“สิ่งแรกที่เราหารือกัน คือต้องทำอย่างไร ถ้าเกิดสถานการณ์ที่มีคนกำลังจะถูกฆ่าตาย ขณะถ่ายทอดสด”
1
มันไม่ใช่โอลิมปิกครั้งแรกของ เจฟฟรีย์ เมสัน (Geoffrey Mason) เขาทำงานเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติมาแล้ว 2 ครั้งด้วยกัน นั่นทำให้ในโอลิมปิกที่มิวนิก เยอรมนีตะวันตก ปี 1972 ชายหนุ่มวัย 32 ปีจึงได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมการถ่ายทอดสดช่วงเช้า
เมสันขับรถออกจากโรงแรมเชอราตัน มาถึงสตูดิโอของสถานีโทรทัศน์ ABC ซึ่งเป็นแม่ข่ายในการถ่ายกีฬาโอลิมปิกไปให้กับสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและทั้งโลก
รถของชายเจ้าของตำแหน่งโปรดิวเซอร์ที่จะต้องดูแลควบคุมการถ่ายทอด ในวันที่ 5 กันยายน 1972 ขับมาจอดที่ลานตอนตี 5 ครึ่ง ก่อนพบว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น
“มีคนมุงกันเป็นจำนวนมาก และมีรถตำรวจจอดเต็มไปหมด”
เมสันรีบเข้าไปแจ้งทีมงาน พร้อมระดมนักข่าว ล่ามแปลภาษาเยอรมัน ให้หาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
30 นาทีต่อมา เขาจึงได้รับแจ้งข่าวสุดช็อก
ปรากฏว่ามีผู้ก่อการร้ายบุกเข้าไปในหมู่บ้านนักกีฬา พุ่งเป้าไปที่อาคาร 31 ก่อนรัวกระสุนสังหารนักกีฬาอิสราเอล 2 ราย พร้อมจับตัวประกันไว้ 9 คนด้วยกัน
โดยจุดที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากสถานีถ่ายทอดของ ABC เพียงแค่ 100 เมตรเท่านั้น
โปรดิวเซอร์หนุ่มตกตะลึง ก่อนรีบโทร.แจ้งหัวหน้าและสั่งให้ทุกคนที่ว่างไม่ได้ลาหยุด หรือไปเที่ยวไหน ให้รีบมาทำงานโดยด่วน นี่เป็นเรื่องใหญ่
ขอย้ำนี่เป็นเรื่องใหญ่!
2
ปีเตอร์ เจนนิงส์ (Peter Jennings) เป็นตำนานนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ ABC ก่อนหน้านี้เขาเดินทางไปรายงานข่าวในสงครามเวียดนาม และเป็นหัวหน้าโต๊ะรายงานความขัดแย้งในตะวันออกกลางของช่องด้วย เรียกได้ว่า เจ้าตัวมีชื่อเสียงทั้งในสหรัฐฯ และคนทั้งโลกรู้จักเขา
ก่อนหน้าที่จะเริ่มการแข่งขันโอลิมปิก 1972 ซึ่งเป็นมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติครั้งแรกในเยอรมนี หลังพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้ 27 ปี และเป็นโอลิมปิกครั้งที่ 2 ในดินแดนแห่งนี้ หลังเคยจัดในปี 1936 แล้วสร้างความตื่นตะลึงให้ทั้งโลก
เพราะตอนนั้นพรรคนาซีโดย อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ใช้โอลิมปิกเป็นเวทีสร้างโฆษณาชวนเชื่อความยิ่งใหญ่ของประเทศ ก่อนที่ไม่กี่ปี จะจุดชนวนสงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยิวอย่างเป็นระบบนับล้านคน
เจนนิงส์ในวัย 34 ปีได้รับการติดต่อจาก รูน อาร์เลดจ์ (Roone Arledge) บรรณาธิการข่าวกีฬาของช่อง ABC ว่า อยากไปทำข่าวในโอลิมปิกที่เยอรมนีตะวันตกไหม
“คิดเสียว่าไปพักและผ่อนคลาย”
