หากเปรียบพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นหุ้น สัปดาห์ที่แล้วหุ้นตัวนี้เรียกได้ว่าขึ้นทะลุเพดาน จากข่าวที่ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจเป็นแคนดิเดตนายกให้กับพรรคนี้ โดยแยกทางกับพรรคพลังประชารัฐ และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อสร้างพรรค สร้างขุมกำลังของตัวเอง สำทับด้วยกำลัง ส.ส. อีกมากที่จะย้ายขั้วตามมา เพราะเห็นว่าชื่อของ ‘ลุงตู่’ น่าจะ ‘ขายได้’ มากกว่า ‘ลุงป้อม’
เมื่อเรื่องนี้ชัดเจนขึ้น ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ยังเป็น ‘ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี’ ก็ปรากฏกายเคียงข้างพลเอกประยุทธ์ บนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ทันที
ว่ากันว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พีระพันธุ์ผู้สวมหมวกอีกใบในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ถือเป็นนักการเมืองที่พลเอกประยุทธ์ ‘ฟัง’ มากที่สุด และมอบหมายให้ทำงานใหญ่ เช่น การจัดการเรื่อง ‘การบินไทย’
วันนี้ ดูเหมือนถนนทุกสายจึงมุ่งสู่พรรครวมไทยสร้างชาติ…
ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์จำนวนมากส่งสัญญาณว่าจะไม่ไปต่อกับ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เช่นเดียวกับ ส.ส. ภาคใต้ของพรรคพลังประชารัฐเอง ที่ต่างก็ยอมรับว่าชื่อชั้นของพลเอกประวิตรนั้น ไม่สู้จะแข็งแรงเท่าชื่อของพลเอกประยุทธ์
ด้วยเหตุนี้ พรรคของพีระพันธุ์จึงเป็นฐานที่มั่นที่แข็งแรงที่สุด หากพลเอกประยุทธ์ยังตัดสินใจเดินต่อบนเส้นทางการเมือง และหวังที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
บ่ายวันหนึ่งท่ามกลางกระแสข่าวอันร้อนแรง พีระพันธุ์เปิดพรรครวมไทยสร้างชาติย่านซอยอารีย์ พูดคุยกับ The Momentum เพื่อบอกเล่าถึงตัวตนของเขา ทิศทางการทำงานของพรรค และข่าวลือสารพันอันเกี่ยวเนื่องกับตัวเขาและ ‘ลุงตู่’ เพื่อไขข้อข้องใจว่า เขาจริงจังกับพรรคการเมืองนี้มากขนาดไหน แล้วทำไมเขาจึงไม่ชวนพลเอกประยุทธ์เข้าร่วมพรรค
คุณพีระพันธ์ุเคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน เพราะเหตุใดถึงเบนเข็มมาในเส้นทางการเมือง
ตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ ผมไม่คิดจะเป็นนักการเมือง ทั้งหมดเป็นชะตาฟ้าลิขิต จริงๆ ผมอยากเป็นนักบินขับไล่ ผมสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้แล้ว แต่ดันไปตกตรงสายตา เขาบอกสายตาสั้น แต่จนทุกวันนี้ ผมก็ไม่เคยใส่แว่น
พอไม่ได้เป็นทหาร ก็เลยไปเรียนกฎหมายเหมือนทางฝั่งบ้านคุณแม่ บ้านฝั่งคุณแม่มีแค่สองอาชีพ คือไม่ผู้พิพากษาก็หมอ คุณตาผมเคยเป็นประธานศาลฎีกา พี่น้องคุณแม่ก็เป็นผู้พิพากษากันหมดทั้งบ้าน ผมก็เลยสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พอเรียนจบ ก็เรียนเนติบัณฑิตด้วย แล้วก็ไปสมัครงานที่กองบัญชาการทหารสูงสุด
