ว่ากันแบบไม่เกินเลย โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส (Robert Eggers) น่าจะขึ้นชั้นคนทำหนัง Horror ขาประจำของฮอลลีวูดไปแล้ว ตลอดชีวิตการทำหนังของเอ็กเกอร์ส นับตั้งแต่หนังสั้นเรื่องแรกเมื่อปี 2007 ซึ่งหยิบนิทานกริมม์มาเล่าใหม่ด้วยสไตล์มืดหม่นแบบหนังเงียบเยอรมันเอ็กซ์เพรสชันนิสม์ ไล่เรื่อยมาจนถึงหนังยาวลำดับล่าสุดอย่าง Nosferatu (2024) ที่ตอนนี้ทำเงินไปทั่วโลกที่ 178 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากทุนสร้าง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังมีแนวโน้มจะกวาดรายได้กลับมาอีกมหาศาล พร้อมกับส่งผลให้เอ็กเกอร์สมีภาพของการเป็นคนทำหนัง Horror ย้อนยุคที่ฝีมือดีมากที่สุดคนหนึ่งของอุตสาหกรรม
เพราะหากย้อนกลับไปมองประวัติการทำหนังหลายต่อหลายเรื่องของเขา งานของเอ็กเกอร์สล้วนแต่พูดถึงความหม่นมัวของประวัติศาสตร์ เรื่องปรัมปรา และความเชื่อที่ครั้งหนึ่งเคยแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีชีวิตผู้คน
“ผมชอบเรื่องราวในอดีต ชอบของเก่า ชอบเรียนรู้ว่าคนเมื่อก่อนเขากินอยู่กันยังไง สิ่งของมันถูกสร้างมาแบบไหนในประวัติศาสตร์” เขาว่า
เอ็กเกอร์สเติบโตที่นิวอิงแลนด์ ดินแดนซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้อาณานิคมของประเทศอังกฤษ และสำหรับเอ็กเกอร์ส บรรยากาศของผู้คนซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในดินแดนใหม่ การสร้างกฎระเบียบในยุคศตวรรษที่ 17 กระทั่งผู้คนกับธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องที่เขาหลงใหลหมกมุ่นมาตั้งแต่เด็ก
“ผมโตที่นิวอิงแลนด์ ซึ่งรากของเมืองมันก็เต็มไปด้วยอดีตเก่าแก่ ซึ่งมองข้ามไปไม่ได้เลย มันมีบ้านนาเก่าๆ มีสุสานอยู่กลางป่า และก็เช่นเดียวกับเด็กจากนิวอิงแลนด์หลายๆ คนนั่นแหละครับที่บ้านทำจากไม้ ซึ่งผมรู้สึกเหมือนว่า ไม้น่ะเป็นสิ่งที่ถูกไล่ล่าด้วยอดีต”
และนั่นก็งอกเงยออกมาเป็นหนังยาวเรื่องแรกของเขาอย่าง The Witch (2015) หนังทุนสร้าง 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่กวาดรายได้กลับไปเป็นกอบเป็นกำที่ 40.