รูนผู้ยิ่งใหญ่คือ บก.โต๊ะกีฬาที่ปฏิวัติการถ่ายทอดสดการแข่งโอลิมปิก เขาใช้ทีมงานปรับมุมกล้อง จับภาพนักกีฬาลงแข่งขันอย่างมีสีสัน น่าติดตาม เป็นต้นแบบถ่ายทอดสดกีฬาในทุกวันนี้ และเมื่อชายคนนี้ถามไปยังเจนนิงส์ เพราะอยากได้สกู๊ปเด็ดๆ ที่มีเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกับกีฬา แต่เจาะลึกไปถึงความหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือการที่นักกีฬาอิสราเอลต้องเดินทางมาที่ดินแดนที่เคยเข่นฆ่าพวกเขา
นักข่าวหนุ่มฟังข้อเสนอจากรูนอย่างตั้งใจ
“ผมใช้เวลาแค่ 10 วินาที ก็ตอบตกลง”
เมื่อทราบข่าวผู้ก่อการร้ายบุกเข้าจับตัวประกันนักกีฬาอิสราเอล เจนนิงส์รีบเดินทางมาที่สตูดิโอของช่อง ABC ทันที
ขณะนั้นเมสันกำลังวางแผนและเตรียมข้อมูล เพื่อประกาศข่าวด่วน และไม่มีใครจะเหมาะสมที่จะไปรายงานเกาะติดเหตุการณ์นี้ มากไปกว่า ชายที่เชี่ยวชาญเรื่องตะวันออกกลางอย่างเจนนิงส์อีกแล้ว
“เราไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เราไม่ใช่นักกีฬาไง”
การถกเถียงกับทีมงานเกิดขึ้น ในที่สุดคนข่าวผู้เป็นตำนานจึงตัดสินใจ เปลี่ยนชุด ใส่ชุดวอร์มนักกีฬาสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ของ ABC ทำบัตรนักกีฬาให้เจนนิงส์และช่างภาพปลอม จนสามารถฝ่ากำลังตำรวจเข้าไปใกล้จุดเกิดเหตุที่มีการจับตัวประกันไว้ได้
“ผมอยู่กับพวกนักกีฬาอิตาลี เห็นเหตุการณ์ชัด” เจนนิงส์รายงานให้เมสันฟังทางโทรศัพท์
กินเวลาไม่นาน สื่อก็เริ่มรายงานข่าวว่า ผู้ก่อเหตุเรียกตัวเองว่า กลุ่มกันยายนทมิฬ (Black September) อันเป็นกองกำลังหัวรุนแรงในตะวันออกกลาง ซึ่งยื่นข้อเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองที่อิสราเอลจับขังไว้ออกมา
โดยขีดเส้นตายว่าหากโลกไม่สนใจ ไม่ทำตาม พวกเขาจะสังหารตัวประกันทั้งหมด
3
ทีมถ่ายทอดสดกีฬาของ ABC ถูกเคี่ยวกรำจากรูนตลอดหลายปี พวกเขาทำงานผ่านโอลิมปิกมาแล้ว 2-3 ครั้ง ดังนั้นกลุ่มคนข่าวโทรทัศน์ชุดนี้จึงมีฝีมือ มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน พวกเขามุ่งมั่นจะถ่ายทอดมหกรรมกีฬาครั้งนี้อย่างดีเยี่ยมที่สุด
แต่วินาทีนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายขึ้น ทุกคนต่างวิตกและหวาดหวั่น ต่อให้เก่งกาจแค่ไหน แต่พวกเขาไม่ได้ชำนาญในเรื่องข่าวสาร พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องกีฬา รู้จังหวะว่าจะถ่ายทอดภาพแบบไหน ตัดสลับการแข่งขันอย่างไร
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือเจ้าหน้าที่เยอรมัน และผู้ก่อการร้ายที่จ่อปืนใส่นักกีฬาอิสราเอล
คำถามก็คือ เราควรจะทำอย่างไรในเรื่องนี้
เมสันครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจว่า ในเมื่อจุดเกิดเหตุอยู่ห่างไปเพียงไม่ไกล ดังนั้นคนข่าวช่อง ABC จะไม่ปล่อยผ่านเด็ดขาด พวกเขาระดมคนเพื่อถ่ายทอดสดเหตุระทึกนี้
