1
“ทีแรกเราคิดว่าเป็นตุ๊กตา แต่พอดูดีๆ นั่นศพนี่”
ใครเลยจะคิดว่า กลุ่มนักศึกษาชายที่จับกลุ่มเพื่อเตรียมเหล่สาว ท่ามกลางความหนาวเย็นของวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1957 ณ รัฐฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จะกลายเป็นพยานปากสำคัญของคดีปริศนาที่กินเวลายาวนานเกือบศตวรรษ
เดิมนั้นวัยรุ่นกลุ่มนี้ต่างเฝ้ารอหญิงสาวงามๆ เลิกเรียนโผล่มาสักคน จะได้ทักทาย หากมีโชคก็จะได้นัดกินข้าว ออกเดต ตามประสา
อย่างไรก็ดีเด็กหนุ่มรายหนึ่งสังเกตไปที่ชายป่า ใกล้กับจุดที่พวกเขายืนอยู่มีกล่องกระดาษวางไว้ใต้ต้นไม้ เมื่อพากันเดินไปใกล้ก็เห็นร่างหนึ่งอยู่ในนั้น
“น่าจะเป็นตุ๊กตามากกว่า”
ใครสักคนในกลุ่มพูดเพื่อทำให้เบาใจ แต่นักศึกษาชายเหล่านี้กลับไม่ทุเลาข้อสงสัยได้เลย พวกเขากลับบ้านแยกย้าย ยกเลิกการดักจีบสาว หลังจากครุ่นคิดอยู่คืน ความหวาดผวาที่ซ่อนไว้ก็สั่นคลอน
มันไม่น่าใช่ตุ๊กตาเลย เหมือนศพเด็กผู้ชายมากกว่า
เช้าวันต่อมา หลังชั่งใจโดยรอบคอบ นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งตรงเข้าพบบาทหลวงเพื่อเล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟัง ทีแรกจะมองข้ามไป ละเว้นไม่สนใจก็ได้ แต่เพราะเห็นข่าวเด็กหญิง 4 ขวบหายออกจากบ้าน ทำให้เขาเลือกที่จะเปิดเผยความจริงกับศาสนจักร
บาทหลวงฟังแล้วก็ยกหูโทรศัพท์แจ้งตำรวจทันที
เจ้าหน้าที่ เอลเมอร์ พาลเมอร์ (Elmer Palmer) เป็นสายตรวจคนแรกที่รุดไปยังจุดเกิดเหตุ กล่องยังอยู่ที่เดิม พอมองสำรวจข้างในก็เห็นอะไรบางอย่างในนั้น เหมือนที่เหล่านักศึกษาพบ
“มันเหมือนตุ๊กตามากจริงๆ แต่พอเพ่งให้ดี ผมก็เห็นว่าไม่ใช่ มันคือศพเด็กผู้ชายต่างหาก”
นักสืบเข้าสำรวจจุดเกิดเหตุพบว่า ผมของผู้เสียชีวิตบางส่วนถูกตัดอย่างลวกๆ เหมือนคนทำไม่ใช่ช่างอาชีพ โดยเกิดขึ้นในช่วงก่อนตายและหลังหมดลมหายใจแล้ว แถมเล็บก็ยังถูกตัดด้วย
แพทย์ที่มาชันสูตรพลิกศพพบร่องรอยถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง หนูน้อยมีแผลคล้ายโดนผ่าตัดตามตัว และอยู่ในสภาพอดอาหาร ฟันน้ำนมขึ้นครบทุกซี่ แต่ไม่มีประวัติการทำฟันมาก่อน แถมร่างยังเปลือยเปล่า ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอีกต่างหาก
มันเป็นคดีที่น่าสะพรึง ฆาตกรคนใดที่กระทำต่อเด็กน้อยได้ถึงเพียงนี้
ทีแรกพาลเมอร์เห็นการพบหลักฐานมากมายก็คิดว่า การไขคดีคงจะไม่ยากเย็นอะไรเลย
“เบาะแสมากขนาดนี้ คดีควรจะไขได้อย่างรวดเร็ว แต่มันไม่เป็นแบบนั้น ช่างน่าละอายยิ่งนัก”
ใครเลยจะคิดว่า เรื่องราวนี้จะมากด้วยปริศนา และต้องใช้เวลากว่า 65 ปี ถึงจะพบข้อมูลสำคัญชิ้นแรก
ชื่อนามสกุลจริงของเด็กน้อยรายนี้