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเล่าถึงครอบครัวชาวอังกฤษที่ถูกชุมชนคริสตจักรขับไล่ และต้องอพยพมาใช้ชีวิตในนิวอิงแลนด์ ในปี 1630 วิลเลียม (แสดงโดย ราล์ฟ อิเนสัน) พ่อและหัวหน้าครอบครัวต้องรับมือกับความเครียดทั้งการโยกย้ายที่อยู่ และความรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกับศาสนาได้อีกต่อไป ขณะที่ แคเธอรีน (แสดงโดย เคต ดิกกี) ผู้เป็นแม่และเมียคอยตอกย้ำเขาเรื่องคำสาปและซาตานในป่าสหรัฐฯ โดยที่ โธมาซิน (แสดงโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย) ลูกสาววัยรุ่นคอยดูแลสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว ซึ่งรวมถึงน้องชายวัยกำลังโตและทารกที่ยังไม่หย่านมแม่ดีอีกคนหนึ่ง
ไม่เพียงแต่ด้านรายได้ ตัวหนังยังประสบความสำเร็จด้านคำวิจารณ์มหาศาล และแจ้งเกิดทั้งเอ็กเกอร์สกับเทย์เลอร์-จอยในอุตสาหกรรมฮอลลีวูด โดยหนังชวนสำรวจแง่มุมความเป็นหญิงกับวาทกรรมการเป็นแม่มด ที่ทำให้ผู้หญิงกลายเป็น ‘ความเป็นอื่น’ ในสังคม จนถูกขับไล่หรือกระทั่งถูกทำให้เสียชีวิต
“ผมสนใจเรื่องแม่มดเสมอ ความฝันแรกๆ ที่ผมจำได้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่มด ผมเลยอยากทำหนังที่มันพูดถึงรากของนิวอิงแลนด์ เรื่องของบรรยากาศเหมือนฝันร้ายจากอดีตของมัน การสืบทอดความดำมืดนี้ และส่งต่อความเคร่งศาสนาที่เป็นเหมือนฝันร้ายที่น่าจะปลุกความกลัวซึ่งถูกลืมเลือนไปแล้วให้กลับมาอีกหน ทั้งมันยังอธิบายความเป็นนิวอิงแลนด์ที่ผมมีในวัยเด็กด้วย” เอ็กเกอร์สบอก
“ผมอยากเล่าเรื่องครอบครัวในยุคสมัยนั้นว่า คนเมื่อก่อนก็คงเชื่อเรื่องแม่มดหมอผีแบบนี้แหละ เลยได้ค้นพบอะไรหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือเฟมินิสต์ถูกลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไปเลย ซึ่งผมก็ไม่ได้พยายามจะมาทำหนังที่พูดเรื่องพลังหญิงอะไรนะ มันแค่เหมือนว่า เมื่อคุณเล่าเรื่องแม่มดก็มีประเด็นนี้ร่วมอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งผมดีใจที่ได้บอกเล่ามิติเหล่านี้มากๆ เลย”
หนังยาวลำดับต่อมาที่เรียกได้ว่าบ้าพลังอย่างสุดๆ ของเอ็กเกอร์ส (และอย่าลืมว่าเป็นแค่หนังยาวเรื่องที่ 2 ของเขาเท่านั้น!) นั่นคือ The Lighthouse (2019) ที่คราวนี้เขาได้นักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดอย่าง วิลเล็ม เดโฟ มาร่วมงานด้วยเป็นครั้งแรก ก่อนจะผูกปิ่นโตทำงานด้วยกันมายาวนานจนถึงปัจจุบัน
ที่เท่สุดๆ คือ เดโฟเป็นฝ่ายติดต่อเอ็กเกอร์สมาด้วยตัวเอง หลังจากได้สัมผัสความเฮี้ยนจาก The Witch ว่า เป็นไปได้เขาก็อยากลองร่วมงานด้วยสักครั้งหนึ่ง “ผมตื้นตันใจสุดๆ เพราะสำหรับผมแล้ว ตั้งแต่ผมยังเด็ก เขาเป็นนักแสดงที่ยิ่งใหญ่มาก” เอ็กเกอร์สบอกปลื้มๆ “ทุกวันนี้ก็ยังยิ่งใหญ่อยู่เลย ผมตื่นเต้นสุดๆ แต่แล้วพูดไปก็เหมือนว่า ผมนี่ช่างขี้โอ่เสียเหลือเกินนะ ทันทีที่เราเริ่มพูดคุยกัน ผมก็รู้ได้เลยว่า นี่แหละเราทำงานกับคนนี้ได้แน่ๆ เพราะเราคิดอะไรแบบเดียวกัน แล้วพอเข้าขากันแล้ว มันก็เหมือนทำละครเวทีโรงเรียนกับเพื่อนๆ เลยครับ”