ทางรูนก็ลงมาช่วย พร้อมสั่งการให้ช่างภาพไปตั้งกล้องหลายจุด เพื่อจะได้จับภาพเหตุการณ์นี้ได้อย่างครบถ้วน โดยยกบทเรียนตอนมีคนไปบุกฆ่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ (Lee Harvey Oswald) ผู้ต้องหาที่ใช้ปืนยิงประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี้ (John F. Kennedy) ตาย ในปี 1963 ขณะนั้นทีมข่าวของสถานีโทรทัศน์ NBC อยู่ตรงนั้น แต่จับภาพได้ไม่หมด เพราะมีกล้องเพียงจุดเดียว
“เราจะไม่ทำพลาดแบบนั้นอีก ดังนั้นจะต้องมีกล้องถ่ายทอดสดวางไว้หลายจุด”
เมสันรับคำสั่งและดำเนินการให้ทีมงานย้ายกล้องโทรทรรศน์สุดหนัก ซึ่งอยู่ในสตูดิโอออกไปตั้งที่หลังคาบ้าง เอาไปไว้ข้างนอกตรงสนามหญ้า เพื่อจับภาพนักกีฬาและคนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์นี้
กินเวลาไม่นาน เมื่อฟิล์มจากการถ่ายทอดสดที่เจนนิงส์กับช่างภาพถ่าย และถูกส่งมาให้ม้าเร็ว ซึ่งก็ปลอมตัวเป็นนักกีฬาสหรัฐฯ มาถึง
พวกเขาก็เริ่มวางแผนการรายงานข่าวทันที
รูน ผู้รับผิดชอบการถ่ายทอดสดทั้งหมด ต้องตอบคำถามจากกองบรรณาธิการข่าว ABC ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์ก สหรัฐฯ และอยากจะยึดการทำหน้าที่รายงานข่าวนี้ไว้ แต่ได้รับการปฏิเสธ
“เราเป็นคนอยู่หน้างาน ดังนั้นเราจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งเด็ดขาด”
จิม แม็กเคย์ (Jim Mckay) ผู้ประกาศข่าวกีฬา ซึ่งรายงานโอลิมปิกครั้งนี้ ถูกตามตัวกลับมา ทั้งที่เป็นวันหยุด เพื่อรายงานข่าวช็อกนี้
เมสันเลือกภาพผู้ก่อการร้ายกันยายนทมิฬ ใส่ไอ้โม่ง เดินออกมาที่ระเบียง เพื่อดูความเคลื่อนไหว ภาพนี้ช่างภาพของเจนนิงส์จับภาพไว้ได้
เมื่อเริ่มการรายงานข่าว มันกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั่ว เพราะเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการถ่ายทอดสดผู้ก่อการร้ายออกโทรทัศน์
ความนิ่งของจิมและข้อมูลที่เพียบพร้อมของเจนนิงส์ ประกอบกับมุมภาพที่ ABC ถ่ายและตัดสลับกับสกู๊ปที่ได้มา ทำให้งานออกมาอย่างมีคุณภาพ
เมสันยอมรับกับสื่อในหลายปีต่อมาว่า “เหตุการณ์วันนั้น คือแบบทดสอบอย่างดี แต่พวกเรามั่นใจว่าจะทำมันได้ และพวกเราก็ทำมันได้จริงๆ”
4
แม้ทีมถ่ายทอดสดของ ABC จะรายงานข่าวอย่างครบถ้วน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ความตึงเครียดของสถานการณ์ก็เริ่มหนักหน่วง
ทีมปฏิบัติการของเยอรมันไม่เคยชินกับเหตุการณ์นี้ ความเงอะงะของพวกเขาทุกอย่าง ถูกถ่ายทอดให้คนทั้งโลกเห็น
เมื่อกล้องโทรทรรศน์ของช่อง ABC ถ่ายให้เห็นตำรวจในเครื่องแบบนักกีฬา กำลังปีนหลังคาอย่างทุลักทุเล สร้างความอับอายไปทั้งโลก ภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏให้ทางการเยอรมันเห็น ผู้บังคับบัญชารีบวอแจ้งให้รีบถอนกำลังไปทันที เพราะกลัวว่ากลุ่มกันยายนทมิฬ ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านนักกีฬาจะดูการถ่ายทอดสดนี้ด้วย และอาจลงมือทำอะไรเลวร้ายแก่ตัวประกัน