แต่พอเป็นทหาร ก็มีปัญหาหลายเรื่อง วิธีการทำงานของผมต่างกับผู้บังคับบัญชาเยอะ เผอิญทางบ้านคุณแม่เป็นผู้พิพากษาเลยชอบเรื่องความเป็นธรรม สุดท้ายผมเลยลาออก มาช่วยคุณน้าทำสำนักงานกฎหมาย ผมเป็นทนายความที่เกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ชุดแรก ตั้งแต่ยังไม่มีกฎหมายลิขสิทธิ์ ต้องใช้สนธิสัญญากรุงเบิร์น
หลังจากผมสอบเนติบัณฑิตผ่าน ก็ไปเรียนปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา เรียนกลับมาก็ไปสอบเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาในปี 2529 เป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาอยู่หนึ่งปีก็ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นผู้พิพากษา
ผมไปอยู่ที่จังหวัดตาก จริงๆ ชีวิตไม่ได้สะดวกสบายเหมือนกับในกรุงเทพฯ สำหรับชาวบ้าน แค่เงินหนึ่งร้อยบาท เขาก็คิดหนัก อะไรที่ทำได้ก็ทำ ไม่ต้องซื้อ แล้วชาวบ้านหลายคนไม่รู้กฎหมาย ไปตัดไม้ในป่ามาทำฟืนก็ถูกจับ เพราะว่าไปเอาไม้โกงกางในจุดที่เขาห้าม เขาไม่รู้หรอก ก็โดนฟ้อง ในขณะที่รถบรรทุกน้ำหนักเกิน หลุดหมดเลย เพราะกฎหมายบอกเจ้าของไม่รู้เห็นเป็นใจ นี่คือความเป็นธรรมไหม
ผมเจอลุงคนหนึ่งอายุ 70 กว่าปี ถูกจับข้อหาลักทรัพย์ แล้วก็รับสารภาพ
สุดท้ายต้องโทษจำคุก ผมก็อ่านคำฟ้องว่าทำอะไร ปรากฏว่าลักนุ่น
ผมก็สงสัยว่าลุงแกอายุ 70 กว่าปีแล้ว ทำไมต้องลักนุ่น แล้วจะไปติดคุกทำไม แค่นุ่นนิดเดียว ผมเรียกมาถาม แกบอกว่านุ่นอยู่ในกระสอบ วางไว้นอกรั้ว แกคิดว่าเขาทิ้ง ปรากฏว่าตรงนั้นเป็นโรงงานเครื่องนอน ต้องใช้นุ่น วัตถุดิบเขาเยอะ วางไม่พอ ต้องวางข้างนอก คำถามคือแล้วใครจะไปตรัสรู้ ผมก็บอกลุงว่า ลุงรับสารภาพไม่ได้นะ เพราะลุงไม่ได้กระทำความผิด
เรื่องการลักทรัพย์ กฎหมายอาญาประการที่หนึ่งคือต้องเจตนา ต้องรู้ว่าทรัพย์เป็นของคนอื่น ฉันจะเอา แต่ลุงเขาคิดว่าเป็นของทิ้งไม่มีเจ้าของครับ อีกอย่าง สภาพเชื่อได้ไหมว่าทิ้ง ก็คุณเอาไปวางข้างนอก ริมรั้ว เขาก็สันนิษฐานได้ว่าคุณทิ้ง ฉะนั้น ที่ลุงเข้าใจ ก็เป็นไปได้ว่าทิ้ง และการที่ลุงไม่มีเจตนา เพราะคิดว่าเขาทิ้ง เมื่อทิ้ง ไม่มีเจ้าของ ก็ไม่ผิดฐานลักทรัพย์ ทั้งหมดไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ผมก็ยกฟ้อง
เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจว่าที่เรียนมา คนอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ไุด้นั้น ในความเป็นจริงมีคนไม่รู้กฎหมายอีกเยอะ แล้วคนเหล่านี้ก็ได้รับความเดือดร้อนจากกฎหมาย ทั้งที่กฎหมายควรเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นธรรม ไม่ใช่เครื่องมือที่กลายมาสร้างให้คนไม่ผิดกลายเป็นคนผิด
