“ที่จริงกูสามารถฆ่าพวกมึงได้ตั้ง 10 คนเลยนะ

“แต่กูไม่อยากทำ เพราะพวกเอ็งยังหนุ่มยังแน่น และแค่มาทำหน้าที่เท่านั้น”

1

เช้าตรู่ของวันที่ 26 พฤษภาคม 2011 ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเมืองลาซาเรโว ประเทศเซอร์เบีย เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังผ่านถนนเส้นเล็กๆ เพื่อเข้าปิดล้อมบ้านอิฐสีเหลืองโทรมๆ หลังหนึ่ง โดยได้รับข้อมูลจากหน่วยข่าวกรองและรัฐบาลว่า สถานที่แห่งนี้มีเป้าหมายเป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีสำคัญอาศัยอยู่

ชุดจับกุมมั่นใจมาก พวกเขาสุ่มดูมากว่า 2 สัปดาห์แล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านหลังนี้ พลันที่เปิดประตูออก เจ้าหน้าที่ก็เห็นเตียงเปล่า แต่มีร่องรอยใช้งานอยู่เป็นประจำ เมื่อสังเกตไปที่มุมห้องหลังประตู ตำรวจทั้งหลายก็ถึงกับชะงัก เมื่อภาพตรงหน้าคือ ชายชราป่วยกระเสาะกระแสะ เพราะอายุมากถึง 68 ปีแล้ว แต่ยังแฝงความเหี้ยมเกรียม แผ่รัศมีสุดสะพรึงออกมา

บุรุษวัยเฉียดหลัก 7 สบตากับตำรวจ ในที่สุดการค้นหาก็สิ้นสุด 16 ปีที่รอคอย 16 ปีที่แทบจะพลิกแผ่นดินล่า 16 ปีที่คนทั้งโลกเชื่อว่า รัฐบาลเซอร์เบียรู้เห็นเป็นใจในการให้ที่ซ่อนชายคนนี้ ความจริงปรากฏแล้ว เขาไม่ได้ลอยนวลอีกต่อไป แต่ดันมีชีวิตยืนยาวจนถึงปัจจุบัน

วันที่เขาถูกจับกุม

“ปู่ชื่ออะไร” เจ้าหน้าที่ถามย้ำทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า อีกฝ่ายคือใคร

“ขอแสดงความยินดีด้วย กูคือคนที่พวกมึงตามหา

“กูชื่อ รัตโก มลาดิช”

 

2

เดือนกรกฎาคม 1995 ณ ตอนเหนือของกรุงซาราเยโว ที่หมู่บ้านเหมืองเกลือเล็กๆ ชื่อว่า สเรเบรนิตซา ปัจจุบันอยู่ในประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา แต่ในปีดังกล่าวยังอยู่ในการคุ้มครองของสหประชาชาติ หลังคนในดินแดนนี้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิม พยายามเรียกร้องเอกราชจากประเทศผู้ยึดครองอย่างยูโกสลาเวีย

ในเดือนและปีดังกล่าว กองทัพทหารชาวเซิร์บจากยูโกสลาเวีย ซึ่งสั่งการโดยผู้บัญชาการนามว่า รัตโก มลาดิช (Ratko Mladic) ย้ำให้นักรบเคลื่อนกำลังเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนี้ พร้อมคำสั่งเฉียบขาด

“เผาให้ราบ ยิงให้กระจุย ได้เวลาแก้แค้นพวกมันแล้ว”

ความขัดแย้งในยูโกสลาเวียเกิดขึ้น เมื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งคนบอสเนียและโครเอเชียไม่อยากอยู่ใต้การปกครองของชาวเซิร์บ พวกเขาทำประชามติเห็นพ้องว่า จะแยกประเทศในปี 1992 แต่การแยกตัวเป็นเอกราชจะทำให้ประเทศยูโกสลาเวียล่มสลาย นี่เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองจากส่วนกลางยอมไม่ได้ รัฐบาลชาวเซิร์บต่อต้านการทำประชามตินี้ 