กินเวลาไม่นานหลังการถอนกำลังออกไป ตำรวจเยอรมันพร้อมอาวุธครบมือบุกเข้าไปในสตูดิโอของทีมข่าว ABC ทันที เมสันเล่าว่า
“พวกเขาเปิดประตูเข้ามา แล้วเห็นผมเป็นคนแรก เลยหันปืนมาพร้อมตะโกนเป็นภาษาเยอรมันว่า หยุดถ่ายทอดสด หยุดถ่ายทอดสด”
เมสันค่อยๆ ตั้งสติ แล้วคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใจเย็น พร้อมสั่งให้ทีมงานของช่องปิดการถ่ายทอดทันที สร้างความพอใจให้กับทางการเยอรมันจนถอนกำลังออกไป
“วินาทีนั้น เราเริ่มตระหนักแล้วว่า เหตุการณ์นี้รุนแรงกว่าที่คาด”
และนั่นนำไปสู่คำถามว่า ทีมถ่ายทอดสดจะต้องทำอย่างไร หากผู้ก่อการร้ายกันยายนทมิฬตัดสินใจฆ่าตัวประกันทั้งหมด ในอาคารหลังนั้น พวกเขาจะปล่อยภาพไปเลยดีหรือไม่
กินเวลาสักพัก ทุกคนจึงได้ข้อสรุปว่า พวกเขาจะเลือกถ่ายทอดสดเป็นช่วงๆ ไม่ได้ยิงยาวตลอดเวลา และแม้ว่าทาง ABC จะวางกล้องไว้หลายจุด แต่ไม่มีสักตัวที่จับภาพใกล้จุดเกิดเหตุชัดๆ นอกจากช่างภาพของเจนนิงส์ ดังนั้นหากเกิดเหตุยิงกัน จะไม่มีการเห็นการฆ่าคนอย่างแน่นอน
“ภาพที่ชัดสุดจะถูกส่งมาทีหลัง เราค่อยมาดูแล้วเลือกกันว่าจะเอาอะไรออกอากาศบ้าง น่าจะดีกว่า”
นี่คือการปลดล็อกความหวาดกลัวทั้งหมดของคนข่าว พวกเขาไม่อยากให้คนทั้งโลกนับพันล้านคน เห็นผู้ก่อการร้ายลั่นไกฆ่านักกีฬาอิสราเอลในดินแดนเยอรมนีเป็นอันขาด
รูนเดินเข้ามาคุยกับเมสัน “งานนี้หินมาก จงเชื่อในสัญชาตญาณตัวเองนะ”
ทีมถ่ายทอดสด ABC รายงานข่าวนี้ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงมืด ปีเตอร์ เจนนิงส์อยู่ในตึกใกล้กับผู้ก่อการร้ายจนถึงช่วงมืด เมื่อทางการเยอรมนีนำเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ มาจอดแล้วให้กลุ่มกันยายนทมิฬกับตัวประกันขึ้น เพื่อไปส่งที่สนามบินใกล้กัน เพื่อจะให้ขึ้นเครื่องออกจากประเทศนี้
เมื่อหมู่บ้านนักกีฬากลับสู่ความสงบอีกครั้ง เจนนิงส์รีบออกจากตึก เดินทางกลับไปยังสตูดิโอ เพื่อร่วมรายงานข่าวกับจิม แม็กเคย์ทันที
ด้านทีมเบื้องหลังคนข่าว ABC และทีมงานทุกคนต่างเกาะติดเรื่องนี้ ช่วงเวลาอลหม่านเกิดขึ้น เมสันได้รับข้อมูลว่า เมื่อผู้ก่อการร้ายและตัวประกันไปถึง เกิดการยิงกันสนั่นหวั่นไหว และตัวประกันทั้งหมดรอดชีวิต เมื่อได้ข่าวนี้ เขาก็ให้จิม แม็กเคย์อ่าน
แต่แล้วกินเวลาไม่นาน พวกเขาก็ได้รับข่าวร้าย เพราะเมื่อผู้ก่อการร้ายและตัวประกันถึงสนามบิน หน่วยปฏิบัติการพิเศษของเยอรมนีก็เปิดฉากยิง จนมีการดวลปืนสนั่นหวั่นไหว และนักกีฬาอิสราเอลทั้ง 9 คนถูกกลุ่มกันยายนทมิฬยิงเสียชีวิตทั้งหมด
รูนอยู่ในห้องควบคุมการถ่ายทอดและนั่งอยู่ข้างหน้าจอ เพื่อดูภาพรวม พลันที่รู้จุดจบอันน่าเศร้า เขาถึงกับนั่งนิ่งๆ ไม่หันหน้ามาสบตาใครทั้งสิ้น
เมสันเล่าว่า “ผมไม่เคยเห็นหน้าเขา เห็นแต่ท้ายทอย พอผมบอกว่า รูน พวกเขาตายหมดแล้ว..”