ตัวหนังเล่าย้อนไปถึงช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เอเฟรียม (โรเบิร์ต แพตตินสัน) เป็นชาวเรือหนุ่มที่ถูกว่าจ้างให้ไปใช้ชีวิตบนประภาคารในนิวอิงแลนด์ (อีกแล้ว) นาน 1 เดือน เพื่อเป็นลูกมือให้ โธมัส (แสดงโดย เดโฟ) นายประภาคารจอมฉุนเฉียว และหนังก็สำรวจความเหนื่อยหน่าย ความยากเข็ญที่เอเฟรียต้องเผชิญ แต่นั่นหาใช่สาระสำคัญ เมื่อแท้จริงแล้วศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือ ความเลวร้ายอัปลักษณ์ในนามของความเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด เอ็กเกอร์สเริ่มอ่านหนังสือของ เฮอร์แมน เมลวิลล์ นักเขียนนิยายชาวอเมริกันเจ้าของเรื่อง Moby-Dick อันโด่งดัง และ โรเบิร์ด หลุยส์ สตีเวนสัน นักเขียนชาวสก็อตต์ผู้เขียนเรื่อง Treasure Island รวมทั้งงานเขียนอื่นๆ ที่ว่าด้วยชีวิตชาวทะเลยุคต้นศตวรรษที่ 19
“เราเริ่มค้นคว้าเรื่องประภาคาร เรื่องชาวประมง พวกเขากินอะไรกันนะ สวมใส่เสื้อผ้าแบบไหน อยู่ที่ไหนและใช้ชีวิตยังไง” เขาว่า
หนังเฮี้ยนระเบิดระเบ้อ พ้นไปจากการที่มันถูกอ่านว่ากำลังพูดถึงการห้ำหั่นกันของความเป็นชาย, การต่อรองระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า หรือความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่ระเบิดความเคียดแค้นต่อกัน มันยังเต็มไปด้วยนัยด้านความเชื่อทางศาสนากับนิทานพื้นบ้าน ที่ส่งอิทธิพลต่อคนตัวเล็กตัวน้อย ซึ่งเป็นคำถามปลายเปิดที่หนังปล่อยให้คนดูอ่านและตีความเอง
“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนหนังฉายจบลง มีคนถามผมว่า ‘ทำไมคุณไม่ถ่ายให้เห็นล่ะว่าตัวละครของ ร็อบ แพตตินสันเห็นอะไรในตอนจบ’ ผมบอกไปว่า ก็เพราะถ้าคุณเห็นอย่างที่เขาเห็น สิ่งนั้นมันจะบังเกิดกับคุณด้วยน่ะสิ” เขาให้สัมภาษณ์อย่างอารมณ์ดี
ในหนังลำดับถัดมาอย่าง The Northman (2022) ถือว่าเอ็กเกอร์สพาย้อนอดีตไปไกลที่สุดด้วยการหวนกลับไปยังปี 895 กับเส้นเรื่องแสนเรียบง่ายที่ดัดแปลงมาจากตำนานของสแกนดิเนเวีย ว่าด้วยเจ้าชาย (หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็น ลูกชายหัวหน้าเผ่า) ไวกิ้งที่เป็นประจักษ์พยานการสังหารยกครัวตั้งแต่ยังเด็ก และหวนกลับมาล้างแค้นเอาคืน (ก่อนที่ในเวลาต่อมา พล็อตจะถูก วิลเลียม เช็คสเปียร์ เอามาดัดแปลงเป็นบทละคร Hamlet ที่ก็ว่าด้วยการหวนกลับมาล้างแค้นของชายหนุ่มคนหนึ่ง)
