ธุรกิจครอบครัวเป็นปัญหาโลกแตก ครั้งหนึ่ง ป๊า ม้า อาจเคยยิ่งใหญ่มากในการทำธุรกิจ อาจทำห้างสรรพสินค้าใหญ่ อาจทำธุรกิจการเกษตรครบวงจร อาจทำธุรกิจขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรืออาจทำอาณาจักรสื่อยักษ์ใหญ่
หลายครั้งธุรกิจพวกนี้ถูกสานต่อโดยมืออาชีพ แต่บางครั้งธุรกิจเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกส่งต่อสู่คนที่เหมาะสม ทำได้เพียงส่งต่อให้คนในครอบครัวที่หลายคนสงสัยว่า มีความสามารถจริงหรือไม่ บางคนไม่ได้มีวิสัยทัศน์ในทางธุรกิจ แต่ก็ถูกเลือกให้ทำธุรกิจนั้นต่อเพียงเพราะนามสกุล ขณะที่อีกหลายคนรักใน ‘งานอดิเรก’ ชอบเพลงแรป ชอบเล่นรถหรู มากกว่าที่จะมาวุ่นวายสานต่อธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งการ Disruption โลกธุรกิจ ไม่สามารถใช้สูตรเดิมในการทำธุรกิจแบบเดิมได้อีกต่อไป อีกทั้งยังต้องการความคล่องตัวแบบ Agile ความยืดหยุ่นแบบ Resilience เพราะฉะนั้นหากมานั่งเฉยๆ ก็ยิ่งทำให้ธุรกิจที่ป๊า ม้า อาโกว อาเจ็ก สร้างมา อาจล่มจมพังพาบไปคามือ
สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจความยากก็คือ การต้องสานต่ออาณาจักรร้อยล้านพันล้านของป๊า ม้า ก็คือแน่นอนว่า เราไม่ใช่เขา คนหนึ่งไม่สามารถสวมรองเท้าของอีกคนหนึ่งได้พอดี
เคยมีตัวเลขระบุด้วยซ้ำว่า ธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่มักจะจบลงในรุ่นที่ 4 เพราะยิ่งเติบใหญ่มาในช่วงเวลาที่องค์กรมั่นคง ถาวร และในธุรกิจที่ทายาทไม่สนใจแล้ว ทุกคนย่อมอยากออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง เหลือแต่คนที่ไม่เอาไหนที่ยังสานต่อธุรกิจครอบครัว
ฉะนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการ ‘เจ๊ง’ ธุรกิจครอบครัวต้องหาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ผล
1. ระบบ Check & Balance ต้องเข้มแข็ง
เป็นความจริงที่ว่า ธุรกิจรุ่นก่อนหน้าอาจเติบโตด้วยคนในครอบครัว รุ่นลูกยังมีโอกาสเรียนรู้ในเวลาที่พ่อแม่ยังจน ยังปากกัดตีนถีบ คนรุ่นนี้อาจได้ไปเรียนต่อปริญญาโท Business School ในอังกฤษ ในสหรัฐอเมริกา ในออสเตรเลีย พร้อมกลับมาสานต่ออาณาจักรเดิมให้ใหญ่ขึ้น และยังพร้อมเป็นหน้าตาของตระกูล สามารถเกี่ยวดองกับคนในชนชั้นหรือในธุรกิจใกล้ๆ กัน เพื่อให้สามารถสยายปีก ต่อยอด Know-how ในงานที่ไม่ถนัดไปได้ไกล