ชายผู้ปฏิวัติการถ่ายทอดสดกีฬา พูดออกมาว่า “ให้ผมบอกผู้ประกาศไหม”
“คุณบอกก็ได้”
รูนหันหลังมา แล้วสบตากับเมสันซึ่งโปรดิวเซอร์หนุ่มบอกว่า เขาจะไม่มีวันลืมใบหน้านี้เลยตลอดชีวิต
“คุณบอกเขาเลยครับ” เมสันพูดกับหัวหน้า
รูนลุกจากเก้าอี้ไปกดปุ่มไมโครโฟน ที่เชื่อมจากสตูดิโอไปยังหูฟังของจิม แม็กเคย์
ทางผู้ประกาศข่าวกีฬาฟังข้อมูลทุกอย่าง ก่อนเอ่ยประโยคที่สรุปโศกนาฏกรรมนี้อย่างเศร้าสร้อยว่า
“ตอนผมเป็นเด็ก พ่อเคยพูดไว้ว่า ความหวังที่ดีสุด และความกลัวสูงสุด มันไม่มีวันเป็นจริง แต่คืนนี้ความกลัวที่เลวร้ายสุดเกิดขึ้นแล้ว
มีรายงานข่าวแจ้งเข้ามาว่า ตัวประกันที่โดนจับกุมตัวไป 11 ราย มี 2 รายถูกฆ่าที่ห้องเมื่อช่วงเช้าวานนี้ อีก 9 รายถูกสังหารที่สนามบินคืนนี้
“พวกเขาจากไปแล้ว”
5
เมสัน เจนนิงส์ รูน และทีมงาน ABC ใช้เวลารายงานโศกนาฏกรรมนี้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดจบรวม 1,320 นาที ทำงานกันกว่า 22 ชั่วโมง โดยไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เมื่อรายงานข่าวผู้เสียชีวิต พวกเขายังวางแผนงานในวันพรุ่งนี้ โดยเน้นส่งคนข่าวไปดูจุดเกิดเหตุ ทั้งในหมู่บ้านนักกีฬาและในสนามบินที่เกิดการยิงกัน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับโรงแรมด้วยความอ่อนล้าและเจ็บปวดในสิ่งที่เกิดขึ้น
งานที่ทำในวันนี้จะอยู่ในความทรงจำของพวกเขาไปชั่วชีวิต
ปีเตอร์ เจนนิงส์ เติบโตในหน้าที่การงานจากนักข่าวภาคสนาม สู่ผู้ประกาศข่าวสุดยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ กระนั้นชายผู้เป็นตำนานบอกไว้ว่า การจับและสังหารตัวประกันในโอลิมปิก 1972 เป็นบทเรียนอย่างดีสำหรับเขา เวลาต้องรายงานสดเหตุวิกฤตการณ์ใดในโลก
“ตอนที่เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซนเตอร์ ในวันที่ 11 กันยายน 2001 มีคนถามผมว่า รับมือยังไงกับการต้องรายงานสดเหตุการณ์นี้หลายชั่วโมง
“คำตอบง่ายๆ ก็คือ ผมถูกฝึกให้ทำแบบนี้ คนที่ถามก็บอกว่า แต่มันไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนนะ”
เจนนิงส์ส่ายหน้า “สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ อาจจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ผมก็อยู่ในเหตุการณ์ที่มิวนิก ปี 1972”
รูน ผู้ยืนเคียงข้างลูกน้องตลอดการถ่ายทอดสดเหตุระทึกนี้ เจ้าตัวได้รางวัลและได้รับการยกย่อง บทเรียนจากการสังหารโหดนี้ทำให้เขาตระหนักว่า การถ่ายทอดสดสามารถทำได้มากกว่าเรื่องกีฬา หรืองานพิธีต่างๆ แต่ยังกินรวมถึงข่าวที่เข้มข้นอีกด้วย