ต่อมา ผมย้ายมาอยู่ศาลจังหวัดธัญบุรี ปทุมธานี ผมก็เห็นปัญหากฎหมายอีกมุม ช่วงนั้น บ้านจัดสรรบูม กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือให้เจ้าของที่ดิน แทนที่จะเอื้อประโยชน์ให้เกษตรกร ให้ชาวนา จากนั้นผมก็ย้ายมาอยู่ในกระทรวงยุติธรรม ซึ่งวันนั้นเป็นกระทรวงที่ดูแลศาล ผมมีโอกาสได้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดกัน เขาบอกพีระพันธุ์พูดถูก ไม่ใช่หน้าที่เรา หน้าที่เราเป็นศาล เราใช้กฎหมาย แต่ถ้าคุณคิดแบบนี้ คุณต้องไปเป็นผู้แทน ต้องไปอยู่ในสภาฯ
ผมเลยมานั่งคิดว่า แล้วจะอยู่ทำไมตรงนี้ เราอุตส่าห์ไปเรียนต่างประเทศ มีความรู้เยอะแยะ แทนที่จะเอาความรู้เหล่านี้มาช่วยสังคม ช่วยประชาชน แต่เรากลับมาใช้กฎหมายที่ไม่ดีมาตัดสิน เราก็ไม่รู้จะทำไปทำไม นี่คือจุดที่ผมคิดว่ามาอยู่ทางการเมือง ไม่ใช่เพราะผมอยากเป็นนักการเมือง
ฉะนั้น พอผมสลับจากการเป็นตุลาการ หนึ่งในอำนาจอธิปไตย อยู่ในอำนาจนิติบัญญัติ ผมจึงไม่พูดเรื่องการเมืองกับใครเขา ไม่มีหรอกครับที่จะมาทะเลาะกับคนนู้น ตีกับคนนี้ เพราะผมไม่คิดว่าผมจะออกจากผู้พิพากษามาเพื่อการนี้ ผมจะมาดูแลเรื่องงาน ปัญหาบ้านเมือง การออกกฎหมาย การแก้กฎหมาย
คุณทำงานการเมืองมาแล้ว 30 ปี ผลงานอะไรเป็นสิ่งที่คุณภาคภูมิใจที่สุด
ผมภูมิใจสองอย่าง ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติได้ทำหน้าที่ออกกฎหมายหลายฉบับที่มีประโยชน์ เช่น พ.ร.บ.ข้อสัญญาไม่เป็นธรรม อันนี้เป็นแนวทางที่เรียนมา หลักกฎหมายทั่วไปทางกฎหมายแพ่ง ถ้าเราเซ็นสัญญากับใคร ผูกพันทันที
แต่ที่สหรัฐอเมริกากับอังกฤษ มีหลักที่เรียกว่า ‘หลักสัญญาไม่เป็นธรรม’ (Unfair Contract) แปลว่าถ้าทุกอย่าง Binding ผูกพัน เซ็นสัญญาโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อยกเว้น คนที่มีสถานะทางการเงินเหนือกว่า มีสถานะทางเศรษฐกิจเหนือกว่าก็จะเอาเปรียบสังคม เอาเปรียบคน โดยใช้เงื่อนไขของสัญญา เช่น การกู้ยืมเงิน การผ่อนชำระสินค้า อาจกำหนดกติกาเอาเปรียบเกินเหตุ ถ้าปล่อยอย่างนี้ สังคมจะอยู่ไม่ได้ เขาเลยคิดเรื่องหลักกฎหมายสัญญาไม่เป็นธรรมขึ้นมาว่า ถ้าหากเซ็นสัญญากันแล้ว เอาเปรียบกันเกินกว่าเหตุหรือไม่ ให้อยู่ในอำนาจศาล
ถ้าศาลเห็นว่าเอาเปรียบเกินกว่าเหตุ ให้ศาลมีอำนาจสามอย่าง 1. ยกเลิกสัญญา 2. ยกเลิกเฉพาะข้อที่ไม่เป็นธรรม 3. แก้ข้อไม่เป็นธรรมให้เป็นธรรม
ตอนที่ผมอยู่ในสหรัฐฯ ก็มีกรณีตัวอย่าง ชาวบ้านผ่อนตู้เย็นไม่ได้ แล้วก็มีการเบิกดอกเบี้ยสูงเกินเหตุ ศาลเห็นว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ฉะนั้นยกฟ้อง ผมคิดว่าหลักเกณฑ์แบบนี้ดี จนผมผลักดัน พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เกิดขึ้นในประเทศแล้ว เพียงแต่ยังไม่ใช้กว้างขวางในทุกสัญญา