ประธานาธิบดียูโกสลาเวียสั่งการให้กองทัพเข้าควบคุมสถานการณ์ นั่นหมายถึงการเข่นฆ่า จัดการผู้ก่อการร้าย ผู้หวังแยกดินแดนให้สิ้นซาก

นายพลมลาดิชคือนายทหารที่พ่อเสียสละชีพขณะต่อสู้กับนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาอุทิศตัวเองเพื่อกองทัพและยูโกสลาเวีย ประเทศนี้จะแบ่งแยกไม่ได้ ในฐานะทหารปืนใหญ่ มาดองอาจ เหี้ยมเกรียม เด็ดขาด มีลูกน้องเคารพนับถือ พร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อ โดยไม่มีการโต้แย้ง

พลันที่ได้รับคำสั่งให้จัดการกวาดล้างศัตรูของยูโกสลาเวีย ในหมู่บ้านสเรเบรนิตซาแห่งนี้ ทหารก็ถือปืนเข้าโรมรัน พวกเขายิงทุกอย่างที่เคลื่อนไหว มีการตั้งสไนเปอร์อยู่ตามตึก ใครที่ต้องสงสัย จะถูกลั่นไกฆ่าโดยไม่มีการถามใดๆ ทั้งสิ้น

การปฏิบัติการของกองทัพนี้มีจุดประสงค์เพื่อยึดเมืองคืนจากคนบอสเนียซึ่งนับถืออิสลาม วิธีการทำงานเน้นการกวาดล้าง จับผู้ชายและเด็กผู้ชายขึ้นรถบรรทุก ซ้อม กระทืบ แล้วยิงทิ้ง ผู้หญิงถูกข่มขืน ประชาชนในพื้นที่ต่างหวาดกลัว 

ประวัติศาสตร์จารึกว่า มีประชาชนบอสเนียถูกนำตัวมาสังหารในหมู่บ้านแห่งนี้ประมาณ 8,000 ราย ตั้งแต่เด็กน้อยยันผู้ใหญ่ ถือเป็นการก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เหี้ยมโหดในโลกยุคปัจจุบัน เป็นรองเพียงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยพวกนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เท่านั้น

ทหารเซิร์บของนายพลมลาดิชไม่มีความสงสาร เช่นเดียวกับผู้บัญชาการคนนี้ เขาสั่งเดินสวนสนามฉลองชัยชนะ ผ่านถนนเล็กๆ ในหมู่บ้าน ที่ซึ่งมีซากศพถูกยิงทิ้งเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางความหวาดกลัว ชาวบ้านขวัญผวา ทหารเซิร์บกลับเดินอย่างมั่นใจ ราวกับไม่ได้ทำอะไรผิด ชื่นบานปีติ 

ด้านนายพลมลาดิชก็ถือกล้องส่องทางไกล ให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างเลือดเย็น แล้วกอดคอจับมือลูกน้องที่ทำงานสำเร็จ

ความเหี้ยมโหดที่มลาดิชกระทำต่อคนบอสเนียนั้น มีเสียงร่ำลือจากคนใกล้ตัวว่า เกิดจากการที่ลูกสาวหยิบปืนสั้นประจำตัวบิดา มาลั่นไกฆ่าตัวตาย และเจ้าตัวยังเก็บปืนที่ลูกสาวสุดที่รักยิงตัวเอง เขาเสียใจและกลายเป็นคนเย็นชา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรต่อโลกใบนี้อีกแล้ว

นั่นจึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในบอสเนีย

การสังหารโหดครั้งนั้นทำให้นายพลมลาดิชได้รับฉายาอย่างน่ารังเกียจจากทั้งโลกว่า ‘นักฆ่าแห่งบอสเนีย’

3

กระนั้นความรุนแรงของทหารยูโกสลาเวียก็ถึงจุดสิ้นสุด เมื่อชาติตะวันตกรวมพลังส่งกองทัพทิ้งระเบิด ด้วยพลานุภาพที่มากกว่า ทำให้นักรบชาวเซิร์บล่าถอยจากโครเอเชียและบอสเนีย จนสามารถประกาศเอกราชได้ ทำให้ยูโกสลาเวียสูญเสียดินแดน