เช่นเดียวกับหนังเรื่องก่อนๆ เอ็กเกอร์สพาสำรวจอิทธิพลของศาสนาและความเชื่อต่อมนุษย์ ในแง่นี้คือไวกิ้งซึ่งถือเป็น ‘ชาวเหนือ’ ที่ออกรบโยกย้ายถิ่นฐาน และบางคราวก็เพื่อบูชาทวยเทพที่ไม่ใช่คริสต์ศาสนา หากแต่เป็นเทพเจ้าท้องถิ่น ที่ด้านหนึ่งแล้วก็ต้อง ‘ลอกคราบ’ ความเป็นคริสต์ออกอีกชั้น
“เรื่องราวของไวกิ้งส่วนใหญ่ที่เราได้ยินกันทุกวันนี้ เขียนขึ้นมาหลังจากยุคของไวกิ้งสักสองร้อยปีได้ หรือไม่ก็อาจจะหลังจากนั้นอีกด้วยซ้ำ แล้วเป็นเรื่องเล่าแบบปากต่อปาก” เอ็กเกอร์สว่า “แล้วส่วนใหญ่ยังถูกเขียนขึ้นมาผ่านมุมมองคริสเตียนด้วย เราจึงต้องลอกเปลือกออกไปทีละชั้นๆ
“นักวิชาการเห็นตรงกันว่า ไวกิ้งไม่ได้มีเสื้อผ้าเฉพาะสำหรับพิธีกรรม แต่เชื่อกันว่าพิธีกรรมที่ว่านั้นรวมถึงการสาดเลือดให้เปรอะทุกคนด้วย ผมถาม นีล ไพร์ซ ที่เป็นนักโบราณคดีว่า ‘ก็เหมือนว่าทุกคนเดินไปทั่วทั้งที่มีเลือดเกรอะทั้งตัวเนี่ยนะ’ แล้วเขาก็บอกว่า ‘เออแฮะ ไม่เคยคิดถึงในแง่มุมนั้นมาก่อนเลย’”
ด้านหนึ่งหนังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘ไม่สมจริง’ ก็ตรงที่ตัวละครต่างสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ แม้จะได้นักแสดงนำชาวนอร์เวย์อย่าง อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด มารับบทนำก็ตามที และเอ็กเกอร์สก็น้อมรับคำวิจารณ์ตามจริง
“ก็ถ้าผมมีเงินถุงเงินถังจะทำหนังมหากาพย์ประวัติศาสตร์ได้เอง หนังเรื่องนี้คงสนทนากันเป็นภาษานอร์สเก่าแก่ไปแล้วล่ะ แต่เพราะขนาดของหนัง ประเด็นนี้เลยเป็นไปไม่ได้เลย ผมรู้ว่าผมไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นน่ะ” (นอกจากนี้หนังยังขาดทุนเพราะทำรายได้เพียง 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ขณะที่ประมาณการกันว่า ทุนของหนังอยู่ที่ 70-90 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ยังไม่ต้องพูดถึงวิบากกรรมการถ่ายทำที่ขึ้นชื่อว่าหฤโหดสุดๆ เพราะต้องยกกองกันเข้าไปถ่ายในป่าที่ไอซ์แลนด์ บนภูเขาของไอร์แลนด์ เรื่อยไปจนในสหราชอาณาจักรที่ทำนักแสดงและทีมงานน่วมกันสุดๆ
“ในโลกถ่ายหนังอันสมบูรณ์แบบของผม ทุกคนมีความสุข เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน” เอ็กเกอร์สบอก “แต่เรื่องคือว่าพอเราถ่ายหนังในที่หนาวจนจะแข็ง ฝนก็ตก ลมก็กระโชก และเราก็อยู่อีกฝั่งหนึ่งของหุบเขาซึ่งใช้ชีวิตโคตรยาก แต่ยังต้องมีสมาธิทำงานน่ะ”
