“กรุงเทพฯ เหมือนหม้อโฮะ ที่รวมทุกอย่าง จีนก็มี มุสลิมก็มี ไทยแท้ๆ ก็มี คือที่นี่รวมความหลากหลาย”

เต้-จิราภรณ์ วิหวา ผู้ก่อตั้ง Neighbourmart เล่าถึงเสน่ห์ของเมืองหลวง

เต้เล่าว่า ความน่าสนใจของกรุงเทพฯ ไม่ได้อยู่แค่ความเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจหรือโอกาสใหม่ๆ แต่ซ่อนอยู่ในเลเยอร์ของเรื่องเล็กๆ ที่ผสานผู้คนและวัฒนธรรมหลากหลายไว้ด้วยกัน ตั้งแต่โรงน้ำปลาเก่าแก่ ไปจนถึงเรื่องเล่าของชุมชนมุสลิมที่อยู่ในพื้นที่นี้มาก่อนคนจีนเสียอีก เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกในตำรา แต่เป็นความทรงจำและเสียงเล่าจากอากงอาม่าร้านขายยา ร้านเย็บผ้า หรือข้าวของเครื่องใช้ที่ยังคงถูกหยิบจับอยู่ในชีวิตประจำวัน

สิ่งเหล่านี้คือคุณค่าของกรุงเทพฯ ที่อยากเก็บ ร้อยเรียง และถ่ายทอดให้ชัดเจนขึ้น ผ่าน Neighbourmart ห้าง (ซัพ) สินค้าที่ซัพพอร์ตย่านต่างๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งสินค้าเก่าแก่และสินค้าที่มีเรื่องราวมาวางขาย เพื่อให้ผู้คนได้เห็นภาพอีกชั้นหนึ่งของเมืองที่ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว

Neighbormart เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะเล่าเรื่องเมืองในรูปแบบที่ยั่งยืน และความหลงใหลในการเล่าเรื่องเมือง จึงอยากสร้างพื้นที่ที่มากกว่าแค่การทำคอนเทนต์หรือกิจกรรมชั่วคราว แต่เป็นการสร้างวงจรที่สนับสนุนคนท้องถิ่นอย่างแท้จริง

“เราร่วมมือกับทาง CEA ซึ่งมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน โดย CEA (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)) ได้เข้ามาสนับสนุนในหลายด้าน ทั้งพื้นที่ เงินทุน และองค์ความรู้ เพื่อให้ Neighbormart เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา Neighbourmart จึงเปรียบเสมือนห้างที่รวบรวมสินค้าท้องถิ่นที่มีเรื่องราวและเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้ผู้คนได้เข้ามาสนับสนุนสินค้าพื้นเมืองเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน” เต้กล่าว

จนถึงตอนนี้ Neighbourmart ก้าวสู่ปีที่ 2 เต้เล่าว่า ฟีดแบ็กดีกว่าที่คาดไว้ จากตอนแรกคิดว่ากลุ่มเป้าหมายเล็กและจำกัดอยู่ในคนทำงานหรือสนใจเรื่องเมือง แต่จริงๆ แล้วมีคนรุ่นใหม่เข้ามามากกว่าที่คิด โดยเฉพาะช่วง Bangkok Design Week ที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า มีกลุ่มคนที่ชอบและชื่นชมสิ่งที่ทีมงานคัดสรรไว้เยอะพอสมควร แม้ไม่ใช่กลุ่มแมสแต่ก็กว้างกว่าที่คิดมาก

3 ภารกิจหลักในการซัพพอร์ตของดีในกรุงเทพฯ

Neighbourmart ไม่ได้แค่รวบรวมสินค้าต่างๆ จากในกรุงเทพฯ แต่ยังมี 3 ภารกิจที่ขับเคลื่อนอยู่เงียบๆ ทั้งการเป็นพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวได้รู้จักแบรนด์ไทย เนื่องจากบางแบรนด์เป็นแบรนด์เก่าแก่อยู่มานาน และมีลูกค้าประจำอยู่แล้ว แต่ต้องการต่อยอดธุรกิจเพื่อหาลูกค้าใหม่

ภารกิจถัดมาคือ การเก็บรักษาเรื่องเล่าของร้านเหล่านั้นไว้ เรื่องเล่าบางเรื่องอาจไม่ได้อยู่ในตำรา เพราะเป็นเรื่องราวที่บอกต่อกันมา Neighbourmart จึงอยากเก็บรักษาเรื่องราวที่เป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ 