2
ตอนพบศพนักสืบทำงานอย่างเต็มที่เพื่อหาให้ได้ว่า หนูน้อยรายนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่พวกเขาไม่พบความคืบหน้า ไม่มีเบาะแสแจ้งเข้ามา เจ้าหน้าที่ถึงขั้นเอาศพไปแต่งตัว แล้วถ่ายรูปส่งกระจายไปตามโรงพักและลงหนังสือพิมพ์ เพื่อหวังว่าจะมีคนบอกข้อมูลอะไรบางอย่าง
แต่ไม่มีแม้แต่รายเดียว
เมื่อไม่ทราบชื่อ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล่องที่ใส่หนูน้อย แล้วแกะรอยไปหาร้านที่ขาย แต่ไม่พบความเกี่ยวข้องอะไรเลย
ปัญหาในคดีนี้อีกอย่างคือ นักสืบไม่อาจคาดเดาเวลาการเสียชีวิตของเด็กได้ เพราะอากาศที่หนาวส่งผลต่อศพ เลยกะช่วงเวลาการตายไม่ถูก ทำให้การวางประเด็นในทางคดีไร้ทิศทาง เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มสอบสวนหรือกำหนดขอบเขตงานสืบคดีได้เลย
ยิ่งเวลาผ่านไป ยิ่งเลือนรางที่จะพบความจริง แม้คดีจะยังเปิดค้างคาไว้ แต่คนในเมือง ต่างนำร่างน้องไปฝัง พร้อมเรียกขานหนูน้อยคนนี้ว่า
‘เด็กชายในกล่อง’ (The Boy in the Box)
ความโหดร้ายในคดีนี้ส่งแรงสั่นสะเทือนต่อสังคม เกิดการตื่นตัวในการคุ้มครองเยาวชนให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ผ่านไปหลายสิบปี เด็กชายในกล่องถูกนำร่างขึ้นมาเพื่อเก็บดีเอ็นเอ แล้วนำไปฝังในสุสานที่ดีกว่าเดิม
แม้จะไม่ทราบนาม แต่ไม่มีใครอยากให้หนูน้อยต้องนอนในหลุมศพอย่างเดียวดายเจ็บปวดอีกต่อไป คนในเมืองต่างจดจำและย้ำเตือนเรื่องราวนี้
“มันไม่ใช่แค่น้องถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหดเท่านั้น ยิ่งเราไม่รู้ว่าเด็กชื่ออะไร ครอบครัวอยู่ไหน ยิ่งสร้างความเจ็บปวดต่อคนในสังคมด้วย”
3
ผ่านไป 65 ปีแห่งปริศนา ในที่สุด เดือนธันวาคม 2022 ตำรวจฟิลาเดลเฟียจึงแถลงข่าวครั้งสำคัญ “เรารู้ชื่อจริงของเด็กน้อยคนนี้แล้ว”
มันกลายเป็นเหตุการณ์ใหญ่ เด็กชายในกล่อง ที่ไร้ชื่อ ไม่มีแม้กระทั่งการสลักชื่อ ณ สุสาน บัดนี้มีชื่อเสียงเรียงนามเรียบร้อยแล้ว
“เขาคือ โจเฟซ ออกัสตัส ซาเรลลี” (Joseph Augustus Zarelli)
นักข่าวรุมถามขั้นตอนการทำงานของตำรวจ เจ้าหน้าที่ยืนเล่าทุกอย่างแบบละเอียดยิบให้ฟัง ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการตรวจดีเอ็นเอ แล้วนำไปสู่การสร้างผังตระกูล และจับกุมคนร้ายได้หลายราย มันคือเทคโนโลยีการสืบสวนสมัยใหม่ และสิ่งนี้เองที่ไขความลับของเด็กชายในกล่อง
เดิมนั้นเจ้าหน้าที่เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของเด็กคนนี้ไว้ เมื่อนักสืบยุคใหม่ ที่เกิดไม่ทันเหตุการณ์นี้ แต่รับรู้เรื่องราวผ่านตำรวจรุ่นพ่อรุ่นพี่ เล็งเห็นประสิทธิภาพของการตรวจดีเอ็นเอ สร้างผังตระกูล พวกเขาจึงทำเรื่องต่อศาล เอาดีเอ็นเอไปสืบค้น
