริกา, กบฏผีบุญ, คอมมิวนิสต์, คนอีสาน