เมื่อทางการเข้าตรวจสอบที่หมู่บ้านสเรเบรนิตซา พวกเขาก็พบศพถูกฝัง ถูกอำพรางเป็นจำนวนมาก มีพยานค่อยๆ กล้าออกมาบอกเล่าความโหดร้ายของทหารเซิร์บ กินเวลาไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็มีข้อมูลเพียงพอที่จะกล่าวหาลูกน้องใต้บังคับบัญชาของนายพลมลาดิชว่า มีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

แต่นักฆ่าแห่งบอสเนียไม่สนใจ ตราบใดที่เขาอยู่ในยูโกสลาเวีย ตราบใดที่รัฐบาลมือเปื้อนเลือดปกครองประเทศ ก็จะไม่มีใครทำอะไรชายคนนี้ได้

มลาดิชอาศัยอยู่ในค่ายทหารแบบเพลิดเพลิน แม้ศาลระหว่างประเทศหรือศาลโลกในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ออกหมายจับ และเรียกร้องให้ยูโกสลาเวียส่งตัวเขามาพร้อมกับผู้นำและนายทหารที่รู้เห็นการสังหารโหดนี้

แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉย พวกเขาปฏิเสธจะมอบตัว ทำเหมือนหมายจับเป็นกระดาษชำระไร้ค่า มลาดิชใช้เวลากับเพื่อนฝูงนายพล เดินเล่นในป่า เล่นไพ่ ตีปิงปอง เบื่อๆ ก็เล่นหมากรุก คุยกันสารพัด และพยายามเดินให้เยอะขึ้นเพื่อออกกำลังกาย

ผู้ก่อเหตุมั่นใจว่า ไม่มีอะไรที่จะมาพาตัวพวกเขาไปขึ้นศาลกรุงเฮกได้แน่นอน

จนกระทั่งรัฐบาลมือเปื้อนเลือดล่มสลาย พร้อมกับประเทศยูโกสลาเวียกลายเป็นประเทศเซอร์เบีย ซึ่งมีรัฐบาลที่ยอมรับอำนาจของศาลกรุงเฮก และตั้งชุดปฏิบัติการล่าตัวผู้ก่อเหตุในบอสเนีย ไปขึ้นศาล

นั่นทำให้ประธานาธิบดีที่สังหาร นายพล หรือนายพันที่ร่วมฆ่า ต่างหลบหนีกันจ้าละหวั่น เช่นเดียวกับมลาดิช เขาหายตัวไปอย่างฉับพลันจากสายตาคนทั้งโลก

แต่คนใกล้ชิดและเหล่าขุนศึกทั้งหลายรู้ดีว่า นักฆ่าแห่งบอสเนียอยู่ที่ไหน

แท้จริงแล้วมลาดิชยังอาศัยอยู่ในเมืองหลวงเซอร์เบียแบบสบายๆ หลังจากย้ายไปมาในค่ายทหารหลายแห่ง โดยมีคนขับรถและบ๋อยเป็นของตัวเอง ได้กินอาหารอร่อยๆ ได้ออกกำลังกาย นายพลยังคงใช้ชีวิตปกติสุข เพราะมีทีมงานร่วมกันปกป้องคุ้มครอง มีทีมรักษาความปลอดภัยดูแล ทหารเซอร์เบียรู้ว่าเขาอยู่ไหน แต่ไม่มีใครกล้าปริปากใดๆ ทั้งสิ้น

แม้เสียงร่ำไห้จากครอบครัวผู้สูญเสียจากการสังหารโหดจะเรียกร้อง แม้ชาติตะวันตกและคนทั้งโลกจะร่วมกดดันไปยังรัฐบาลเซอร์เบียให้เร่งจับกุม

แต่ไร้ซึ่งความคืบหน้าทั้งสิ้น

มลาดิชยังลอยนวล ไม่มีใคร (กล้า) จับกุมเขาได้

4

การล่าตัวอาชญากรรมที่ก่อเหตุด้วยอำนาจรัฐ ไม่อาจใช้เวลารวดเร็วจัดการได้ มันกินเวลาหลายปี รัฐบาลของเซอร์เบีย ค่อยๆ เปลี่ยนผ่าน พวกเขาพยายามแยกตัวเองออกจากรัฐบาลยูโกสลาเวียมือเปื้อนเลือด พยายามตั้งชุดปฏิบัติการล่าตัว แม้จะจับกุมผู้นำ นักการเมือง ขุนศึกจำนวนหนึ่ง ส่งไปให้ศาลกรุงเฮกจัดการ

แต่นั่นก็แลกมากับการตอบโต้ของกลุ่มที่เคยครองอำนาจ มีการลอบฆ่า มีการปกปิดความจริง มีการแอบช่วยเหลือ เมื่อมลาดิชเริ่มรู้ตัวว่า ค่ายทหารไม่ปลอดภัยสำหรับเขาแล้ว เจ้าตัวจึงย้ายไปอยู่แฟลตเล็กๆ กลางเมืองหลวงของเซอร์เบีย เป็นนัยว่าที่ซึ่งอันตรายสุดจะเป็นจุดปลอดภัย

ระหว่างนั้นเขาจะขังตัวเองในห้อง ไม่ค่อยออกไปไหน แต่บางทีก็จะไปเดินชมเมืองกับลูกชาย พูดคุยกับเพื่อนฝูง เพื่อคุยความหลังเก่าๆ

ผ่านไป 10 ปี นักฆ่าแห่งบอสเนียยังลอยนวล แต่เมื่อผู้ก่อเหตุคนอื่นๆ เริ่มโดนจับกุมทีละคน ทีละราย ในที่สุดอดีตนายพลจอมโหด ต้องย้ายนิวาสสถานจากแฟลตไปอยู่บ้านลูกพี่ลูกน้องในชนบท ด้วยสุขภาพทรุดโทรม ทีมรักษาความปลอดภัยที่เคยดูแลเขาก็เริ่มน้อยลงและค่อยๆ หายไป

เมื่อความยุติธรรมเริ่มดำเนินการไปเรื่อยๆ แม้จะช้า แต่ก็ไม่หยุดทำงาน นั่นส่งผลต่อคนรอบตัวมลาดิชที่ปลีกตัวออกห่างไม่อยากยุ่งด้วย อดีตผู้บัญชาการที่มีลูกน้องเคารพนับถือเป็นร้อยๆ สุดท้ายก็เหลือเพียงตัวเขาคนเดียว เมียก็มาเยี่ยมไม่ได้ ลูกชายก็ไม่อาจมาพบ เพราะอยู่ในสายตาสอดส่องของทางการเซอร์เบีย ที่ต้องการและตั้งใจจะจับนักฆ่าแห่งบอสเนียมาโดยเร็ว

ที่บ้านหลังเล็กๆ ณ เมืองลาซาเรโว เป็นนิวาสสถานสุดท้ายของชายชรา เขาป่วยกระเสาะกระแสะ ยามที่ญาติจัดงานเลี้ยง เขาได้แต่มองจากหน้าต่าง เห็นหลานสาวสุดน่ารัก ชวนให้คิดถึงบุตรีที่จากโลกไป แต่มลาดิชไม่อาจเดินออกไปได้ เพราะขณะนี้เจ้าหน้าที่ยกระดับสืบสวน ดักฟังโทรศัพท์ สอดส่องผู้ใกล้ชิดนักฆ่าแห่งบอสเนีย

มีอยู่ครั้งหนึ่งทางการเคยโฉบมาหาลูกพี่ลูกน้องของอดีตนายพล โชคดีที่ไปผิดหลัง มลาดิชเลยคลาดจากการโดนจับ

แต่สุดท้าย 16 ปีที่เขาสั่งฆ่าคนตาย ความพยายามของเจ้าหน้าที่ก็ประสบความสำเร็จ ข้อมูลมากมายมากถูกกลั่นกรอง จนสามารถจับกุมเขามาได้