จากนั้นแล้วจึงตามมาด้วย Nosferatu (2024) ที่ก็ถูกจับตาตั้งแต่เอ็กเกอร์สประกาศโปรเจกต์อยากรีเมกหนังต้นทางสัญชาติเยอรมันอย่าง Nosferatu: A Symphony of Horror (1922) ที่ดัดแปลงมาจากนิยาย Dracula (1897) ของนักเขียนชาวไอริช บราม สโตเกอร์ โดยหนังเล่าถึงอังกฤษช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โธมัส ฮัตเตอร์ (แสดงโดย นิโคลัส โฮลต์) ชายหนุ่มที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อหาเงินมาแต่ง เอลเลน (แสดงโดย ลิลี-โรส เด็ปป์) หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ และเพื่อการนั้น เขาต้องออกเดินทางไปยังทรานซิลเวเนีย เพื่อทำสัญญาเรื่องที่ดินกับ เคาต์โอล็อค (แสดงโดย บิลล์ สการ์สการ์ด) ชายสูงศักดิ์ลึกลับที่ไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น ท่ามกลางการต่อต้านทัดทานของเอลเลนที่ฝันร้ายถึงความตายกับชายปริศนา และเชื่อว่าการเดินทางไปยังต่างถิ่นครั้งนี้ของโธมัสจะนำพาซึ่งหายนะมายังชีวิตคู่ของทั้งสอง
อย่างไรก็ดี Nosferatu ถือเป็นโปรเจกต์ที่เอ็กเกอร์สเล็งจะสร้างมาตั้งแต่ปี 2015 หากแต่ก็ติดเงื่อนไขต่างๆ รวมทั้งความพร้อมของเอ็กเกอร์สเอง จนโปรเจกต์ถูกขยับเลื่อนมาเรื่อยๆ และแทนที่ด้วยหนังยาวลำดับอื่นๆ ซึ่งเป็นเสมือนสนามใหญ่ฝึกฝนฝีมือของเอ็กเกอร์ส แม้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาจะหมกมุ่นเรื่องของเคาต์ดูดเลือดมาตั้งแต่เด็กก็ตาม
“ผมรู้จักนอสเฟอราตูครั้งแรกก็จากห้องสมุดของโรงเรียนประถม มันเป็นหนังสือชุดว่าด้วยอสุรกายแปลกๆ มากมาย” เขาว่า “แล้วหนังสือแวมไพร์ก็มีรูปของ แม็ก ชเร็ค (Max Schreck) นักแสดงที่เล่นเรื่อง Nosferatu: A Symphony of Horror ซึ่งผมคิดว่า นั่นน่ะเป็นสิ่งที่เจ๋งที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเลย
“ผมอ่านคำโปรยและนึกอยากดูหนังขึ้นมาทันที แม่ช่วยผมหาเทปวิดีโอมาให้ ซึ่งก็ต้องสั่งจองล่วงหน้าให้เขาส่งมาที่บ้านอีกเดือนหลังจากนั้น ก็นะ เมื่อก่อนมันก็อย่างนั้นแหละ” เอ็กเกอร์สสาธยาย “อีกอย่างที่ผมพบหลังจากดูหนังว่าด้วยแดร็กคูลาทุกเวอร์ชันก็คือ แวมไพร์ยุคก่อนๆ ไม่ได้ดื่มเลือดนะครับ พวกเขาแค่ค่อยๆ ทำให้เหยื่อของตัวเองตายลงเท่านั้น หรือไม่ก็มีร่วมรักจนกเหยื่อตายไปเอง และถ้าพวกเขาจะดื่มเลือด ส่วนใหญ่ก็จะดื่มจากตรงอก ซึ่งถ้าเมื่อเราคิดถึงสรีระมนุษย์แล้ว การจะหักกระดูกสันอกคนเราน่ะมันไม่ง่ายเลยนะ! แต่มันก็เป็นจุดที่พวกเขาดื่มเลือดจากในตำนานปรัมปราของชาวสลาฟกับบอลข่านว่าไว้น่ะ”
