ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘ความยั่งยืน’ ไม่ได้เป็นเพียงคำที่สวยงามในรายงานประจำปีอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกองค์กรต้องขยับตัว เพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นรูปธรรม และมหาวิทยาลัยในฐานะศูนย์กลางการเรียนรู้ของสังคมก็ไม่อาจนิ่งเฉย
หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ขับเคลื่อนประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นคือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งไม่เพียงตั้งเป้าเป็น Green University แต่ยังริเริ่มโครงการและนวัตกรรมด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องคาร์บอนเครดิต การวางผังมหาวิทยาลัยสีเขียว ไปจนถึงความร่วมมือกับองค์กรภายนอก เพื่อให้ความยั่งยืนไม่ใช่แค่เป้าหมายขององค์กร แต่เป็นเป้าหมายร่วมของทุกคนในพื้นที่
The Momentum ชวน รองศาสตราจารย์ ดร.ชูพงษ์ ทองคำสมุทร รองอธิการบดีฝ่ายกายภาพและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยขอนแก่น พูดคุยถึงเบื้องหลังการผลักดันนโยบายสีเขียว ตั้งแต่กลยุทธ์ด้านกายภาพ เทคโนโลยี งานวิจัย ไปจนถึงการสร้างจิตสำนึกในหมู่นักศึกษา บุคลากร และภาคประชาสังคม
แม้คำว่า ‘ความยั่งยืน’ จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในแวดวงการศึกษา แต่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น การขับเคลื่อนเรื่องนี้ไม่ได้หยุดแค่แนวคิด แต่ถูกถักทอเป็นแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินจริงในหลายมิติ
รศ.ดร.ชูพงษ์อธิบายว่า มหาวิทยาลัยมีแผนแม่บทด้านสิ่งแวดล้อมครอบคลุม 6 ด้านหลัก และอีก 1 กลยุทธ์สนับสนุนคือ
1. การจัดการพลังงาน ลดการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่มหาวิทยาลัย พร้อมพัฒนาระบบพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์
2. อาคารและสถาปัตยกรรมสีเขียว ปรับปรุงอาคารเก่าและออกแบบอาคารใหม่ให้ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิต โดยยึดหลัก Green Building
3. Green Zone ตัวอย่าง สร้างพื้นที่นำร่องที่แสดงให้เห็นว่า การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนเป็นไปได้จริง โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่มีประชากรกว่าแสนคน
4. การคมนาคมยั่งยืน สนับสนุนระบบขนส่งปลอดมลพิษ เช่น EV Bike, EV Bus และออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้เอื้อต่อการเดินทางแบบไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
5. Carbon Capture และพื้นที่สีเขียว ฟื้นฟูป่าไม้ เพิ่มพื้นที่ชุ่มน้ำ และวางระบบดูดซับคาร์บอนอย่างเป็นระบบ
6. การจัดการของเสีย ควบคุมขยะจากอาคาร หอพัก และกิจกรรมต่างๆ ด้วยระบบแยกประเภทและแนวทางลดของเสีย
และอีกหนึ่งแผนสำคัญคือ ‘การรณรงค์’ ที่สนับสนุนแผนทั้งหก ต้องทำควบคู่ไปด้วย เพราะแม้ระบบจะดี ถ้าผู้ใช้ไม่มีจิตสำนึกก็อาจล้มเหลวได้ โครงการสร้างการรับรู้จึงออกแบบให้ครอบคลุมทั้งนักศึกษา บุคลากร และอาจารย์
แนวคิด ‘6+1’ สะท้อนให้เห็นว่า ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงโครงการเชิงกายภาพหรือเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดและวิถีชีวิตของผู้คนในมหาวิทยาลัยให้เดินหน้าไปพร้อมกัน
การสื่อสารภายในมหาวิทยาลัย
การสื่อสารภายในมหาวิทยาลัยถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืน เพราะต่อให้มีนโยบายหรือระบบดีเพียงใด ถ้าผู้คนในพื้นที่ไม่เข้าใจหรือไม่ร่วมมือ ก็ยากจะเห็นผล
ดร.ชูพงษ์อธิบายว่า การรณรงค์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นใช้แนวทางหลากหลาย โดยเริ่มจากการมีพันธมิตรสำคัญคือ กองสื่อสารองค์กรที่ช่วยวางแผนการสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา อาจารย์ หรือบุคลากรทั่วไป
หนึ่งในกลยุทธ์หลักคือ การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะเข้าถึงนักศึกษาได้รวดเร็วและตรงกับไลฟ์สไตล์ เช่น การใช้สื่อดิจิทัลที่อธิบายโครงการจัดการระบบขนส่งและการติดตั้งสัญญาณไฟจราจรอัจฉริยะ ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบ AI เพื่อลดปัญหาจราจรและเพิ่มประสิทธิภาพการสัญจรในมหาวิทยาลัยที่มีขนาดใหญ่
นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนโครงการจากบุคลากรภายในผ่านทุนพัฒนาความยั่งยืน เช่น โครงการที่ต่อยอดจากเรื่องง่ายๆ อย่างน้ำที่ได้จากแอร์ โดยเจ้าหน้าที่ได้เก็บน้ำจากแอร์กว่า 170 เครื่องในคณะสถาปัตยกรรมฯ มารวบรวม และนำไปใช้กับระบบชักโครกที่ใช้น้ำเฉลี่ย 3 ลิตรต่อครั้ง คิดเป็นตัวเลขง่ายๆ คือ ได้ใช้ชักโครกฟรี 1,000 ครั้งต่อวัน หรือน้ำ 3,000 ลิตรในช่วงฤดูร้อน
นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยยังใช้วิธีการรณรงค์หลายรูปแบบ ทั้งเวิร์กช็อป การออกแบบสื่อสติกเกอร์ ไปจนถึงกิจกรรมให้ความรู้ที่ออกแบบเฉพาะตามบริบทของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างจิตสำนึกและพฤติกรรมใหม่อย่างเป็นรูปธรรม
ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยขอนแก่นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับ 8 หมื่นตันต่อปี และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นถึงหลักแสนตันภายในไม่กี่ปี หากไม่มีการจัดการที่ดี
ด้วยเหตุนี้แผนยุทธศาสตร์ 6+1 จึงถูกนำมาใช้ เพื่อควบคุมและลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นระบบ เดิมทีมหาวิทยาลัยตั้งเป้าปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็น 0 (Net Zero Carbon) ภายในปี 2030 แต่จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุด โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานและเครื่องมือทางวิชาการที่ผ่านการรับรอง พบว่า หากดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ มข.จะบรรลุ Net Zero ได้ภายในปี 2028
หากถามว่า ทำไมทำได้เร็ว ดร.ชูพงษ์อธิบายว่า มข.มีศักยภาพสูงในการเป็น Green Campus และมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ มีป่าธรรมชาติที่ดูดซับคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยต่อมาเป็นเรื่องของการมีพื้นที่กว้างขวางที่เอื้อต่อการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ทั้งแบบโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ลอยน้ำ (Solar Float) โดยไม่ต้องพึ่งพาอาคาร ซึ่งมักมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างและทิศทางแสง นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเปลี่ยนระบบบำบัดน้ำเสียจากบ่อบึงประดิษฐ์ ซึ่งปล่อยก๊าซมีเทนตรงสู่ชั้นบรรยากาศ ไปสู่ระบบปิดที่ควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ทั้งหมด ส่งผลให้ลดการปล่อยก๊าซเทียบเท่าคาร์บอนลงได้ทันที 1.8 หมื่นตันต่อปี
ความร่วมมือจากรอบด้าน
เบื้องหลังความก้าวหน้าด้านสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไม่ได้มาจากฝ่ายบริหารหรือบุคลากรบางกลุ่ม แต่คือความร่วมมือแบบบูรณาการจากทุกคณะ ที่ต่างนำองค์ความรู้ของตนมาผสานเพื่อเป้าหมายเดียวกัน เช่น พื้นที่รกร้างของคณะเกษตรศาสตร์ถูกแปลงเป็นโซลาร์ฟาร์ม โดยด้านล่างยังสามารถปลูกต้นไม้ควบคู่กันได้
ปัจจุบันโครงการโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ลอยน้ำที่ดำเนินการไปแล้ว สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 30 เมกะวัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน โดยมีแผนติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Storage) เพื่อจ่ายไฟให้โรงพยาบาลและอาคารที่ใช้พลังงานตลอด 24 ชั่วโมง
คณะวิศวกรรมศาสตร์ออกแบบระบบพลังงานที่เหมาะสม วิเคราะห์ความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของโซลาร์รูปแบบต่างๆ พร้อมช่วยพัฒนา Smart Security และ AI สำหรับจัดการจราจรและอาคาร
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์วิจัยและออกแบบอาคารเขียวที่ใช้ความรู้ด้านสถาปัตย์ล้วนๆ โดยไม่ต้องเพิ่มงบประมาณ ก็สามารถผ่านเกณฑ์รับรองอาคารอนุรักษ์พลังงานระดับ Certified ได้
ดร.ชูพงษ์เล่าว่า ความคิดเรื่องความยั่งยืนไม่ควรถูกมองว่า แลกมาด้วยการลดคุณภาพชีวิต แต่ควรเป็นสิ่งที่ยกระดับชีวิตคนในพื้นที่ ทั้งด้านการใช้พลังงาน สิ่งแวดล้อม และความรู้สึกดีต่อพื้นที่ที่ตนเองอยู่อาศัยอย่างแท้จริง
แน่นอนว่า การขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยสีเขียวให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ได้อาศัยเพียงกำลังจากภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ต้องอาศัยพลังเครือข่ายจากภายนอกที่ร่วมมือกันในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับจังหวัด
มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับชุมชนโดยรอบ โดยเน้นการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน เช่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ สนับสนุนความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม และวางระบบจัดการพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนร่วมกัน ทั้งในเชิงฟังก์ชันและจิตสำนึก
ในระดับนโยบาย มหาวิทยาลัยยังมีความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น จังหวัดขอนแก่น ที่สนับสนุนข้อมูล GIS (Geographic Information System) สำหรับใช้วางแผนการบริหารจัดการทรัพยากร เช่น ระบบน้ำหรือพื้นที่สีเขียวอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่น่าสนใจคือ การที่มหาวิทยาลัยสามารถดูดซับคาร์บอนในระดับสูง ยังส่งผลเชิงบวกกลับไปยังเมืองขอนแก่นโดยตรง เพราะพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมีขนาดใหญ่ถึง 25% ของพื้นที่เทศบาลเมืองขอนแก่น เมื่อ มข.ลดหรือดูดซับคาร์บอนได้มาก ตัวเมืองก็สามารถนับเป็นคาร์บอนเครดิตเชิงพื้นที่ได้เช่นกัน
การบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตของมหาวิทยาลัยขอนแก่น
หนึ่งในกลไกสำคัญที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นใช้ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนคือ การบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตอย่างมีระบบ ซึ่งไม่เพียงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร แต่ยังสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้กับเมืองและจังหวัดโดยรอบ
ดร.ชูพงษ์ระบุว่า กิจกรรมหลักที่สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตในมหาวิทยาลัยได้อย่างมีนัยสำคัญมี 3 ส่วนหลักคือ
1. การปลูกป่า ด้วยพื้นที่มหาวิทยาลัยขนาดกว่า 5,500 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่สีเขียวประมาณ 30% และความรักต้นไม้ของคน มข. การปลูกป่าจึงกลายเป็นกิจกรรมที่มีศักยภาพสูงในการดูดซับคาร์บอน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบนิเวศสมบูรณ์ ช่วยให้คาร์บอนเครดิตจากธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มหาวิทยาลัยเลือกใช้แหล่งพลังงานทดแทนจากโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ลอยน้ำ ซึ่งเหมาะสมกับภูมิประเทศและภูมิอากาศของภาคอีสาน ที่มีแดดแรงและท้องฟ้าเปิดมากกว่ากรุงเทพฯ ปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 30 เมกะวัตต์ พร้อมวางแผนติดตั้งแบตเตอรี่เพื่อเก็บพลังงานใช้ในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะในพื้นที่โรงพยาบาลซึ่งใช้ไฟตลอด 24 ชั่วโมง
3. ระบบจัดการของเสีย จากทุกกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นขยะจากอาคาร หอพัก บุคลากร หรือกิจกรรมของนักศึกษา ทุกประเภทถูกนำเข้าสู่ระบบจัดการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในส่วนของน้ำเสีย
เพียง 3 กิจกรรมหลักก็สามารถ ดักจับคาร์บอนได้มหาศาล แต่สิ่งสำคัญไม่น้อยคือ หาสมดุลระหว่างฝั่งปล่อยคาร์บอนกับฝั่งดูดซับ ซึ่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นกำลังเร่งดำเนินโครงการ Energy Efficiency เพื่อลดการใช้พลังงานของอาคารต่างๆ
และเมื่อจุดสมดุลถูกตัดกัน จากนั้นคาร์บอนเครดิตที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นผลิตได้จะเข้าสู่ระบบและสามารถบริจาค หรือซื้อขายได้อย่างเป็นทางการในระบบตลาดคาร์บอนเครดิตต่อไป
ตั้งเป้าภายใน 4 ปี มข.จะปราศจากมอเตอร์ไซค์สันดาป
แม้มหาวิทยาลัยขอนแก่นจะเดินหน้าโครงการขนส่งมวลชนด้วยรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV Bus) ซึ่งได้รับการตอบรับดีจากนักศึกษา แต่ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะการลดการใช้รถจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาป ซึ่งยังเป็นพาหนะหลักของนักศึกษาในชีวิตประจำวัน
เหตุผลสำคัญคือเรื่องของความสะดวก เพราะการใช้ EV Bus ต้องวางแผนเวลา มีการรอรถ และเดินเท้าต่อจากป้าย ขณะที่การปั่นจักรยานก็ไม่ค่อยตอบโจทย์สภาพพื้นที่ที่มีเนินขึ้นลงมากมาย
มหาวิทยาลัยจึงวางแผนการออกแบบเส้นทางเดินเท้าให้น่าใช้ ด้วยหลักการคนพร้อมเดิน ถ้ามีแรงจูงใจ เช่น ทำทางเดินร่มรื่น มี Wi-Fi มีที่นั่งพักริมทาง เปลี่ยนพื้นที่ระหว่างทางให้กลายเป็น City Mall ขนาดย่อม เพื่อเชื่อมต่อระหว่างหอพักกับ EV Bus ได้อย่างราบรื่นและยั่งยืนในระยะยาว ทว่าปัจจุบันการใช้ EV Bus ยังมีความท้าทายด้านระบบขนส่งที่ต้องปรับปรุงในช่วงเวลาเร่งด่วน
ด้วยความเชื่อว่า คนจะยอมเดินถ้าได้รับแรงจูงใจเพียงพอ ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้แนวคิด 6+1 ที่เน้นการสื่อสารและรณรงค์ควบคู่กับการออกแบบโครงสร้าง เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมให้นักศึกษานำเสนอไอเดียหรือโครงการ เพื่อพัฒนาแนวทางการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายสำคัญว่า ภายใน 4 ปี มหาวิทยาลัยจะปลอดรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาป
กรีนไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อม แต่คือคุณภาพชีวิต
สิ่งที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นกำลังผลักดัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเด็นสิ่งแวดล้อม แต่คือการออกแบบ ‘คุณภาพชีวิต’ ในทุกมิติ รศ.ดร.ชูพงษ์เล่าถึงกรอบการทำงานด้านกายภาพของมหาวิทยาลัยว่า ขณะนี้เขาดูแลทั้งระบบอาคารสถานที่ สาธารณูปโภค อาชีวอนามัย รวมถึงระบบความปลอดภัย ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบที่เชื่อมโยงกันภายใต้แนวคิดเดียวคือ การสร้างพื้นที่ที่ดีต่อใจให้ทุกคนอยากมาเรียน อยากทำงาน และอยู่อย่างมีความสุข
“หลักคิดของผมง่ายๆ คือ Safety, Handy, Beauty และ Green”
Safety คือความปลอดภัยในการใช้ชีวิต
Handy คือความสะดวกและฟังก์ชันการใช้งาน
Beauty คือความสวยงามที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
Green คือความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทุกโครงการของมหาวิทยาลัยจึงต้องตอบโจทย์ทั้ง 4 ข้อนี้ เช่น พาหนะที่ปล่อยมลพิษน้อย อาจจะดูกรีนก็จริง แต่ถ้าไม่ปลอดภัย ไม่สะดวกใช้ หรือไม่สวยงาม ก็ไม่ตอบโจทย์ภาพใหญ่ เพราะความยั่งยืนที่แท้จริง ไม่ได้วัดจากแค่การลดคาร์บอนเท่านั้น แต่ต้องวัดจากคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนด้วย
การออกแบบอาคารให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ รศ.ดร.ชูพงษ์อธิบายหลักการออกแบบอาคารให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมว่า ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบอะไรบ้าง
หลักๆ แล้วจะมีเกณฑ์อยู่ 2 ตัวที่สำคัญคือ เกณฑ์ด้านพลังงานกับเกณฑ์นิเวศสิ่งแวดล้อม ซึ่งเน้นที่การออกแบบเพื่อลดการใช้พลังงานในอาคาร โดยมี 3 แนวทางหลักที่ควรคำนึงถึง
ข้อแรกคือ ควบคุมพื้นที่กระจกไม่ให้โดนแดดเยอะ การวางทิศทางของอาคาร เลือกใช้กระจกประเภทที่เหมาะสม และออกแบบผนังหรือกันสาดสามารถช่วยลดความร้อนจากแสงแดดได้
ต่อมาเป็นเรื่องการติดตั้งฉนวนในบริเวณที่เป็นอากาศทั้งหมด เช่น หลังคาหรือผนังที่รับแดดโดยตรง เพื่อไม่ให้ความร้อนสะสมภายในอาคาร
และเรื่อง Shading Device หรือแผงบังแดด ไม่ว่าจะเป็นระแนง กันสาด หรือแม้แต่ต้นไม้ก็ถือว่าเป็น Shading Device ตัวหนึ่ง
ความท้าทายในการทำ Green University
ดร.ชูพงษ์เล่าว่า ความท้าทายที่เผชิญอยู่ตอนนี้คือ การลงทุนและการสื่อสารข้ามเจเนอเรชัน
เมื่อก่อนการสื่อสารกับนักศึกษาง่ายกว่ามาก เพราะพูดภาษาเดียวกัน เข้าใจกันง่าย ปรับวิธีการสื่อสารใหม่ หาเครื่องมือที่เข้าถึงนักศึกษามากขึ้น เช่น การใช้อินฟลูเอนเซอร์หรือจัดประกวดคลิปให้นักศึกษาโชว์กิจกรรมที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ลดขยะ ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะได้คอนเทนต์ที่โดนใจ ยังประหยัดงบประมาณด้วย เพราะใช้แค่ค่ารางวัล แล้วนำคลิปเหล่านั้นไปใช้เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ต่อได้ ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
อีกความท้าทายใหญ่คือ ขอบเขตงานที่กว้างและใหญ่โต
บางประเด็นใหญ่มากจนต้องใช้ทีมช่วย เช่น เรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่สารเคมีในแล็บ ไปจนถึงความปลอดภัยจากรังสีในโรงพยาบาล เรื่องแบบนี้แม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเบสิกด้านความปลอดภัย แต่จริงๆ แล้วก็เกี่ยวข้องกับแนวคิด Green เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม บางเรื่องก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ Safety มาก่อน แม้จะขัดกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น หลอดดูดน้ำลายของคณะทันตแพทย์ที่ต้องใช้แล้วทิ้ง เพราะการนำไปฆ่าเชื้อด้วยอุปกรณ์ใช้พลังงานสูงอาจไม่คุ้มค่า อันนี้ไม่ Green ก็จริง แต่จำเป็นเพื่อความปลอดภัย ซึ่งบางครั้ง 2 เรื่องนี้ก็ต้องหาจุดสมดุลกันให้ได้
เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยในปี 2028 ที่อยากเห็น
“คนกับธรรมชาติต้องอยู่ร่วมกันโดยไม่เป็นภาระซึ่งกันและกัน” ดร.ชูพงษ์กล่าว พร้อมเสริมว่า นี่ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่เป็นหลักที่มีมานานกว่า 1,600 ปีแล้ว ในศาสตร์ฮวงจุ้ยที่พูดถึง ‘ฟ้า ดิน คน’ ซึ่งหมายถึงการเกื้อกูลกันระหว่างธรรมชาติและมนุษย์
ในมุมของความยั่งยืน (Sustainability) เรามักพูดถึง 3 มิติหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจ (Economy), สังคม (Social) และ สิ่งแวดล้อม (Environment) แต่ในความเป็นจริง ปัจจุบันคนจำนวนมากให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจมากที่สุด อยากเติบโต มีรายได้ อยากรวย ส่วนเรื่องสังคมก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะยุคนี้อะไรที่ไม่เหมาะสมก็ถูกสังคมจับตามอง โพสต์วิจารณ์กันรวดเร็วในโซเชียลมีเดีย
“เมื่อมิติของเศรษฐกิจกับสังคม ใหญ่ขึ้นจนเบียดเอามิติสิ่งแวดล้อมให้เล็กลง” รศ.ดร.ชูพงษ์ชี้ให้เห็นว่า ถ้าสามารถบาลานซ์ทั้ง 3 ด้านได้อย่างเท่าเทียม ระบบจะยั่งยืนจริง ซึ่งในบริบทของมหาวิทยาลัยก็สามารถทำได้
นอกจากนี้ ดร.ชูพงษ์ยังอ้างอิงคำพูดของท่านอธิการบดี มข. (รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ชาญชัย พานทองวิริยะกุล) ที่สรุปเป้าหมายไว้ชัดเจนใน 2 ประโยคสั้นๆ ว่า
“Best place to work” และ “Great place to live”
มหาวิทยาลัยควรเป็นทั้งสถานที่ทำงานที่น่าทำงาน และสถานที่ที่น่าอยู่อาศัย ซึ่งอาจารย์ได้นำแนวคิดนี้มาขยายเป็น 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ Safety, Beauty, Handy และ Green แนวคิดเหล่านี้ถูกแปลงไปเป็นแผนการดำเนินงานต่างๆ เช่น โครงการโซลาร์เซลล์ การจัดการขยะ ฯลฯ ที่จะนำไปสู่มหาวิทยาลัยสีเขียวอย่างแท้จริงภายในปี 2028
Green University คือวงจรที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งระบบ
“เมื่อพูดถึงความเป็น Green University ผมมองว่าไม่ใช่แค่การดูแลสิ่งแวดล้อม แต่คือวงจรที่เชื่อมโยงถึงกันทั้งระบบของมหาวิทยาลัย และสิ่งที่เราทำจะต้องกลับไปตอบโจทย์นักศึกษา” ดร.ชูพงษ์กล่าว พร้อมอธิบายว่า มี 3 ด้านหลักๆ ที่อยู่ในวงจรการเชื่อมโยงระบบมหาวิทยาลัย
1. ด้านการเรียนรู้ โครงการหรือแนวทางกรีนต่างๆ จะกลายเป็น Case Study ให้กับนักศึกษาได้เรียนรู้จากของจริง
2. ด้านงานวิจัย งานวิจัยในอนาคตควรโยงกับ SDGs 17 ข้ออย่างน้อยหนึ่งข้อ เช่น พลังงานสะอาด น้ำ หรือการจัดการขยะ และต้องใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่อยู่บนหิ้ง งานวิจัยที่ไม่ตอบโจทย์สังคมก็ไม่ควรทำ
3. ด้านการปลูกฝังทัศนคติ ที่สำคัญที่สุดคือ Mindset ที่เห็นแก่ส่วนรวม ความรู้หรือจินตนาการอาจพัฒนาได้ แต่ถ้าขาดทัศนคติที่ดีต่อสังคม ต่อธรรมชาติ ทุกอย่างก็ไร้ค่า
ท้ายที่สุดสิ่งที่อยากเห็นคือ เมื่อนักศึกษาเรียนจบออกไป เขาจะเป็นคนที่มีหัวใจสีเขียวและส่งต่อความดีงามนั้นสู่สังคม เพราะนักศึกษาคือผลิตผลของมหาวิทยาลัย ที่จะไปสร้างการเปลี่ยนแปลงในโลกใบนี้
สุดท้ายแล้วสิ่งที่ ดร.ชูพงษ์เน้นย้ำมากที่สุดคือ การถ่ายทอดพลัง “ถ้าเราไม่อินกับสิ่งที่ทำ เราจะส่งต่ออะไรให้ใครอินกับมันได้”
Tags: สิ่งแวดล้อม, มหาวิทยาลัย, ขอนแก่น, Enviroment, KKU, Green University, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาลัยสีเขียว, ชูพงษ์ ทองคำสมุทร, มหาวิทยาลัยสีเขียว