การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ผมเชื่อว่าทุกๆ คนอยากมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืน บางคนอยากมีสุขภาพดีมากกว่าทรัพย์สินเงินทอง
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นกระแสที่คนสนใจการออกกำลังกาย กินอาหาร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ โดยมองว่า ถ้าอยากแข็งแรงก็ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน
หากคิดในแง่นี้ เรื่องสุขภาพจึงฟังดูเป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ หารู้ไม่ว่า ที่จริงอาจจะไม่ใช่
สุขภาพเป็นเรื่องการเมือง
แคลร์ แบมบรา (Clare Bambra) อาจารย์ด้านสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยนิวแคสเซิลให้เหตุผลว่า “โดยธรรมชาติแล้ว สุขภาพเป็นเรื่องของการเมือง” เพราะสุขภาพก็ไม่ต่างจากทรัพยากรหรือสินค้าอื่นๆ ที่กระจายอย่างไม่เป็นธรรม ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมล้วนส่งผลให้คนกลุ่มหนึ่งมีสุขภาพดีมากกว่าคนอีกกลุ่ม เมื่อเรื่องสุขภาพมีทั้งมิติด้านสุขภาพส่วนตัวและสุขภาพส่วนรวม ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นที่ต้องใช้การแทรกแซงจากรัฐหรือจากอำนาจการปกครองของส่วนรวมในสังคม และปัจจุบัน การมีสุขภาพที่ดียังถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์และพลเมือง
สุขภาพเป็นเรื่องของอำนาจ
สังคมในอดีต ร่างกายและชีวิตมิใช่เป็นของเรา ความเชื่อทางศาสนาและอำนาจของสถาบันกษัตริย์สามารถล่วงละเมิดชีวิตและสุขภาพของคนอย่างง่ายดายโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ใดๆ มาคุ้มครอง แต่การประกาศ Déclaration des droits de l’homme et du citoyen หรือ ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และพลเมืองในปี 1789 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างกรรมสิทธิ์ปัจเจกชนเหนือร่างกายของเรา
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ สิทธิดังกล่าวก็ถูกละเมิดได้โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการแพทย์
เช่น ถ้าเราพิจารณาการรักษาในอีกแง่มุม มันคือการแทรกแซงของแพทย์ต่อร่างกายเรา ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้และแพทย์ก็เป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจอย่างหนึ่ง แพทย์สามารถเอามีดมากรีดผ่าตัดเราได้ หรือเข้าถึงข้อมูลร่างกายของเราได้ แพทย์สามารถมีอิทธิพลในการตัดสินเหนือร่างกายคนไข้ได้ ดังนั้น เพื่อหาความสมดุลระหว่างการรักษาและการคุ้มครองกรรมสิทธิ์ด้านร่างกายแล้ว เราจึงต้องพัฒนาข้อบังคับต่างๆ ทั้งในรูปของจริยธรรมการแพทย์และในรูปของกฎหมาย
ถ้าเราใช้กรอบชีวการเมือง (biopolitics) ของมิเชล ฟูโกต์ นักปรัชญาฝรั่งเศส แล้ว ความรู้ด้านการแพทย์คืออำนาจที่รัฐหยิบยืมมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการเข้ามาควบคุมร่างกาย รวมถึงควบคุมความรู้สึกนึกคิดของปัจเจกชน ที่เกิดขึ้นอย่างแยบยลตลอดเวลาในกิจวัตรประจำวัน
รัฐสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลสุขภาพประชากรโดยที่เราไม่รู้ตัว ในสมัยนาซีเยอรมัน รัฐสามารถออกกฎหมายบังคับต่างๆ ในนามเพื่อประโยชน์ของสุขภาพระดับชาติ เช่น การบังคับให้ออกกำลังกาย การบังคับให้ทำหมันในกลุ่มประชากรปัญญาอ่อน การทดลองวิทยาศาสตร์โดยใช้มนุษย์เป็นหนูทดลอง เป็นต้น
สุขภาพเป็นเรื่องการจัดการโดยส่วนรวม
การพัฒนาความรู้ด้านสาธารณสุขในศตวรรษที่ 18 ทำให้เราตระหนักว่า สุขภาพของเราสามารถส่งผลกระทบวงกว้างต่อสมาชิกอื่นๆ ในสังคมได้ การป้องกันการระบาดของโรคโดยการจัดการความเสี่ยงสังคมร่วมกัน มีประสิทธิภาพและประหยัดกว่าการรักษาคนไข้ทีละคน เช่น การกำจัดขยะ การสร้างระบบชลประทาน การรักษาความสะอาดในตัวเมือง การจัดการมลภาวะอากาศ เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยอำนาจการปกครองท้องถิ่นและการจัดการอย่างเป็นระบบ
การเมืองในฐานะการคลี่คลายความขัดแย้ง
ถ้าเรามองว่าสุขภาพเป็นทุนมนุษย์อย่างหนึ่งแล้ว สุขภาพถือเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าทุนมนุษย์ประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาและความสามารถการผลิต เพราะถ้าเราเสียชีวิตแล้ว ทุนมนุษย์อื่นๆ ย่อมสูญสลายไปพร้อมกัน
การรักษาสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องมีเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายในชีวิตที่วางไว้ สุขภาพที่ดีย่อมให้เสรีภาพกับเราในการทำกิจกรรมอื่นๆ และเพิ่มโอกาสในชีวิต
แต่การกระจายสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพกลับไม่เท่าเทียมกัน ปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม สถาบัน รวมทั้งกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ล้วนส่งผลต่อการกระจายดังกล่าว ปัจจุบันสุขภาพกลายเป็นสินค้าในกลไกตลาด ผลประโยชน์อันมหาศาลย่อมส่งผลให้เกิดความขัดแย้งตามมา
นอกจากนี้ มิติสุขภาพก็ซับซ้อนมากขึ้น และต้องอาศัยความร่วมมือของทุกส่วนเพื่อแก้ไขปัญหา เรื่องของสุขภาพจึงเป็นสนามการเมืองอย่างหนึ่งที่ต้องเจรจาต่อรอง ประนีประนอมเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างสันติและหาฉันทามติสังคมเพื่อเป็นข้อสรุปสุดท้ายของนโยบายที่ทุกคนในสังคมเห็นพ้องต้องกัน
ทำไมสุขภาพถูกทำให้เป็นเรื่องปลอดการเมือง
สุขภาพเป็นเรื่องรับผิดชอบของทั้งปัจเจกชนและส่วนรวม แต่ระบบการรักษาแบบชีวการแพทย์ (biomedical) ที่มุ่งเน้นการรักษาแบบแยกส่วน ทำให้ความเจ็บป่วยกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและเชื้อโรค การรักษาเป็นความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และคนไข้ โดยละเลยปัจจัยสังคมรอบนอก เรื่องสุขภาพจึงถูกขับเน้นให้กลายเป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคลไป เช่น เป็นปัจจัยด้านพันธุกรรม ปัจจัยด้านพฤติกรรมสุขภาพของแต่ละคน ปัญหาด้านแบบแผนการใช้ชีวิตประจำวันและรสนิยมของแต่ละคน ซึ่งการมองดังกล่าว ย่อมลดบทบาทและละเลยว่า รัฐและอำนาจปกครองท้องถิ่นล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเรา
เมื่อวิธีการมองสุขภาพแบบนี้เป็นแนวคิดหลัก เราก็จะมองว่า ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพเป็นความผิดของเราเอง โดยที่ไม่แบ่งความรับผิดชอบนี้ให้สังคมเข้ามาแก้ไขปัญหาร่วมกัน ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพจึงกลายเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทุกวัน คนส่วนหนึ่งอาจมองไม่เห็นและทนกับมันได้โดยละเลยที่จะตั้งคำถามกับความผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสังคมไทยที่อิทธิพลความเชื่อเรื่องผลกรรมมีบทบาทมาก ทำให้เกิดวิธีคิดเช่น สุขภาพดีเพราะสะสมบุญมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ใครทำกรรมเลวย่อมมีสุขภาพไม่ดี
อ่านเพิ่มเติม
- Bambra et al., «Toward a politics of health », Health Promotion International, vol.20, n°2, 2005, pp.187-190.
- Foucault, Michel, Histoire de la Médicalisation, Deuxième conférence prononcée dans le cadre du cours de médecine sociale à l’Université de l’Etat de Rio de Janeiro, octobre 1974.
- Foucault, Michel, « Crise de la médecine ou crise de l’antimédecine?»,Première conférence sur l’histoire de la médecine, Institut de médecine sociale, Université d’État de Rio de Janeiro, Centro biomedico, octobre, 1974.
- Foucault, Michel, Naissance de la Biopolitique: Cours au Collège de France 1978-1979. Edition établie sous la direction de François Ewald et Alessandro Fontana, par Michel Senellart, Gallmard Seuil, 2004.