ตัวหนังถูกพูดถึงอย่างมากในแง่ของการเคารพต้นฉบับ และอ้างอิงภาษาภาพยนตร์ในเวอร์ชัน 1922 เหนืออื่นใดคือการปรากฏตัวของ บิลล์ สการ์สการ์ด ที่ทีมงานตั้งใจไม่เปิดเผยรูปลักษณ์ของเขาในบทบาทท่านเคาต์แม้แต่ฉากเดียว และให้ผู้ชมได้เจอเขาบนจอภาพยนตร์ในโรงแทน ทั้งนี้ตัวเอ็กเกอร์สกับสการ์สการ์ดเฉียดฉิวจะได้ทำงานด้วยกันอยู่หลายรอบ หากแต่ก็คลาดจนเอ็กเกอร์สได้ร่วมงานกับ อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด พี่ชายแท้ๆ ของอีกฝ่ายใน The Northman แทน
“ผมอยากทำงานกับบิลล์มาสักระยะแล้วล่ะ อันที่จริง เขาเข้ามาแคสต์บทฮัตเตอร์เมื่อสัก 8-9 ปีก่อนได้ แต่ว่า Nosferatu เวอร์ชันนั้นก็เหลวไป แล้วบิลล์ก็มาแคสต์เรื่อง The Northman ในบทญาติจอมโวของอเล็กซานเดอร์ แต่บิลล์มาเล่นให้ไม่ได้ก็เพราะโควิด-19 บทนั้นเลยตกเป็นของ กุสตาฟ ลินด์ ไปแทน จากนั้นบิลล์ก็เขียนจดหมายบอกว่า เขาอยากแสดงใน The Nosferatu จริงๆ นะ แล้วผมก็ไม่ได้ตอบกลับ เพราะว่าไม่รู้ต้องตอบกลับไปยังไง”
เอ็กเกอร์สกับสการ์สการ์ดคนน้องจึงไม่ได้มีโอกาสร่วมงานด้วยกัน กระทั่งเมื่อเอ็กเกอร์สได้ไปดู It Chapter Two (2019) หนังภาคต่อของ It (2017) ที่สการ์สการ์ดรับบทเป็นตัวตลกสุดหลอน (และว่าไปก็เป็นบทแจ้งเกิดเขาด้วย) และเขารู้สึกได้ทันทีว่า เขาได้เจอท่านเคาต์ที่เขาตามหาในหนังผีดูดเลือดที่ยังไม่ได้สร้างเสียทีเข้าแล้ว!
“มันมีฉากที่เขาแสดงเป็นเพนนีไวส์ช่วงวัยกลางคน ตอนนั้นเหมือนเขาเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาเยอะทีเดียว ดูดำมืดและน่าเชื่อถือสุดๆ ผมเลยส่งข้อความไปหาบิลล์ว่า ‘ลองมาออดิชันเป็นเคาต์ ออร์ล็อคหน่อยดีกว่า ผมว่าคุณทำได้นะ’”
หนังได้รับคำชื่นชมอย่างหนาหูในแง่การโหมประโคมความหลอนหลอก ตัวเคาต์ถูกตีความในฐานะชายชนชั้นสูงที่หากินประโยชน์จากคนตัวเล็กตัวน้อยอย่างสองผัวเมียโธมัส-เอลเลน และการดูดเลือดที่มีลักษณะเป็นการคุกคาม (หรืออาจจะอ่านได้ว่าเป็นการข่มขืนเสียด้วยซ้ำ) และจนถึงนาทีนี้ มันก็ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ไปอย่างน่าชื่นชม (จนมีคนแซวว่า ถอนทุนคืนจาก The Northman)
ทั้งนี้โปรเจกต์หน้าของเอ็กเกอร์สคือ Werwulf ที่วางแผนออกฉายในปี 2026 ที่เขาพาคนดูหวนกลับไปสำรวจรากของ ‘มนุษย์หมาป่า’ ในศตวรรษที่ 13 และว่ากันว่าจะกลับมาถ่ายทำด้วยภาพขาว-ดำอย่างที่เขาเคยทำไว้ใน The Lighthouse
Tags: People Also Watch, The Witch, Nosferatu, โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส