กลายเป็นข่าวใหญ่แห่งวงการดนตรี หลังจากเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2025 เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) นักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดัง ลงประกาศว่า ในที่สุดเธอก็ซื้อลิขสิทธิ์ 6 อัลบั้มแรกของตัวเองกลับคืนมาได้เสียที หลังจากพยายามมาอย่างยาวนาน 

ก่อนหน้านี้หลายคนอาจเคยเห็นสวิฟต์ทยอยปล่อยอัลบั้มเก่าๆ อย่าง Fearless, Red, Speak Now, และ 1989 ออกมาในรูปแบบใหม่ มีวงเล็บว่า ‘Taylor’s Version’ ต่อท้าย ซึ่งหากไม่ได้ตามข่าวอย่างใกล้ชิด ก็คงไม่เข้าใจว่าเธอทำไปทำไม แต่แท้จริงมันเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ ทำให้สวิฟต์สามารถกลับมาเป็นเจ้าของผลงานตัวเองได้โดยสมบูรณ์

วันนี้ The Momentum จะพามาย้อนไทม์ไลน์ ทำความเข้าใจมหากาพย์แย่งลิขสิทธิ์ และแนวคิดของศิลปินหญิงที่รวยที่สุดในโลก

Master Rights จุดเริ่มต้นของปัญหา

หากจะเจาะไปที่ต้นตอของปัญหา คงต้องอธิบายเสียก่อนว่า สำหรับวงการเพลงฝั่งสหรัฐอเมริกา สิทธิในผลงานเพลงแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ Publishing Rights และ Master Rights

1.Publishing Rights หรือสิทธิในการเผยแพร่ ดัดแปลง ทำซ้ำ สิทธิตรงนี้มักเป็นของผู้แต่งเพลง กล่าวคือ ผู้แต่งเพลงสามารถนำเนื้อร้องและทำนองของเพลงไปอัดใหม่ รีมิกซ์ หรือแสดงตามงานต่างๆ ได้

2.Master Rights หรือสิทธิใน ‘ตัวเพลงต้นฉบับ’ ที่อัดไว้ สิทธิตรงนี้มักเป็นของค่าย กล่าวคือ ค่ายมีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจว่า จะขายลิขสิทธิ์เพลงให้ใคร บริษัทไหน ในราคาเท่าไร โดยไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมจากศิลปิน 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2005 สวิฟต์วัย 15 ปี เซ็นสัญญากับค่าย Big Machine Records เพื่อเดบิวต์เป็นนักร้องตามที่ใฝ่ฝัน โดยสัญญาระบุว่า ค่ายจะเป็นผู้ถือ Master Rights ใน 6 อัลบั้มแรกของเธอ ‘ตลอดไป’ 

สำหรับเราๆ ที่มาอ่านเรื่องราวทีหลัง อาจรู้สึกว่าสัญญาดูไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย และสวิฟต์ไม่น่าเซ็นตั้งแต่แรก แต่ในยุคนั้นการให้ Master Rights กับค่ายเป็นเรื่องปกติที่ทำกันทั้งวงการ และสวิฟต์เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่มีชื่อเสียง ทำให้ไร้อำนาจต่อรองโดยสิ้นเชิง หากเธอไม่ยอมตามเกมของค่าย ก็คงหมดโอกาสได้เดบิวต์

หลังจากเซ็นสัญญาดังกล่าว สวิฟต์ใช้เวลา 12 ปีปล่อยอัลบั้มออกมาครบ 6 อัลบั้ม ได้แก่ Taylor Swift, Fearless, Speak Now, Red, 1989, และ Reputation จนกระทั่งปี 2018 เธอหมดสัญญากับ Big Machine Records จึงออกมาซบอกค่ายใหม่ นั่นก็คือ Republic Records ซึ่งก่อนจะย้ายค่าย สวิฟต์พยายามเจรจาขอซื้อ Master Rights จาก Big Machine Records แล้ว แต่ไม่สำเร็จ จึงต้องทำใจยอมทิ้งทั้ง 6 อัลบั้มไว้กับค่ายเก่า

เมื่อความทุ่มเททั้งชีวิตตกอยู่ในมือศัตรู

แม้จะไม่สามารถซื้อผลงานเก่าคืนได้ดังหวัง สวิฟต์ก็ตัดสินใจจะปล่อยวางและเดินหน้า มุ่งมั่นทำผลงานใหม่ที่ดีขึ้นต่อไป อย่างไรก็ตาม ในปี 2019 กลับมีข่าวว่า Big Machine Records ขาย 6 อัลบั้มของสวิฟต์ให้กับ สกูตเตอร์ บรอน (Scooter Braun) 

บรอนถือเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการเพลงอเมริกาคนหนึ่ง ในอดีตเขาเป็นผู้จัดการให้ศิลปินเบอร์ใหญ่มากมาย รวมถึง  จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) และคานเย เวสต์ (Kanye West) ส่วนปัจจุบันเป็นซีอีโอบริษัท HYBE America คอยช่วยดูแลงานของวง BTS, SEVENTEEN, KATSEYE ฯลฯ

สวิฟต์เล่าว่า บรอนบูลลีเธอมาตลอดหลายปี ทุกครั้งที่เธอพูดชื่อเขา เธอมักจะหลุดร้องไห้หรืออย่างน้อยๆ ก็เกือบร้อง นอกจากนั้นบรอน บีเบอร์ และเวสต์ยังเคยร่วมซ้ำเติมเธอในตอนที่ชื่อเสียงของเธอตกต่ำถึงขีดสุด เธอจึงไม่สามารถยอมรับได้ที่ความทุ่มเททั้งชีวิตต้องตกอยู่ในมือคนแบบนี้

ภาพ FaceTime ระหว่างบรอน บีเบอร์ และเวสต์ ที่บีเบอร์เคยโพสต์ล้อเลียนสวิฟต์

หลังจากสวิฟต์เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด แฮชแท็ก #IStandWithTaylor หรือ ‘ฉันอยู่ข้างเทย์เลอร์’ ก็พุ่งติดเทรนด์ทวิตเตอร์ มีศิลปินอื่นๆ มากมายในวงการออกมาให้กำลังใจเธอ และมีคนบางส่วนแนะนำให้เธอนำ 6 อัลบั้มแรกมาอัดใหม่ ขายใหม่

ย้อนกลับไปที่ประเด็น Publishing Rights และ Master Rights เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ถึงแม้บรอนจะซื้อ Master Rights ของทั้ง 6 อัลบั้มนั้นไปแล้ว แต่เนื่องจากสวิฟต์แต่งเพลงของตัวเองทุกเพลง เธอจึงมี Publishing Rights หรือสิทธิในการเผยแพร่ ดัดแปลง ทำซ้ำ

พูดง่ายๆ คือ หากเธอนำเพลงเก่ามาอัดใหม่โดยที่ใส่ความแตกต่างลงไปเพียงเล็กน้อย เธอก็สามารถเป็นเจ้าของ ‘เพลงเก่าที่อัดใหม่’ เหล่านั้นได้

นี่เองกลายเป็นที่มาของ 

Fearless (Taylor’s Version)

Red (Taylor’s Version)

Speak Now (Taylor’s Version)

1989 (Taylor’s Version)

ซึ่งทั้ง 4 อัลบั้มล้วนมีกระแสตอบรับดีเยี่ยม เปิดตัวด้วยอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard 200 และทำให้หลายๆ เพลงในตำนานของสวิฟต์กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง

ว่ากันตามตรง ช่วงปี 2019 กราฟความดังของสวิฟต์เริ่มชะลอลงแล้ว เพราะเธออยู่ในวงการมาค่อนข้างนาน แต่ด้วยจังหวะอันประจวบเหมาะ ความสำเร็จของอัลบั้มใหม่อย่าง folklore ในปี 2020 บวกกับอัลบั้มเก่าๆ ที่นำมาอัดใหม่เป็น Taylor’s Version ทำให้ชื่อเสียงของเธอพุ่งขึ้นไปอีก

Vault Tracks และ The Eras Tour

ถึงตรงนี้หลายคนอาจกำลังสงสัยว่า ถ้าแค่เอาเพลงเก่ามาอัดใหม่ ก็สามารถเป็นเจ้าของเพลงได้ ทำไมศิลปินคนอื่นที่เจอสถานการณ์คล้ายกับสวิฟต์จึงไม่เคยคิดทำแบบเธอ

คำตอบก็คือ ศิลปินหลายคนมองว่าเป็นการลงทุนที่ ‘ได้ไม่คุ้มเสีย’ การอัดเพลงเก่าให้เหมือนเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และต่อให้ทำได้เหมือนเดิมเป๊ะ ก็ไม่รู้เลยว่าจะขายออกไหม แฟนคลับส่วนใหญ่ย่อมเคยซื้อของเก่าไปเรียบร้อยแล้ว จะเสียเงินซื้ออีกรอบทำไม

ทว่าสวิฟต์คิดต่างออกไป เธอไม่ได้เอาอัลบั้มเก่ามาอัดใหม่ทื่อๆ แต่ในทุกอัลบั้มที่เป็น Taylor’s Version นั้น จะมี ‘Vault Tracks’ เพิ่มเข้ามาด้วย ซึ่งก็คือเพลงที่เธอเคยแต่งไว้สำหรับอัลบั้มนั้นๆ แต่สุดท้ายไม่ได้เผยแพร่

ยกตัวอย่างเช่น สวิฟต์เคยแต่งเพลง All Too Well ยาวถึง 10 นาทีไว้สำหรับอัลบั้ม Red ปี 2012 แต่เพราะคิดว่ายาวเกินไปคงไม่มีใครฟัง จึงย่อเหลือ 5 นาที ทั้งนี้พอมาทำ Red (Taylor’s Version) ในปี 2021 สวิฟต์รู้แล้วว่าแฟนๆ อยากฟังฉบับเต็มกันมาก จึงปล่อย All Too Well (10 Minute Version) ออกมาเป็น Vault Track

สุดท้าย All Too Well (10 Minute Version) ก็ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของชาร์ต Billboard Hot 100 และทำสถิติเป็นเพลงอันดับ 1 ที่ยาวที่สุด

นอกจากนี้ เพลง Is It Over Now? ที่เป็น Vault Track จากอัลบั้ม 1989 (Taylor’s Version) ก็ติดอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 เช่นกัน

ในหนึ่งอัลบั้ม สวิฟต์มีทั้งเพลงในตำนานที่แฟนๆ คิดถึง ผสมกับ Vault Tracks ใหม่ๆ น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่แปลกเลยที่ Taylor’s Version จะประสบความสำเร็จ

หน้าปกอัลบั้ม Taylor’s Version ทั้ง 4 อัลบั้ม

อีกประการหนึ่ง สวิฟต์ยังวางคอนเซปต์ของทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุดได้อย่างชาญฉลาด ต้องเท้าความก่อนว่า ปกติแล้วทัวร์คอนเสิร์ตมักจะเชื่อมโยงกับอัลบั้มใดอัลบั้มหนึ่งเท่านั้น เช่น Reputation Tour ปี 2018 ก็เน้นแสดงเพลงในอัลบั้ม Reputation เสียส่วนใหญ่

หลังจากปล่อยอัลบั้ม Midnights ในปี 2022 สวิฟต์จะทำ Midnights Tour เฉยๆ ก็ได้ แต่เธอเลือกทำ ‘The Eras Tour’ ซึ่งเป็นทัวร์ที่รวบรวมเพลงจากทุกอัลบั้มแทน คนที่เลือกไปทัวร์นี้เพราะเพิ่งมารู้จักสวิฟต์ภายหลัง ก็ต้องฟังอัลบั้มเก่าๆ ของเธอไปด้วยโดยปริยาย

กลยุทธ์โปรโมตดังกล่าวยิ่งทำให้โปรเจกต์ Taylor’s Version ประสบความสำเร็จเป็นทวีคูณ

เมื่อปลายปี 2024 สวิฟต์ปิดจบ The Eras Tour ไปด้วยยอดขายบัตรเกิน 10 ล้านใบ แสดงโชว์ไปทั้งหมด 149 ครั้ง และทำรายได้มากกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จัดเป็นทัวร์ที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้สถานะของเธอกลายเป็น ‘เศรษฐีพันล้าน’ 

โปสเตอร์ของ The Eras Tour

ถึงเวลาทวง Master Rights คืน

ย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2020 หลังจากที่บรอนซื้อลิขสิทธิ์ 6 อัลบั้มแรกของสวิฟต์ไปแล้ว เขาก็ได้ขายต่อให้กับ Shamrock Capital ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่บริหารหุ้นนอกตลาด (Private Equity Firm) ในราคา 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

อ้างอิงข้อมูลจาก Billboard สวิฟต์สามารถซื้อ Master Rights คืนมาจาก Shamrock Capital ได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับ 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากๆ ทำให้บริษัทแทบจะไม่ได้กำไรจากการลงทุนครั้งนี้เลย ยกเว้นกำไรรายปีจากยอดสตรีม

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนวิเคราะห์ว่า การที่สวิฟต์ลงทุนลงแรงอัด Taylor’s Version นั้น นอกจากจะช่วยเรื่องชื่อเสียงของเธอแล้ว ยังช่วย ‘ลดมูลค่า’ อัลบั้มเก่า ทำให้เธอซื้อคืนมาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย เพราะ ‘สวิฟตี้’ หรือแฟนคลับผู้ทุ่มเทของสวิฟต์ ต่างก็ช่วยกันแบนอัลบั้มเก่าสุดฤทธิ์ 

หลังจากที่สวิฟต์ประกาศข่าวดี เหล่าสวิฟตี้ก็พร้อมใจกลับไปสตรีมอัลบั้มเก่า ทำให้สวิฟต์พุ่งกลับขึ้นสู่อันดับ 1 ในชาร์ตศิลปินทั่วโลกของ Spotify นอกจากนั้นอัลบั้ม Reputation และ Taylor Swift ยังครองที่ 1 และ 2 บนชาร์ต iTunes อเมริกาอีกด้วย

เรียกได้ว่า ชื่อของสวิฟต์ไม่เคยหายไปจากวงการจริงๆ ถึงแม้จะไม่ได้ปล่อยอัลบั้มใหม่หรือไปโชว์ตัวที่งานไหน แต่ก็สามารถติดท็อปชาร์ตได้ง่ายๆ ด้วยประกาศเพียงฉบับเดียว

ภาพล่าสุดที่สวิฟต์โพสต์เพื่อประกาศข่าวดี

แล้ว Rep TV ล่ะ?

แน่นอน การได้ Master Rights คืนเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับสวิฟต์ในฐานะคนทำงานสร้างสรรค์ แต่เนื่องจากอัลบั้ม Reputation เป็นหนึ่งในอัลบั้มโปรดของสวิฟตี้จำนวนมาก จึงยังมีการเรียกร้องให้สวิฟต์ทำ Reputation (Taylor’s Version) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ‘Rep TV’ ออกมาอยู่ดี

ในส่วนนี้สวิฟต์อธิบายว่า

“ฉันรู้ ฉันรู้ แล้ว Rep TV ล่ะ? ขอพูดตรงๆ เลยนะ ฉันยังอัดไปไม่ถึง 1 ใน 4 เลย อัลบั้ม Reputation เป็นอะไรที่เฉพาะเจาะจงกับช่วงหนึ่งในชีวิตของฉันมาก และทุกครั้งที่พยายามจะอัดมันใหม่ ฉันมักจะเจอทางตัน มันเป็นอัลบั้มเดียวใน 6 อัลบั้มที่ฉันคิดว่า ต่อให้ทำใหม่ก็ไม่สามารถทำให้ดีกว่าเดิมได้”

แม้จะน่าเสียดาย ทว่าเป็นเหตุผลที่ค้านไม่ได้ เพราะบางอารมณ์ บางเหตุการณ์ เราก็ไม่สามารถถ่ายทอดมันออกมาใหม่ซ้ำสองได้จริงๆ

อย่างไรก็ตาม สวิฟต์ทิ้งท้ายว่า เธออัด Taylor Swift (Taylor’s Version) เสร็จเรียบร้อยแล้ว หากแฟนๆ ยังคงอยากฟัง สักวันหนึ่งเธอก็อาจจะปล่อยออกมา รวมถึง Vault Tracks ของอัลบั้ม Reputation ด้วยเช่นกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาที่เหมาะสมและความต้องการของแฟนคลับ

ที่น่าสนใจคือ ปีหน้าอัลบั้ม Taylor Swift จะครบรอบ 20 ปีพอดี เราคงต้องมารอดูกันต่อไปว่า สวิฟต์จะมีอะไรมาเซอร์ไพรส์เราไหม

อ้างอิง

https://www.usemogul.com/post/publishing-rights-vs-master-rights-understanding-the-key-differences

https://www.bbc.com/news/articles/cp3n799d0v5o 

https://www.billboard.com/lists/taylor-swift-scooter-braun-feud-timeline/swift-responds-to-the-announcement-via-passionate-tumblr-post/

https://www.billboard.com/music/pop/taylor-swift-cover-story-interview-billboard-women-in-music-2019-8545822/ 

https://www.nytimes.com/2024/12/09/arts/music/taylor-swift-eras-tour-ticket-sales.html 

https://www.billboard.com/pro/taylor-swift-regains-control-master-recordings-shamrock/ 

Tags: , , ,