หากมีคนที่ใกล้ชิดกับเด็กชายในกล่อง เคยเอาดีเอ็นเอของตัวเองเข้าไปในระบบ มันจะเชื่อมโยงกันได้ทันที ขั้นตอนนี้กินเวลาหลายปี จนพวกเขาพบดีเอ็นเอของชายคนหนึ่ง ใกล้เคียงกับผู้เสียชีวิต โดยเป็นความเชื่อมโยงผ่านทางมารดาเด็กชายในกล่อง
พอได้เบาะแสตรงนี้ เจ้าหน้าที่เลยเดินทางไปพบ สอบสวนเรื่องราว แล้วกะช่วงเวลาที่เกิดเรื่อง กับเจ้าของดีเอ็นเอที่ตรงกับเด็ก แล้วสำรวจบุคคลในตระกูลว่า ใครเกิดช่วงเวลานั้นบ้าง โดยจำกัดเฉพาะผู้หญิง เน้นที่อยู่ในฟิลาเดลเฟีย
แล้วพวกเขาก็พบสาวคนหนึ่ง นักสืบจึงทำเรื่องต่อศาล ขอค้นประวัติการเกิด แล้วก็พบประวัติการคลอดบุตรชายที่โรงพยาบาล
ชื่อของหนูน้อยโจเซฟจึงปรากฏขึ้น เขาเกิดในปี 1953 เสียชีวิตในปี 1957
นั่นหมายความว่าเจ้าตัวมีอายุบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ ได้เพียง 4 ปีเท่านั้น
ในใบสูติบัตรของเด็กน้อย มีชื่อพ่อและชื่อแม่ปรากฏอยู่ ทีแรกตำรวจไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อ นั่นทำให้ทางสื่อและโลกออนไลน์ไปหาข้อมูลเอาเอง จนสุดท้ายก็ไล่ไปถึงครอบครัวจริงๆ ของเด็กชายในกล่องได้
นี่เอง เจ้าหน้าที่จึงต้องแถลงข่าว บอกชื่อบุพการีของโจเซฟอย่างเป็นทางการ
เมื่อนักข่าวไปตรวจสอบข้อมูล พวกเขาก็ยิ่งพบความน่าสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
4
คนในตระกูลซาเรลลี รับทราบข้อมูลการแถลงชื่อจริงเด็กชายในกล่อง ก่อนที่ตำรวจจะบอกกับสื่อ เพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ไม่มีใครจดจำหนูน้อยโจเซฟได้เลย แน่นอนว่า พวกเขาคือรุ่นหลานจากเหตุสยองตอนนั้น และแทบจะมืดแปดด้านกับเรื่องราวนี้
“พวกเรายังเคยนั่งดูรูปเด็กชายในกล่อง แต่ไม่มีใครคิดว่า จะเป็นญาติใกล้ชิดเรา”
เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจดีเอ็นเอเครือญาติฝั่งแม่และฝั่งพ่อของผู้เสียชีวิต จนแน่ใจว่าผลที่ได้ถูกต้องก่อนจะแจ้งสื่อ เมื่อนักข่าวไปตรวจสอบภูมิหลังของ แมรี เอลิซาเบธ เอเบล (Mary Elizabeth Abel) ซึ่งถูกระบุว่าคือแม่ของหนูน้อยโจเซฟก็พบเรื่องน่าฉงน
เพราะไม่มีใครจำได้ว่า แมรีเคยตั้งท้อง คลอดลูกในช่วงเวลาดังกล่าว และไม่มีใครทราบเลยว่า มีหนูน้อยโจเซฟถือกำเนิดขึ้นบนโลก
กระนั้นทางคนใกล้ชิดต่างย้ำว่า ไม่มีทางที่หญิงสาวจะก่อเหตุฆาตกรรมเด็กอย่างแน่นอน “เธอไม่ใช่คนจิตใจโหดเหี้ยมเลย”
ด้าน กัส ซาเรลลี (Gus Zarelli) ซึ่งถูกระบุจากดีเอ็นเอว่าเป็นพ่อของโจเซฟนั้น ก็ยิ่งน่าฉงน เขามีลูกกับแมรี 4 คนด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และมีรายหนึ่งตายตั้งแต่คลอด ซึ่งไม่มีพยานบุคคลแม้แต่รายเดียวที่ระบุทารกชื่อว่าโจเซฟ
ที่สำคัญทั้งกัสและแมรี ต่างตายไปโดยมีลูกหลาน คนใกล้ชิดจดจำว่า เป็นคนน่ารักมาก บุตรก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี แต่ไม่มีใครพูดถึงการถือกำเนิดของทารกชายที่ชื่อว่าโจเซฟ ไม่มีใครตระหนักว่าเด็กชายในกล่องที่เป็นศพในปี 1957 นั้น จะมีส่วนเกี่ยวพันทางสายเลือดกับคน 2 ตระกูลนี้เลย
เบาะแสที่ตำรวจคิดว่าสำคัญมาก บัดนี้กลับมืดลงอย่างเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่น่าสนใจก็คือ แมรีไม่ได้มีลูกกับกัสเท่านั้น ก่อนทั้งคู่จะพบกัน หญิงสาวเคยมีลูกชายติดพันจากคนรักเก่า และได้ยกเด็กคนนี้ให้กับครอบครัวอุปถัมภ์อื่นไป
นี่หมายความว่า บางทีตอนที่โจเฟซเกิด ด้วยความไม่พร้อมหลายเรื่อง เขาจึงถูกยกให้กับครอบครัวอื่นหรือไม่
เพราะมีเบาะแสว่ากัสและแมรีแต่งงานกันในปี 1958 แสดงว่าตอนคลอดโจเซฟนั้น ทั้งสองยังไม่ได้เข้าพิธีวิวาห์ และในสังคมยุคนั้น ถือเป็นเรื่องผิดมหันต์ ที่มีลูกนอกสมรส ทั้งสองจึงอาจจะยกเด็กให้คนอื่นไปดูแลหรือไม่
นั่นทำให้ตำรวจต้องย้อนไปดูข้อมูลที่มีผู้หญิงคนหนึ่งให้ไว้เมื่อปี 2002 เธอให้เบาะแสน่าสนใจว่า แม่ของเธอรับเด็กชายคนหนึ่งมา แล้วตีเขาจนตาย ก่อนเอาร่างไปทิ้งไว้ที่จุดเกิดเหตุ
บริเวณที่พบศพเด็กชายในกล่องนั่นเอง
5
หญิงสาวรายนี้บอกกับตำรวจว่า เด็กชายในกล่อง คือหนูน้อยที่แม่ของเธอซื้อมาจากครอบครัวหนึ่งในปี 1954 แล้วตั้งชื่อเขาว่า โจนาทาน (Jonathan) โดยเด็กถูกขังไว้ที่ห้องใต้ดิน และจะถูกแม่ของเธอทำร้ายร่างกายกับล่วงละเมิดทางเพศอยู่เสมอ
ก่อนเกิดเหตุหนูน้อยอาเจียนถั่วออกมา แม่ของเธอจึงตีเด็กด้วยความโมโหจนถึงแก่ชีวิต
แม้ตำรวจที่สอบปากคำจะฉงน แต่ก็เห็นว่ามีมูล เพราะตอนตรวจอาหารในกระเพาะของคนตาย ก็พบซากถั่วเจือปนอยู่ในนั้น
หญิงสาวที่ให้เบาะแสนี้ตัดสินใจเล่าเรื่องดังกล่าวออกมาหลังคุยกับจิตแพทย์ เพื่อหวังจะไขความจริงเรื่องนี้ได้
ทางนักสืบที่ฟังเบาะแสนี้ก็เชื่อว่า เธออาจจะพูดจริง
อย่างไรก็ดี ทางเอฟบีไอยังสองจิตสองใจ เพราะคำพูดของพยานรายนี้ ไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานอะไรประกอบเลย ทุกอย่างตรวจสอบไม่ได้ ไร้ที่มาที่ไป เป็นเพียงคำบอกเล่า แต่ไม่อาจฟันธงได้ทันที “เพราะแม้เรื่องของเธอจะยากพิสูจน์ แต่ก็ไม่มีอะไรที่เลื่อนลอย”
มันจึงดูเป็นทฤษฎีที่เป็นไปได้สุด นั่นก็คือหนูน้อยโจเซฟ อาจโดนขายจากพ่อและแม่ ก่อนถูกทำร้ายจนตาย เอาศพมาทิ้งไว้ ส่วนครอบครัวที่แท้จริง ก็เก็บงำความลับนั้นไว้ ไม่บอกให้ใครทราบ จนวันตาย
หากเป็นเรื่องจริง ก็ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายมาก
แต่ถึงบรรทัดนี้ มันยังไม่ใช่ความจริง
6
หากโจเซฟยังไม่ตาย เขาจะมีอายุ 71 ปี หากไม่ถูกพบเป็นศพในวันนั้น เขาอาจจะได้เป็นคุณปู่คุณตา อาจจะได้ทำอาชีพที่รัก นั่งมองโลกผันแปร อาจได้เห็นความงามในชีวิตมากมายกว่านี้
แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติ เพราะเขาถูกฆาตกรรมโหด ยัดศพลงในกล่อง ทิ้งไว้กลางป่า ท่ามกลางความเหน็บหนาว
นี่เป็นเรื่องสะเทือนใจ สะท้อนความเจ็บปวดของสังคมอย่างยิ่ง แม้จะผ่านไปเกือบร้อยปี แต่คดีนี้ก็ยังถูกรำลึกถึงเสมอมา
กระนั้นนักสืบรุ่นใหม่ยังคงมุ่งมั่น พวกเขามั่นใจว่า ในเวลาอีกไม่นาน ตำรวจจะรู้ว่าใครคือฆาตกรในคดีนี้ แม้จะยังตอบไม่ได้ แต่เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง ดังที่เทคโนโลยีการสร้างผังตระกูลจากดีเอ็นเอ ทำให้เรารู้ชื่อเด็กชายในกล่อง
และทำให้คดีปริศนานี้ยังเปิดคาไว้ รอการสืบสวนอีกต่อไป เพียงแต่นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป มันไม่ใช่คดีเด็กชายในกล่องอีกต่อไป
“แต่มันคือคดีการฆาตกรรมโจเซฟ ออกัสตัส ซาเรลลี และเจ้าหน้าที่จะทำทุกวิถีทางในการหาตัวคนร้ายในคดีนี้มาให้ได้”
7
วันที่ 13 มกราคม 2024 ที่หลุมฝังศพแห่งหนึ่งในสุสาน มีชายฉกรรจ์ต่างเดินทางมายืนล้อมหลุมศพแห่งหนึ่ง ซึ่งเดิมมันถูกเขียนไว้ว่า ‘พระบิดาแห่งสรวงสวรรค์ โปรดจงโอบรับเด็กชายนิรนามคนนี้ด้วย’
มาบัดนี้ มันถูกจารึกใหม่แล้วว่า ‘โจเซฟ ออกัสตัส ซาเรีลลี’
ชายฉกรรจ์เหล่านี้คือนักสืบในคดีฆาตกรรมโจเซฟ พวกเขาต่างสัญญาต่อหน้าสื่อ และหลุมศพแห่งนี้ว่า คดีต้องได้รับการไข ปริศนาจักคลี่คลาย และความจริงจะต้องถูกเปิดเผยออกมาให้ได้
เจ้าหน้าที่เลือกรวมตัวกันในวันนี้ เพราะมันคือวันเกิดของหนูน้อย ผู้ไม่มีโอกาสได้เติบโตอีกต่อไป หลังจากไร้ชื่อมานานนับสิบปี บัดนี้เขามีตัวตนในใจผู้คนแล้ว
ทางหัวหน้าชุดทำคดีนี้ ได้พูดต่อหน้าหลุมศพของอดีตเด็กชายในกล่องว่า
“สุขสันต์วันเกิดนะ โจเซฟ ขอให้พระเจ้าคุ้มครอง
“นายจะไม่มีวันถูกลืมอีกต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.nytimes.com/2022/12/08/us/boy-in-the-box-philadelphia-homicide.html
https://www.nytimes.com/2007/01/01/us/01boy.html
https://edition.cnn.com/2022/12/08/us/philadelphia-boy-in-box-thursday/index.html
https://apnews.com/article/philadelphia-35b3abe5f7016424cbcae92e5b849b6c
https://www.cbsnews.com/philadelphia/news/boy-in-the-box-joseph-augustus-zarelli-gets-new-headstone/
https://northeasttimes.com/2024/01/31/tribute-birthday-remembrance-for-joseph-zarelli/
Tags: คดี, Haunted History, มาตรกรรม