และนั่นก็นำไปสู่การปฏิวัติการถ่ายทอดสดของสื่อมวลชนอีกครั้ง โดยรูนนั่นเอง
ด้านเมสันพร้อมเพื่อนสนิท ขับรถกลับโรงแรมเชอราตัน เมื่ออยู่กันแค่ 2 คน พวกเขาต่างร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
“เหตุการณ์นี้มันเศร้ามากๆ” โปรดิวเซอร์หนุ่มเล่าย้อนความหลัง และสิ่งนี้มันกัดกินใจเขามาก หลังเหตุสังหารนักกีฬาอิสราเอล เมสันติดเหล้า เพราะรับไม่ได้ในเรื่องนี้ ต้องใช้เวลาหลายปี กว่าเขาจะเลิกดื่ม
53 ปีแห่งฝันร้าย โลกไม่เคยสงบสุข อิสราเอล ตะวันออกกลาง ผู้ก่อการร้าย ยังคงอยู่ และมีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเรื่อยมา
คน 900 ล้านคนติดตามการถ่ายทอดสดของ ABC แม้จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม แต่การทำงานของคนข่าวก็ได้รับการยกย่อง ผ่านไปหลายสิบปี เมสันในวัยชรายอมรับว่า ทุกครั้งที่คิดย้อนไปถึง มันก็มีแต่ความปวดร้าว
“หลังเกิดเหตุเราโกรธมากๆ มันไม่ยุติธรรมเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับนักกีฬาที่ตายไป พวกเขาควรได้รับเกียรติยศที่ดีกว่านี้ แต่กลับไม่ได้รับอะไรเลย
“มีคนบอกว่าผมทำงานนั้นได้ดีเยี่ยม และอาชีพก็ก้าวหน้าจากเหตุการณ์วันนั้น แต่คุณรู้ไหมในใจนะ โศกนาฏกรรมนี้ได้สร้างบาดแผลขึ้น และแม้จะผ่านไปหลายปี
“มันก็ยังคงอยู่ในใจผมตลอดมา”
ข้อมูลอ้างอิง
https://time.com/7200414/september-5-true-story/
https://www.theguardian.com/film/2024/dec/12/september-5-thriller-munich-olympics
https://www.hollywoodreporter.com/movies/movie-features/geoffrey-mason-changed-live-tv-1236062641/
https://www.nytimes.com/2002/12/06/business/roone-arledge-71-a-force-in-tv-sports-and-news-dies.html
https://www.biography.com/history-culture/a63395893/september-5-1972-munich-olympics-true-story
Fact Box
- วันที่ 5 กันยายน 1972 โอลิมปิกที่เยอรมนีตะวันตก เกิดโศกนาฏกรรม เมื่อผู้ก่อการร้าย ‘กันยายนทมิฬ’ บุกสังหารและจับนักกีฬาอิสราเอลไว้เป็นตัวประกัน
- ทีมข่าวสถานีโทรทัศน์ ABC แห่งสหรัฐอเมริกากำลังเตรียมสตูดิโอเพื่อถ่ายทอดสด พวกเขาอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุเพียง 100 เมตรเท่านั้น
- นี่คือครั้งแรกที่ทีมข่าวกีฬาต้องหยุดถ่ายโอลิมปิก มาถ่ายทอดเหตุการณ์ระทึกขวัญนี้ เป็นครั้งแรกที่ผู้ชม 900 ล้านคนทั่วโลกได้ชมการถ่ายทอดสดผู้ก่อการร้าย
- นี่คือภารกิจสุดหิน นี่คือเรื่องราวสุดระทึก และนี่คือเรื่องราวของทีมถ่ายทอดสดในวันนั้นที่ผ่านไปหลายปี พวกเขายังเก็บมันไว้ในความทรงจำตลอดกาล