เดินวนศูนย์วัฒนธรรม Pompidou อยู่ 1 รอบใหญ่ หวังเข้าดูนิทรรศการหนึ่ง ปิดค่าาา! ทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้า ส่องตาเรือในเน็ตให้ดีก่อนจะมา โดนเทหน้าตาเฉย

ตุปัดตุเป๋เดินต่อมาถึงหน้าทางเข้าอาคารตลาดหุ้นแห่งเก่า ที่นักธุรกิจซื้อไปเป็นคลังแสดงงานสะสม ตรงทางเข้า ผู้คนผลัดกันถ่ายรูปกับต้นไม้ยืนต้นแห้งตายบนพื้นคอนกรีต ตามกิ่งก้านมีหินเป็นก้อนๆ เหน็บหนีบไว้ คงไม่หล่นลงมากระมัง

ในเบื้องต้น วัตถุแสดงออกซึ่งความสัมพันธ์พิสดาร(ก็ว่าได้)กับผู้คนสัญจร โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว มันกลายเป็น monument ตระหง่านให้ถ่ายรูปด้วย เป็นดาราปากทางเข้าอาคารเก่าแก่ให้เซลฟี่ด้วย ความโดดเดี่ยวเก้งก้างตามลำพังจึงไม่สัมบูรณ์ แบบที่ภาษาสมัยใหม่ของยุคท่องเที่ยวฉาบๆ ฉวยๆ มักเรียกว่าจุดเช็กอิน การถ่ายรูปด้วยสร้างสายใยทางสังคม เปลี่ยนให้วัตถุต้นไม้แปลกประหลาดเป็นของมีค่า คู่ควรยืนคู่ จับคู่ลงรูป ภาพถ่ายสร้างชุมชนชั่วคราวขึ้นมา หรือว่าวัตถุต้นไม้ยึดโยงยืนพื้นปักหลักให้เกิดการเข้ามาข้องแวะเกาะแกะ แม้จะชั่วครู่ชั่วคราว แค่ผาดผิวแต่อาจคมลึก

มันคืออะไรนะ? หากยังไม่ประเมินค่าเสร็จสรรพว่าเป็นผลงานศิลปะ (เห็นๆ แน่ๆ ชัวร์ๆ) 

บางที การมีอยู่ของมันและคุณค่าของมัน ก็อาจสืบเนื่องมาจากการที่ผู้มาเยือนและชมเข้าร่วม activate วัตถุดังกล่าว หรืออีกคำหนึ่งคือ actualize วัตถุนั้นผ่านประสบการณ์แห่งผัสสะและการนึกคิด พร้อมกันนั้น วัตถุก็หาได้แน่นิ่งเป็นฝ่ายถูกกระทำให้มีชีวิตขึ้นมา วัตถุก็เป็นฝ่าย activate/ actualize ตัวตนของผู้ชม ของอีกฝ่าย แม้แต่ภาพถ่ายที่บันทึกวัตถุต้นไม้ปราศจากผู้ชมคู่ ยังแนะทางอ้อมว่าอย่าลืมว่ามีผู้ถ่ายภาพ (กระทั่งกล้องวงจรปิดก็สมมติไปแล้วว่าใครสักคนเฝ้าดูอยู่ในฐานะระเบียบกฎและเกณฑ์)

แล้วมันคืออะไรล่ะ?