และภารกิจสุดท้ายคือ การสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ร้านค้า แม้การวางจำหน่ายของที่นี่จะมียอดขายไม่มาก แต่ร้านก็สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง ผ่านการจับคู่แบรนด์ใหญ่กับแบรนด์เล็กให้ทำโปรเจกต์ร่วมกัน ที่ไม่ใช่แค่การทำ CSR อย่างเดียว โดย Neighbourmart จะครีเอตและประสานงาน เพื่อให้เกิดขึ้นภายใต้เป้าหมายที่ต้องการสร้างอิมแพ็กที่ดีกับชุมชนและร้านรวงโดยรอบ

ปัจจุบัน Neighbourmart มีสินค้ามากกว่า 300 รายการ ครอบคลุมตั้งแต่ของกิน ของใช้ ไปจนถึงของตกแต่งบ้าน เต้เล่าว่า เกณฑ์การคัดเลือกสินค้าเข้ามาอยู่ในร้าน จะดูเรื่องราวของแต่ละแบรนด์ และความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ ที่เห็นแล้วต้องอดหยิบติดมือสักชิ้น เช่น ชาโบราณของไทยที่แพ็กเกจดูดีมาก แต่หลายคนอาจไม่เคยเห็นหรือไม่เคยแวะเข้าร้านชาแบบนี้มาก่อน

ด้านประสบการณ์ของลูกค้า การได้เห็นสินค้าวางเรียงรายหลากหลายอย่าง ก็ช่วยสร้างความรู้สึกและอิมแพ็กที่ดี ขณะเดียวกัน Neighbourmart ก็ยังพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อยู่เสมอ

สินค้าแต่ละชิ้น ล้วนสะท้อนเอกลักษณ์ของย่านนั้นๆ

หลายคนคงคุ้นเคยกับสินค้า OTOP 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ ที่พัฒนาจากการนำของดีในพื้นที่มาต่อยอดเป็นสินค้า และใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการแปรรูปสิ่งต่างๆ แต่สำหรับในกรุงเทพฯ สินค้าหรือแบรนด์ที่อยู่ในย่านนั้นๆ อาจไม่ได้ตั้งต้นจากวัตถุดิบ แต่มาจากเรื่องราวของผู้คนในพื้นที่ 

เต้เล่าว่า “สินค้าที่จากเขตต่างๆ ในกรุงเทพฯ อาจไม่ได้สะท้อนเอกลักษณ์ของย่านนั้นๆ เสมอไป แต่สิ่งที่สะท้อนได้ชัดคือ วิถีชีวิตของคน เช่น ย่านตลาดน้อย-เจริญกรุง ที่เป็นชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ มีแบรนด์ยาดมเอี๊ยะแซ หรือร้านขายยาเอี๊ยะแซ ที่เป็นต้นตำรับยาดมกระปุกพกมือ และความพิเศษของยาดมที่นี่จะเป็นกลิ่นที่เราไม่ได้เคยได้กลิ่นจากที่ไหน เพราะมีความเป็นกลิ่นพะโล้นิดๆ และในย่านนั้นร้านที่ขายบะจ่างส่วนใหญ่จะใช้เครื่องเทศ เครื่องพะโล้ และสมุนไพรจีนจากร้านนี้ พอรู้อย่างนี้แล้ว จะเห็นว่าไม่ใช่แค่ยาดม แต่เรากำลังพูดถึงการมัดรวมของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง”

อีกย่านที่น่าสนใจคือ ย่านมหานาค-โบ๊เบ๊ ต้นกำเนิดของผงกะหรี่ อ.วงศ์เสงี่ยม “ถ้าพูดถึงผงกะหรี่ฮาลาล หลายคนจะรับรู้ว่าเป็นอาหารมุสลิม ซึ่งตระกูล อ.วงศ์เสงี่ยม เป็นตระกูลเดียวกับคนที่ทำหนังสือเรียนสำหรับเด็กมุสลิม สมุดหัดเขียนตัวอักษร แบบเรียนหลักศาสนา ซึ่งเป็นตัวแทนของชาวมุสลิมในย่านมหานาค เพราะเมื่อพูดถึงย่านนี้ คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนึกถึงชุมชนมุสลิม จะเห็นแต่ภาพการขายส่งสินค้าเป็นหลัก ซึ่งจริงๆ แล้วที่นี่เป็นชุมชนมุสลิมที่เก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ ซึ่งทุกวันนี้แบรนด์ก็ยังดำเนินอยู่ และทุกครั้งที่ชาวมุสลิมจัดงาน ก็มักใช้ผงกะหรี่จากที่นี่”

Neighbourmart ปักหมุดสยามฯ

จากที่ TCDC เจริญกรุง Neighbourmart เคยจัดกิจกรรมสนุกๆ และเวิร์กช็อปร่วมกับคนในพื้นที่นั้นๆ เมื่อมาถึงสยามเซ็นเตอร์ ในชื่อ Neighbourmart POP! สนับสนุนโดย Siam Piwat ย่อมต้องมีอะไรดีๆ เกิดขึ้น

“การมาที่สยามฯ เรารู้สึกว่า สยามฯ เป็นย่านของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยแก่ ปัจจุบันเด็กสยามฯ มีหลายรุ่น และผู้ใหญ่หลายคนก็เติบโตมาพร้อมกับสยามฯ เราอยากนำ Essence เหล่านี้มาเป็นตัวกลางในการสื่อสาร ซึ่งในเร็วๆ นี้เราจะมีการคอลแลบร่วมกับคนในย่านสยาม ในรัศมีประมาณ 3 กิโลเมตรซึ่งครอบคลุมตั้งแต่สยาม บรรทัดทอง ไปจนถึงเจริญผล โดยเลือกแบรนด์ที่มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่และผู้คนในย่านนั้นๆ

“อนาคตเราจะพัฒนาสินค้าไปพร้อมกับต่อยอดเรื่องราวในย่านนี้ โดยโปรเจกต์ที่เตรียมจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ นั่นคือการทำหนังสือในรูปแบบของสิ่งพิมพ์ที่จับต้องได้ นำเรื่องราวของย่านมาบอกเล่าต่อ ร่วมกับการพัฒนาแบรนด์ที่น่าสนใจในย่านนี้”

ก้าวต่อไปของ Neighbourmart

“เป้าหมายต่อไปของ Neighbourmart จริงๆ แล้วคืออยากให้โปรเจกต์นี้อยู่ได้ในเชิงธุรกิจ เพราะเรารู้สึกว่าโปรเจกต์มันค่อนข้างคิดใหญ่ และเราก็ไม่ใช่คนทำธุรกิจมาก่อน ถ้าในเชิงธุรกิจมันอยู่ได้ เป้าหมายต่างๆ ที่เราคิดไว้ก็จะสำเร็จ เพราะสุดท้ายแล้ว เราไม่สามารถอาศัยแค่เรื่องราวของกรุงเทพฯ ไปเรื่อยๆ ได้ ถ้าเราไม่มีรายได้มาหล่อเลี้ยงตัวเอง เราก็จะไม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นได้

“ตอนแรกหลายคนเข้าใจว่า Neighbourmart เป็นเหมือนป็อปอัป ซึ่งเรายืนยันตั้งแต่แรกเลยว่าไม่ใช่ ถ้าจะทำ เราอยากทำให้ยาว ถ้าอยู่ยาวไม่ได้เราก็ไม่ทำ เพราะถึงแม้จะสนุก แต่มันก็เหนื่อย เราเลยอยากหาทางให้สิ่งนี้อยู่ได้ต่อเนื่องจริงๆ”

5 ชิ้น 5 เรื่องราว จาก Neighbourmart

เมื่อมาถึง Neighbourmart POP! สาขาใหม่ที่สยามเซ็นเตอร์ เราจึงขอให้เต้ช่วยเลือก 5 สินค้าเด่นที่อยากแนะนำ และเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของแต่ละชิ้นให้เราฟัง

1. Peppermint Shoes

ต้นกำเนิดรองเท้าขาวของเฟรชชีปี 1 จุฬาฯ เกิดขึ้นในปี 2525 โดยลูกสาวช่างเย็บรองเท้าไฟแรง ที่อยากลองสร้างแบรนด์รองเท้าคุณภาพดี ราคาไม่แรง และตั้งชื่อ Peppermint ตามหมากฝรั่งที่ชอบกิน