ชายที่เคยบอกเพื่อนฝูงว่า จะไม่ยอมถูกจับเป็น หากถูกรวบตัวก็จะเอาปืนพกที่ลูกสาวใช้ยิงตัวตาย เหนี่ยวไกดับไปด้วย

แต่เมื่อถึงเวลาจับกุม มลาดิชกลับไม่กล้าดังที่โม้ เขาไม่ได้หยิบปืน แม้จะตอบแบบยียวน แต่ก็จำนน เจ้าตัวถูกพาตัวออกจากบ้าน แม้จะพูดเชิงข่มๆ ใส่ชุดจับกุมว่า “ที่จริงกูสามารถฆ่าพวกมึงได้ตั้ง 10 คนเลยนะ แต่กูไม่อยากทำ เพราะพวกเอ็งยังหนุ่มยังแน่น และแค่มาทำหน้าที่เท่านั้น”

สุดท้ายนักฆ่าแห่งบอสเนียก็สิ้นฤทธิ์ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจดีเอ็นเอยืนยันอัตลักษณ์ได้ เขาจึงถูกส่งตัวไปขึ้นศาลที่กรุงเฮก และถูกแจ้งข้อหาหนักคือ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ 

ระหว่างการไต่สวน มลาดิชเย้ยหยันกระบวนการยุติธรรม ขนาดตอนอ่านคำพิพากษา เขายังตะโกนไม่ยอมรับอำนาจศาล จนต้องถูกพาตัวออกไป แม้จะชรา แม้จะเหมือนหมดฤทธิ์ แต่เขายังแสดงพิษสงอันตรายที่สร้างความหวาดผวาให้ครอบครัวผู้สูญเสียในเมืองสเรเบรนิตซาอย่างมาก

สุดท้ายผู้พิพากษาลงโทษนักฆ่าแห่งบอสเนียต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต เฉกเช่นเดียวกับผู้นำยูโกสลาเวียในอดีต ที่ก่อกรรมทำเข็ญต่อมนุษย์ด้วยความเหี้ยมโหด ท่ามกลางหยาดน้ำตาและความดีใจของครอบครัวผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรม 

อย่างน้อยความยุติธรรมก็ช่วยชะล้างบาดแผลในจิตใจได้

5

พฤติกรรมของมลาดิชเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก น่าเสียดายหัวใจเศร้าที่ผู้ร่วมกระทำผิดหลายคนตายไปก่อน กลายเป็นรอยด่างพร้อยและบทเรียนของความยุติธรรมที่ล่าช้า

แต่ในกรณีของนักฆ่าแห่งบอสเนีย นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่เขาอายุยืนยาว จนถึงปัจจุบันเขาก็ยังไม่ยอมตาย ยังคงต้องเห็นตัวเองเปลี่ยนสถานะกลายเป็นนักโทษ ต้องอาศัยอยู่ในกรงขังไปชั่วชีวิต

มันจึงเป็นบทเรียนสอนใจแก่ผู้นำ ผู้ก่อเหตุมือเปื้อนเลือดทั้งหลาย ความตายไม่ควรพรากพวกเขาไปไหน แต่ขอให้พวกเขาเหล่านั้นจงมีชีวิตยืนยาว

เพียงเพื่อจะได้เห็นวันที่ตัวเองถูกพิพากษา และสิ้นสุดสถานะเสรีชน กลายเป็นนักโทษ

นี่แหละถือเป็นผลกรรมที่มอบให้พวกเขาอย่างยุติธรรมที่สุด

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.bbc.com/news/world-europe-13561407

https://www.youtube.com/watch?v=kn0kGZacVhU

https://www.theguardian.com/world/2017/nov/21/ratko-mladic-bosnian-serb-genocide-war-crimes

https://www.theguardian.com/world/2013/apr/02/ratko-mladic-life-run

https://www.bbc.com/news/world-europe-13559597

https://www.bbc.com/thai/international-42082165

Tags: , , , , ,