ในขั้นพื้นฐาน หรือในขั้นปฐมภูมิตามแต่ภาษากิ๊บเก๋ของขนบประติมานวิทยารุ่นเดอะ คือชี้หมายระบุรูปพรรณสัณฐานในทำนองพรรณนาเชิงประจักษ์ คือต้นไม้แห้งไร้ใบ โกร๋น มีแต่กิ่งแตกชี้ออกไป ไม่รู้ใบไปไหน ต้นไม้ผลัดใบ? หรือมันตายไปแล้ว (จริง)? แล้วใครพิเรนทร์เอาก้อนหินไปเสียบระหว่างกิ่งแห้งของมัน หลายก้อนอีกด้วย พิลึกจริง ถ้ามันร่วงลงมาใครเดือดร้อนนะ คงได้ภาพถ่ายหวือหวานักท่องเที่ยวหัวร้างข้างแตก เพราะหินหล่นใส่จากต้นไม้ยืนต้นตาย

ต้นไม้ยืนตายกลางลานเล็ก ห้อมล้อมด้วยตึกคอนกรีต วัตถุต้นไม้เป็นสิ่งแปลกปลอมของพื้นที่ เป็นซากหลงเหลือที่ไม่โค่นล้ม ซ้ำยังแบกรับมวลวัตถุแปลกหน้าไว้บนต้นมันเสียอีก ง่ายๆ พื้นๆ ธรรมดา ต้นไม้ไกลออกไปหน่อยเขียวขจีตามฤดู ตัดต่างจากต้นไม้เดี่ยว solo อยู่กลางลานคนเดินผ่านไปมา วัตถุแปลกตา แปลกปลอม ไม่เข้ากลืนไปกับอาณาบริเวณรายล้อม ไม่ทำหน้าที่ตามธรรมชาติของต้นไม้โดยทั่วไป

นึกถึงจิตรกรรมสกุลเวนิสสมัยเรอเนสซองส์บางภาพขึ้นมา แสดงนักบุญเซบาสเตียนถูกมัดติดต้นไม้ รอรับธนูทหารโรมัน ไม่รู้ปลูกต้นไม้กันยังไงถึงโผล่มาต้นเดียวโด่เด่กลางลานเมืองหรือริมคลองเวนิส ซ้ำผู้คนรายรอบยังไม่ได้มาเซลฟี่ด้วย ยืนอุ้มลูกบ้างล่ะ งีบหลับบ้างล่ะ เม้าท์กันเองบ้างล่ะ ปล่อยหนุ่มน้อยและชุดชั้นในชิ้นเดียว โดดเดี่ยวเซ็กซี่ไม่รู้จะโชว์ใคร

ต้นไม้ที่ยืนต้นพร้อมหนุ่มศักดิ์สิทธิ์ที่ปักหมุดเป็นหัวหลักหัวตอไม่มีใครแยแสยกเว้นผู้ชมนอกกรอบ ต้นไม้ชี้แนะพื้นที่ทางสัญลักษณ์สอดคล้องกับเจตจำนงเชิงจิตวิญญาณของบรรดารูปเคารพทางศาสนา แล้วจึงทำไมจะต้องสมจริงกันเล่า?

นั่นสินะ ทำไมต้นไม้กลางลานหน้าอาคารตลาดหุ้นแห่งเก่า จึงจะต้องมีใบ มันโผล่มากลางพื้นที่สัญจรแบบเดียวกับพวกงานศิลปะ outdoor จำนวนไม่น้อย และทำไมมันจะแสดงตนแตกต่างไปจากธรรมชาติความเป็นมาไม่ได้ เช่นนั้น ก้อนหินค้างเติ่งตรงรอยต่อกิ่งก็เป็นสิ่งขัดธรรมชาติ แปลกปลอม จงใจแปลกปลอม ไม่ได้หล่นมาจากฟ้า หรือต้นไม้แบกหินมีความหมายเดียวกับภาพยุคโบราณ?

ลองเข้าไปใกล้สิ ผิวมันแฉตัวมันว่ามันยิ่งปลอม เป็นต้นไม้ปลอม ทำจากอะไรสักอย่าง แต่ต้นล่ะ? ปลอมจากโฟมหรือวัสดุอื่นด้วยหรือ? ใครจะอาจหาญปีนขึ้นไปพิสูจน์?

ผู้ชมจึงมีความสัมพันธ์กับของปลอม ไม่ใช่ของแท้ แต่เป็นของทำเทียมในระบบของ representation เป็นภาพสื่อแทนหรือภาพตัวแทน สิ่งแทนหรือทดแทน แทนค่าคำว่า ‘ธรรมชาติ’ (ทั้งต้นและหิน) เหมือนจะเป็นนามนัยยังไงยังงั้น วัตถุต้นไม้ลอกเลียน ‘ธรรมชาติ’ ไม่ใช่คอนเซปต์ยากเย็นแสนเข็ญ พิสดารในรูปแบบ แต่สามัญในความคิดตั้งต้น วัตถุต้นไม้แบกหินในนาม ‘ธรรมชาติ’ เป็นวัตถุสามัญในความพิสดารที่มาตามลำดับ

แน่นอนว่าใครสักคน (ศิลปิน ผู้จัดวาง ผู้คิดค้น ฯลฯ) ไม่ปล่อยวัตถุเป็น floating signifier โอ๊ย! ดัดจริตคำเท่! แปลง่ายๆ รูปสัญญะที่ลอยล่อง เขาไม่ปล่อยค้างให้ฟุ้งไปกับบรรดาชื่อผู้สร้างนับสิบนับร้อย กับบรรดามโนทัศน์ล้านแปด วัตถุหาได้ลำพังตนมาพร้อมบัตรประจำตัวที่แปะติดผนังอาคารด้านข้าง แจงบอกนามศิลปิน ชื่อผลงาน วัสดุ กระทั่งความหมาย หรือในที่นี้ขอเรียกง่ายกว่านั้นว่า ความคิดคำนึงของศิลปิน

เอกเทศพลันพังทลาย (มันมีอยู่แต่แรกแล้วจริงหรือ?) เมื่อตัวบทเป็นผู้กำกับสำรองที่กลับคงบทบาทยิ่งยวด แจงไว้ในฝรั่งเศสคู่อังกฤษ ที่แกะแปลเป็นไทยบ้านได้ว่า 

Giuseppe Penone

มวลความคิดแห่งหิน-แสงสว่าง 1532 กก., 2010 (Idee di pietra – 1532 kg di luce, 2010), บรอนซ์, หินแม่น้ำ

ผลงาน มวลความคิดแห่งหินแสงสว่าง 1532 กก. เป็นการเชื่อมโยงต้นไม้หล่อจากบรอนซ์เข้ากับหินจากแม่น้ำที่วางไว้ตามกิ่งก้านแขนงแตกแยกของต้นไม้ ทั้งหมดเป็นการจำแลงกระบวนการทางความคิด กล่าวคือ ความคดเคี้ยวของกิ่งก้านไม้เปรียบเหมือนหลากความคิดที่ผุดมาจากลำต้นแห่งประสบการณ์และความทรงจำลำต้นหนึ่ง บรรดาหินเป็นเหมือนทางเข้าหรือทางตันของกระแสสำนึกรู้ พอๆ กับที่มันหมุดหมายจุดที่กิ่งก้านของต้นไม้จะผุดแตกออกมายามได้รับแสงสว่าง เฉกเช่นเดียวกับที่เหล่าหินทั้งหลายถูกแกะประดิษฐ์จากสายน้ำ มวลหมู่ความคิดก็ก่อตัวขึ้นจากกระแสความนึกคิด บรอนซ์ที่เป็นผลผลิตจากน้ำมือมนุษย์ ก็บิดผันได้ยามหล่อเช่นเดียวกับต้นไม้ในวัยแรกแย้ม จูเซ็ปเป เปโนเน ทำให้ประจักษ์ชัดว่าความคิดมนุษย์เหมือนกับการเจริญวัยที่ไม่ใช่มนุษย์ หมายถึงว่า แม้แต่ต้นไม้และหินก็มีความคิด

  ใช่ใครที่ไหน ศิลปินมีชื่อมานานนม ชาวอิตาเลียน ทำงานหัวเรื่องต้นไม้ธรรมชาติระบบนิเวศมานมนาน จนประเด็นกลับมาเป็นปัจจุบันในวันที่โลกร้อนเอาร้อนเอาจนเอาไม่อยู่ กระทั่งต้นไม้แห้งตาย? กระทั่งหินขึ้นไปติดข้างบน? ผิดที่ผิดทาง แปรปรวนกันไปหมด

วัตถุมีลายเซ็น หาได้ลอยมาจากความว่างเปล่า

มีชื่อให้เรียก

มีผิวมีหนังมีเนื้อความเป็นมา ว่าต้นไม้ประดิษฐ์จากบรอนซ์ ว่าหินสิจริง มาจากแม่น้ำ จริง-ปลอมปะปน ของประดิษฐ์จากมือคนผสมของธรรมชาติเก็บมา ทั้งหมดมวลกลางพื้นที่เมืองและสิ่งก่อสร้างพร้อมธรรมชาติจริงประปรายไกลไปอีกนิด

แต่ที่สำคัญ คือเนื้อความแนะนำตัว บอกวัตถุประสงค์หรือความคิดคำนึงที่เราเรียกกันเก๋ไก๋ไปแล้วว่าคอนเซปต์ และเป็นตัวบทความคิดนึก มโนภาพเช่นนี้ที่คาดไม่ถึง ไม่อาจคาดเดา รวมถึงไม่มีวันล่วงรู้หากไม่วางไว้กำกับ

ครั้นจะบอกว่าเป็นแผนงานของศิลปิน คงไม่อาจพูดได้เต็มปากเต็มคำ เพราะสรรพนามเรียกบุรุษที่สามบอกชัดว่าใครคนอื่นเขียน (ยกเว้นศิลปินขานเรียกตนเอง) จะว่าไป คือการตีความหรืออ่านผลงาน หรือกระทั่งการถ่ายทอดคอนเซปต์ของศิลปินมาอีกต่อ

คงต้องสารภาพว่า หากไม่ได้อ่าน เราก็คงคิดไม่ถึง(ขนาดนั้น) จุดเชื่อมโยงระหว่างความคิดของผู้ชมกับผลงานตลอดจนคำกำกับผลงาน น่าจะเป็นแบบเดียวกับที่หินค้างไว้ระหว่างกิ่ง คือคนละเนื้อ ผิดที่ผิดทาง กลับบนสลับล่าง คำทำงานในส่วนของมุมมองจากอีกฝ่าย คำจากอีกฝ่าย รวมถึงความนึกคิดหรือมโนทัศน์ของอีกฝ่าย ก็ประดิษฐ์จากอีกฝั่งอีกฝ่าย ความคิดไม่ได้งอกมาจากแหล่งเดียว หากวัตถุ activate/ actualize ผู้ชมให้คิด ผู้ชมก็จะ activate/ actualize วัตถุในจุดที่ไม่จำเป็นต้องผสานเป็นเนื้อเดียวกัน

หินจึงวางค้างไว้บนต้นไม้ปลอมได้อย่างชอบธรรม

ต้นไม้ไม่โตทางกายภาพอีกต่อไป แต่อาจงอกเงยในห้วงความคดเคี้ยวของความคิด

ด้านล่างของใบแนะนำตัว จัดหมวดหมู่ไว้ในนิทรรศการ arte povera

ชื่อ poor art ไม่ได้แปลว่าจนความคิด

เอ! แล้วแสงสว่างอีก 1,532 กก. มาทำอะไรหว่า

แล้วถ้ามาเยือนชมวัตถุในนามศิลปะยามมืดค่ำดึกดื่น วันหมองไร้ตะวัน วันเกิดสุริยคราส แสงสว่างชั่งกิโลจะทำงานยังไง

ภาพยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการกลับมา มาไกลจัง เอาแค่ศตวรรษที่ 20 ไหวไหม ก็การเอาล่างขึ้นบน ปรับเป็นเปลี่ยนตาย ผิดฝาผิดตัว แบบนี้ ไม่ชวนให้นึกถึงความขี้เล่นของกระแสเซอร์เรียลิสม์หรือไง? ประเภทที่จับแพะชนกับแกะ แต่ได้อารมณ์พิสดาร แปลกใหม่ พาคิดไปอีกแบบจากการตัดต่อแต่งพลิกแพลงโยกย้าย

ไปเรื่อย…

เราไม่ได้ขุดคลังความจำและความรู้ เพียงเพื่อจะบอกว่าไม่มีอะไรใหม่ใต้ตะวันและแสงแดดอีกพันกว่ากิโล และไม่ได้ปัดฝุ่นกระแสศิลปะเก่าเอามาเป็นฉลากต้นทางให้งานรุ่นใหม่ (กรุณาอย่าขุดรากเหง้าไกลโพ้นแค่เอามาทึกทักเป็นบรรพบุรุษอีกเลย…ขอเถอะ!) บรรดา analogy ทั้งหลาย เป็นทั้งขีดจำกัดของความหมายและความเป็นไปได้(หนึ่ง)ของการหาความหมาย

หมายถึงว่า วัตถุเป็นคลังให้ขุด เป็นขุมความคิดให้ค้น ‘มวลความคิดแห่งหิน’ ไม่ได้ทื่อตายตัวแบบหิน หินเองก็ไปลอยติดตรงที่ไม่ควรอยู่ ไม่ได้แปลกอีกต่อไปว่า ธรรมชาตินึกคิดรับรู้ ไม่พิสดารอีกแล้วที่วัตถุมีจิตวิญญาณ (ในเงื่อนไขว่าไม่ใช่การเอาเทพมาลง…) ผู้ชมจะคิดต่อ หรือไม่คิดจะคิด

แล้วใครว่า แค่ถ่ายรูปด้วย นั่นคือไร้ความคิด?

ต้นไม้ปลอมแบกหินจริง ไม่ได้แค่ยืนพื้นเป็นวัตถุให้ถ่ายรูปด้วย แต่ถูกแปลงให้เป็นวัตถุแห่งการรำลึก เป็นวัตถุสืบเนื่องความทรงจำ ไม่มีชื่อต้นไม้ในชื่องาน แค่ถูกพาดพิงใน ‘ความคิด’ และในมวลแสงสว่างนับพันกิโล ต้นไม้เทียมรองรับธรรมชาติจริงที่ทิ้งค้างไว้เป็นวัตถุปริศนาแปลกปลอม รับบทบาทของแก่นหรือฐานตั้งโชว์งานศิลปะ ราวนิ้วมือเรียวระเกะระกะระโยงระยางยาวเฟื้อยเลื้อยสู่ฟ้า สวมแหวนตราอัญมณีธรรมชาติเป็นปุ่มเป็นตุ่มระหว่างซอก คือ base หรือ socle ที่ช่วยชูเชิดสิ่งอื่นที่จริงกว่าตัว ธรรมชาติกว่าตน ฐานที่ชูเชิดระฟ้า เบื้องล่างที่โผล่ขึ้นชูบน วัตถุศิลปะหรือธรรมชาติประดิษฐ์หาได้ค้างเติ่งอยู่กลางลานสาธารณะไว้ให้มาเช็กอิน เพราะบ่อยครั้งผู้มาเช็กอิน มักเช็กเอาต์จากไปโดยไม่เช็กอะไรต่ออะไร

ว่าต้นไม้อีกต้น ไกลออกไป ที่สวนสาธารณะ Tuileries อีกต้นจากศิลปินเดียวกัน แต่ล้มทั้งต้นราวล้อกับต้นยืนตาย 

Singular object ไม่ได้แปลว่า single

Tags: , , , , , , ,