แต่ข้อสำคัญก็คือ ‘ระบบ’ ต้องแข็งแรง หลายอาณาจักรธุรกิจครอบครัว ไม่ได้สร้างระบบตรวจสอบที่ดีนัก ครอบครัวใช้วิธีอะลุ่มอล่วย ถึงจะกู้เงินแล้วเจ๊ง ถึงจะวางแผนธุรกิจผิดพลาด ก็แค่ ‘ตักเตือน’ หรือมองข้ามความผิดพลาด แบบความผิดคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดเราเท่าปุยนุ่น สุดท้ายวิธีคิดแบบนี้มีแต่จะสร้างปัญหาให้ธุรกิจครอบครัวย่ำแย่ยิ่งขึ้น
Gucci แบรนด์แฟชั่นยิ่งใหญ่ที่เคยอยู่กับครอบครัวกุชชี แต่สุดท้ายเมื่อครอบครัวเกิด ‘แบ่งสาย’ ไร้ระบบธรรมาภิบาล นำไปสู่การฉ้อโกงครั้งมโหฬารภายหลังคนรุ่นพ่อเสียชีวิต ในที่สุดธุรกิจก็ตกไปอยู่ในมือของกลุ่ม Investcorp จากบาห์เรนเมื่อปี 1993 ปิดฉากการเป็นธุรกิจครอบครัว
ฉะนั้นต้องสร้างกลไกให้ ‘คนนอก’ มีสิทธิร่วมตรวจสอบ ร่วมบริหาร และต้องสร้างระบบจับตามองการทำงานของครอบครัวอย่างใกล้ชิด กิจการครอบครัวอาจถอดแบบจากองค์กรมืออาชีพ เพื่อสร้างผังองค์กรที่มีการตรวจสอบบัญชีอย่างเข้มแข็ง
และในทางตรงกันข้าม หากคนในครอบครัวนั้น ‘แบกไม่ไหว’ ก็ควรปล่อยให้คนอื่นเข้ามาทำแทน
2. อย่าเอาแต่คนในครอบครัว
หากดูธุรกิจครอบครัวในไทยจะพบ Pain Point หลายอย่าง เป็นต้นว่า ข้อพิพาทระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ ที่การ ‘แต่งเข้า’ นำมาซึ่งความไม่สบายใจของคนทำธุรกิจเจน 1 หรือปัญหาโลกแตกว่าด้วย ‘มรดก’ เมื่อการแบ่งทรัพย์สินจากเจน 1 ไปสู่เจน 2 ไม่เท่าเทียมกัน นำมาซึ่งปัญหาฟ้องร้องทางกฎหมาย หรือหลายครอบครัว ก็ถึงขนาดฆ่าแกงกัน
จริงอยู่ที่เรื่องใหญ่ของธุรกิจครอบครัวในไทยส่วนใหญ่ มาจากการเป็น ‘ชาวไทยเชื้อสายจีน’ ที่ ‘ครอบครัว’ เป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญที่สุด แน่นอนว่า ‘ลูกชายคนโต’ ย่อมเป็นความหวังในการสืบทอดกิจการต่อไป แต่ในธุรกิจสมัยใหม่ ครอบครัวไม่ใช่ทุกอย่างและไม่สามารถทำได้ทุกอย่าง หากแต่ต้องอาศัย ‘มืออาชีพ’ ที่คอยจัดการ ไม่ว่าจะด้านการบริหารคน บริการการเงิน บริหารการตลาด บริหารภาพลักษณ์ ฯลฯ
ฉะนั้นไม่มีทางที่คนในครอบครัวจะเก่งรอบด้านได้มากขนาดนั้น บทเรียนสำคัญคือ การ ‘ซื้อตัว’ บรรดา CEO, COO มืออาชีพจากองค์กรธุรกิจอื่น หรือการดึงมืออาชีพจากที่อื่นเข้ามาเป็นคณะกรรมการ เพื่อให้เห็นความหลากหลาย เห็นโลกภายนอกที่กว้างกว่าแค่อาโกวหรืออาเจ็ก
3. สร้างองค์กรให้เป็นองค์กรที่พร้อมแข่งขันกับโลกภายนอก
หลายคนที่อยู่ในแวดวงแนะนำไว้ว่า ข้อสำคัญของธุรกิจครอบครัวคือ คุณจะเจอกับ ‘ที่ปรึกษา’ เต็มไปหมด ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องของคุณ และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ เขาพร้อมจะให้ ‘คำปรึกษา’ เสมอ