Peppermint เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในช่วงยุค 80s ถึงปี 2000 จนกลายเป็นธรรมเนียมที่นักศึกษาจุฬาฯ ทุกคนต้องมีไว้ในครอบครอง แม้ว่าปัจจุบันแบรนด์เริ่มเลือนหายไปบ้าง แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่รักและผูกพันกับรองเท้าแบรนด์นี้อยู่มาก ทำให้ Neighbourmart ตัดสินใจนำรองเท้า Peppermint กลับมาอีกครั้ง และเตรียมทำโปรเจกต์พิเศษร่วมกับคนในพื้นที่ โดยเน้นกิจการที่อยู่ในรัศมี 3 กิโลเมตรจากสยามฯ ไม่ว่าจะเป็นบรรทัดทองหรือเจริญผล เพราะเชื่อว่าความเป็น ‘เด็กสยามฯ เด็กจุฬาฯ’ จะทำให้ผู้คนเข้าใจและเชื่อมโยงกับเรื่องราวของแบรนด์เหล่านี้ได้ง่ายขึ้น

2. ยาปัถวี หมอมี 

จากผู้ปรุงยาประจำโอสถศาลา มี เกษมสุวรรณ ตัดสินใจนำวิชามาบุกเบิกร้านขายยา ‘บุญมีดิสเปนซารี’ เป็นเจ้าแรกๆ ในยุค และโด่งดังจนคนเรียกแยกที่ตั้งร้านว่า ‘แยกหมอมี’

เต้เล่าถึงเรื่องราวของ ยาปัถวีหมอมี ที่มีความผูกพันกับพื้นที่เก่าแก่ในกรุงเทพฯ มี 2 เรื่องที่น่าสนใจ

เรื่องแรกคือ ‘แยกหมอมี’ บริเวณเยาวราช ที่หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีร้านหมอมีอยู่แล้ว แท้จริงแล้วชื่อนี้มาจากที่ตั้งของร้านขายยา ‘บุญมีดิสเปนซารี’ ของหมอมี ผู้บุกเบิกร้านขายยาในยุคแรกๆ และเป็นผู้ปรุงยาประจำโอสถศาลาในสมัยก่อน แม้ว่าร้านจะย้ายไปแล้ว แต่ชื่อแยกก็ยังคงอยู่ สะท้อนให้เห็นว่าแบรนด์นี้มีอิทธิพลมากจนกลายเป็นชื่อเรียกสถานที่ไปแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องราวของบ้านเก่าแก่ของคุณหมอมีที่ตั้งอยู่ใน ซอยเกษมสันต์ ซึ่งเคยเป็นโรงงานผลิตยาหอมยาไทยขนาดใหญ่ และมีความรุ่มรวยจากการทำธุรกิจนี้ มีเรื่องเล่ากันว่าในอดีต ทุกครั้งที่เรือแล่นผ่านคลองแสนแสบใกล้บริเวณบ้านของหมอมี จะได้กลิ่นยาหอมยาไทยอบอวลไปทั่วทั้งลำคลอง แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และเสน่ห์ของแบรนด์ในยุคนั้น

3. น้ำปลา ตรารวงทอง

เริ่มต้นจากการหมักน้ำปลาขายชาวจีนด้วยกันที่โรงน้ำปลา ทั่งง่วนฮะ สู่เครื่องปรุงรสครัวไทยที่ขาดไม่ได้

น้ำปลา ตรารวงทอง เป็นเรื่องราวความร่วมมือที่มากกว่าการค้าขาย เพราะคือการเชื่อมต่อระหว่างคน 2 รุ่นในครอบครัว

เต้เล่าว่า ตอนแรกที่ไปคุยกับเจ้าของแบรนด์ ซึ่งตอนนี้ส่งไม้ต่อมาถึงรุ่นที่ 3 และ 4 แล้ว คุณพ่อ ซึ่งเป็นเจ้าของรุ่นที่ 3 ยังไม่ค่อยเปิดใจนัก เพราะเจอกับคนรุ่นใหม่ที่เข้ามานำเสนออะไรใหม่ๆ อยู่บ่อยครั้งจนรู้สึกเบื่อ แต่คุณลูกซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 4 กลับเข้าใจและอยากลองทำอะไรใหม่ๆ กับ Neighbourmart