ประเด็นก็คือ คำปรึกษาจากโลกยุคก่อนหน้า บางครั้งอาจมีประโยชน์ แต่บางครั้งคำปรึกษาเหล่านั้นก็ขัดกันเอง สิ่งสำคัญก็คือต้องธำรงความเป็นมืออาชีพ แยกชีวิตธุรกิจออกจากชีวิตส่วนตัว และสิ่งสำคัญก็คือต้องให้คนในองค์กรไม่รู้สึกว่า ธุรกิจนั้นๆ คือธุรกิจครอบครัว แต่เป็นธุรกิจที่ทุกคนต่างก็เป็นมืออาชีพ ทุกคนมาทำงานเพื่อการเติบโตขององค์กร ไม่ใช่รับใช้ครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง
เพราะฉะนั้นต่อให้มีมืออาชีพเข้ามาทำงานด้วยมากเพียงใด แต่หากองค์กรยังบริหารอยู่ภายใต้ Family Tree คอยรับคำสั่งครอบครัว และครอบครัวได้รับการปฏิบัติที่อยู่เหนือมืออาชีพเหล่านั้นเสมอ องค์กรแห่งนั้นก็ยากที่จะแข่งขันกับโลกภายนอก
4. กรณีศึกษา ‘ธรรมนูญครอบครัว’ ของตระกูลจิราธิวัฒน์
ในบรรดาตระกูลไทย ‘จิราธิวัฒน์’ แห่งเครือเซ็นทรัล อาจเป็นธุรกิจครอบครัวที่เข้มแข็งอันดับต้นๆ จิราธิวัฒน์สืบสายมาจาก เตียง จิราธิวัฒน์ เมื่อ 7 ทศวรรษก่อน สืบไปอีกหลายสาย มีลูกหลานอีกรวม 200 กว่าคน รวม 5 รุ่น แม้คนในจิราธิวัฒน์จะขึ้นระดับบริหารในเครือเซ็นทรัลอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ประเด็นก็คือ มีคนอีกมากที่อาจไม่ได้เหมาะกับธุรกิจครอบครัว
ตระกูลจิราธิวัฒน์มีการร่าง ‘ธรรมนูญครอบครัว’ เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวแยกจากความเป็นครอบครัวชัดเจน มีหลักการแบ่งปันผลประโยชน์ มี ‘สภาครอบครัว’ ครอบไว้ อีกทั้งยังมีบอร์ดที่ดูแลเรื่อง ‘ธรรมาภิบาล’ ดึงคนนอกมามอนิเตอร์ธุรกิจต่างๆ ที่เครือเซ็นทรัลลงทุนอีกที ส่วนผู้ที่ไม่สนใจ หรือ ‘ไม่ถึง’ ก็เลือกทำอย่างอื่นได้ ไม่ต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับเซ็นทรัล อย่างไรก็ตามมีข้อแม้ว่า ห้ามอยู่ในธุรกิจที่แข่งขันกับกิจการครอบครัว
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงวิธีการที่ทำให้ครอบครัวอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และเตรียมความพร้อมพอจะแข่งขันกับโลกภายนอกได้ แต่สิ่งสำคัญคือโลกภายนอกนั้นท้าทายธุรกิจครอบครัวอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนสมาชิกที่มากขึ้น ความซับซ้อนของโลกธุรกิจภายนอก การจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ รวมถึงการปรับตัวที่ต้องทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และข้อสำคัญคือทำอย่างไรที่จะแยกเรื่อง ‘ส่วนตัว’ ออกจากเรื่องธุรกิจให้ได้ผล
อ้างอิง
https://familybusinessassociation.org/article/risk-in-family-business
Tags: การทำงาน, ครอบครัว, ธุรกิจครอบครัว, Work Tips, ธุรกิจ