หลังจากได้ร่วมงานกัน และคุณพ่อได้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่การนำสินค้ามาวางขาย แต่มีการจัดเวิร์กช็อปให้คนมาชิมน้ำปลา มีนิทรรศการเล่าเรื่องราวเบื้องหลัง และมีลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รีวิวน้ำปลาของพวกเขาใน TikTok รวมถึงศิลปินที่ชื่นชมในรสชาติ ทำให้พ่อเริ่มเปิดใจมากขึ้น และเมื่อรู้ว่า Neighbourmart จะมาเปิดสาขาที่สยามฯ คุณพ่อจึงผลิตน้ำปลาขวดจิ๋วเพื่อมาให้ลองขายในร้านเป็นครั้งแรก

ความสำเร็จนี้จึงไม่ใช่แค่ความร่วมมือทางธุรกิจ แต่ยังเป็นสะพานที่ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกดีขึ้น ช่วยให้การพูดคุยในครอบครัวง่ายขึ้น และเป็นโอกาสเล็กๆ ที่สร้างรอยยิ้มให้กับทั้ง 2 ฝ่าย

4. เครื่องเขียนนานมี

เครื่องเขียนนานมี เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ Neighbourmart นำกลับมาสร้างเรื่องราวใหม่ เต้สังเกตว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและจีน ชื่นชอบเครื่องเขียนไทยโบราณเป็นพิเศษ เพราะในประเทศของพวกเขาสินค้าลักษณะนี้เริ่มหายไปแล้ว แต่ในประเทศไทยยังคงมีการผลิตดินสอและยางลบหน้าตาคลาสสิกอย่างยางลบ ABC แบบเดิมอยู่

Neighbourmart จึงตัดสินใจนำสินค้าเหล่านี้มาจัดจำหน่าย เพราะมองว่าเป็นของฝากที่มีเสน่ห์และน่ารักมากสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเคยมีบางคนถึงขั้นมาขอซื้อเป็นจำนวนมากเพื่อนำไปแจกต่อ ทำให้ Neighbourmart มองเห็นโอกาสในการนำสินค้า Dead Stock (สินค้าที่ค้างสต๊อก) จากทางนานมีมาวางขาย เพราะเชื่อว่าสินค้าดั้งเดิมแบบคลาสสิกนี้มีความเท่ในตัวของมันเอง

นอกจากนี้ Neighbourmart ยังออกแบบแพ็กเกจจิงใหม่เฉพาะสำหรับสาขาที่สยาม ซึ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว และด้วยกระแสตอบรับที่ดี ทำให้ทีมงานเริ่มคิดที่จะนำแนวคิด ‘Only at’ หรือสินค้าที่มีจำหน่ายเฉพาะสาขามาปรับใช้

5. พวงกุญแจ Emotional Support

โปรเจกต์นี้เกิดจากการชวนแบรนด์เก๋าๆ ของกรุงเทพฯ มาเป็นเหมือน Emotional Support ให้นักซัพพอร์ตโลคอลทุกคน ภายในพวงกุญแจมีทั้งถ่านตราม้าขาว พริกไทยตรามือที่หนึ่ง และหมากฝรั่งกลิ่นส้ม แต่ละชิ้นต่างมีเรื่องราวในตัวเอง

เต้เล่าว่า “พริกไทยตรามือที่หนึ่งถือเป็นแบรนด์ OG ที่มีโลโก้นิ้วโป้ง แสดงถึงความ ‘เยี่ยมยอด’ เราว่ามันตลกดีนะ แบบถ้าไม่มีใครชมว่าเราเก่ง อย่างน้อยพริกไทยก็ยกนิ้วโป้งให้เรา

“ส่วนถ่านตราม้าขาวก็เป็นไอเทมในความทรงจำของเด็กผู้ชาย พอวางไว้ในร้านทีไร ผู้ชายที่มาเห็นก็ชอบ เพราะมันคือของเล่นวัยเด็กที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เลยเลือกมาใส่ในเซตเพื่อเอาใจกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ส่วนหมากฝรั่งกลิ่นส้มก็เป็นอีกแบรนด์โอจีแพ็กเกจน่ารัก ที่หยิบมาอยู่รวมกันแล้วเข้ากันดี ก่อนจะให้ดีไซเนอร์ช่วยออกแบบแพ็กเกจรวมให้ดูสนุกเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่ง”

Tags: , ,