อีกเรื่องหนึ่งคือในส่วนของหน้าที่ในการตรวจสอบกำกับดูแลภาครัฐ ผมเป็นประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ก็เกิดประเด็นค่าโง่ทางด่วนมอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-ชลบุรี มีการฟ้องเรียกเงินรัฐบาล 9,000 กว่าล้านบาท ผมก็พบว่าน่าจะมาจากการทุจริต ผมตรวจสอบเรื่องนี้ 1-2 ปี ปรากฏว่าทางอัยการก็ทำแล้วถูกฟ้องคดีในศาลชั้นต้น เราแพ้คดี แต่ทางอัยการเขาขอสำนวนสอบสวนจากกรรมาธิการชุดผม เขาก็ขอให้ผมไปเบิกความเป็นพยาน สุดท้าย ศาลฎีกาตัดสินให้เราชนะคดีโดยอาศัยข้อมูลจากรายงานของกรรมาธิการชุดที่ผมเป็นประธาน ก็เป็นความภูมิใจยุค 2544-2545 ทำให้ประหยัดเงินที่รัฐต้องเสียโดยใช่เหตุอีกหมื่นกว่าล้านบาท
หรือกรณีโฮปเวลล์ เราสามารถเริ่มต้นคดีใหม่ภายใต้สัญญาที่ถูกเอาเปรียบ สัญญาไม่เป็นธรรม ทั้งที่ 30 ปีแล้ว ไม่มีใครจับเรื่องนี้ขึ้นมา ผมมาทำได้ ได้ดูแง่มุมกฎหมายต่างๆ ก็ทำให้ชนะคดีครั้งแรกในรอบ 30 ปี
คุณเริ่มเส้นทางการเมืองเมื่อปี 2535 ทำไมวันนั้นถึงเลือกตัดสินใจเข้าพรรคประชาธิปัตย์
ผมลงเลือกตั้งครั้งแรกปี 2535 ครั้งแรกสอบตกก่อน ความจริงปีนั้น พรรคที่โด่งดังมากในกรุงเทพฯ คือพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรคที่ชวนผมเข้าร่วมด้วย แต่เผอิญมีเพื่อนรุ่นพี่ คือคุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่ด้วย ชวนผมมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ผมศึกษาก็พบว่าพรรคประชาธิปัตย์ตรงกับจริตเรามากกว่า ถึงแม้จะรู้ว่ากระแสสู้เขาไม่ได้ แต่ผมรู้สึกว่าอยู่ตรงไหนที่เราใช่ สบายใจกว่า เลยตัดสินใจเข้าพรรคประชาธิปัตย์ แม้ครั้งแรกจะสอบไม่ผ่าน เพราะกระแสพรรคพลังธรรมมาแรง แต่ผมก็ภูมิใจ จากพื้นที่ที่ประชาธิปัตย์เคยได้สามพันกว่าคะแนน ผมทำได้เป็น 3.9 หมื่นคะแนน ส.ส. เขาเอาสามคน ผมได้ที่สี่
ครั้งที่สอง การเลือกตั้งปี 2538 เจอปัญหา สปก.4-01 ก็มีพรรคหลายพรรคติดต่อให้ไปลง แต่สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ผมสอนมา คืออย่าทิ้งเพื่อน วันก่อนเลือกตั้งปี 2538 เรากับเพื่อนเตรียมงานไว้เยอะ ก็แบ่งหน้าที่กันว่าเขาจะดูตรงนี้ ตรงโน้น ถ้าผมเอาตัวรอดคนเดียว ย้ายพรรค เพื่อนผมก็ไม่มีทางไปไหนเลย เพราะเขาไม่ได้ทำพื้นที่ทั้งหมด ผมเลยยอมตายไปกับเขา
สุดท้าย ปี 2539 ที่มีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ก็ประสบความสำเร็จ ผมเป็น ส.ส. สลับไปมาระหว่างเขตดินแดงกับ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แล้วแต่พรรคจัดสรรมาโดยตลอด
คุณตัดสินใจลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเหตุผลอะไร หนักใจไหม
ก็ตัดสินใจเหมือนตอนไม่เข้าพลังธรรม คือมันไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่แบบที่เราเคยอยู่มา ผมอยู่ตรงไหนก็ได้ที่สบายใจ จนถึงวันนี้ ผมก็ยังรักพรรคประชาธิปัตย์ แต่ว่าพรรคก็คือพรรค พรรคเป็นนามธรรม พรรคก็เปลี่ยนแปลงไปตามคนที่บริหารพรรค
การตัดสินใจมาตั้งพรรคการเมืองเอง คุณมั่นใจขนาดไหน หลายคนอาจจะวิจารณ์ว่า ก่อนหน้านี้คุณพีระพันธุ์ก็ไม่ได้อยู่ในระดับนำ หรือระดับบริหารของพรรคประชาธิปัตย์
ตอนลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็คิดว่าจะหยุดแล้ว เบื่อ ผมเบื่อคนที่หน้าอย่างหลังอย่าง เบื่อนักการเมืองที่ไม่จริงใจ อยู่ต่อหน้าพับลิกก็เอะอะ ประชาชน ประโยชน์ชาวบ้าน พอลับหลังคุยกันแต่เรื่องไวน์ ที่เที่ยว เบื่อ
แต่พอลาออกแล้วก็ได้รับการทาบทามว่าให้มาช่วยงานท่านนายกฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมก็คิดว่าลองมาช่วยงานท่านดู
จริงๆ ผมไม่รู้จักท่านมาก่อนนะ แต่พอได้มาทำงานกับท่านแล้ว ก็เริ่มมีความรู้สึกว่าท่านตั้งใจทำงาน ผมอยู่กับงานการเมืองมาตลอด ไม่ได้เคยคิดจะเป็นนักการเมือง แล้วก็ไม่คิดแบบนักการเมือง ที่ผมเบื่อการเมือง คือเบื่อการคิดแบบนักการเมือง เบื่อการคิดแบบพรรคการเมือง แต่ท่านนายกฯ มาทำงานการเมือง เหมือนที่ผมมีความคิดว่า เราต้องมาทำตรงนี้ ไม่ได้คิดว่ามีเป้าหมายทางการเมือง ผมกับท่านนายกฯ คุยกันมีแต่เรื่องปัญหานี้จะแก้อย่างไร ประชาชนเดือดร้อนตรงนี้ ทำอย่างไรดี จนทำให้คิดได้ว่า นี่คือสิ่งที่เราอยากทำ เราทำงานกับท่านนายกฯ แล้วรู้สึกว่ามันใช่ ผู้นำควรจะเป็นแบบนี้ ผมเจอพลเอกประยุทธ์เลยทำให้รู้สึกกลับมาใหม่ว่าบ้านเมืองยังมีหวัง
ผมเคยมีความคิดอยากสร้างพรรคประชาธิปัตย์ที่เราเคยอยู่ ผมไม่เคยคิดว่าจะลงสมัครเป็นหัวหน้า แต่เพื่อนๆ ก็มาบอกว่าลงเถอะ ตอนนั้นเหลืออีกเจ็ดวัน ช่วงโค้งสุดท้าย ผมอยากทำให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นที่พึ่งของประชาชนที่เดือดร้อน เหมือนที่เราเป็น ส.ส.เขต เรารู้ว่าประชาชนไม่ได้คาดหวังให้พรรคแก้ปัญหาให้ได้ทุกเรื่อง แต่อย่างน้อยเวลามีปัญหาก็ต้องระบายทุกข์กับเราได้ เราอยากเห็นพรรคเป็นแบบนั้น แต่ไม่มีโอกาส
แต่สำหรับท่านนายกฯ พลเอกประยุทธ์ ผมเห็นการทำงานแบบท่าน ซึ่งท่านไม่ใช่นักการเมืองแบบเรานะ ท่านมาอยู่ตรงนี้ มีความมุ่งมั่น อยากจะทำงาน หลายเรื่องที่ท่านมีกำลังทำได้ แล้วเราหนุ่มกว่าท่านตั้งเยอะ แล้วเราก็มีกำลังวังชา ทำนู่นทำนี่ได้ เลยมีความคิดอยากมีพรรคการเมืองในฐานะที่นักการเมืองคนหนึ่งอยากให้มี อยากให้เป็น แล้วลองทำดูสักครั้ง ให้ประชาชนรู้สึกว่าพรรคนี้สนใจปัญหาของประชาชนจริงๆ
คุณคาดหวังกับพรรครวมไทยสร้างชาติขนาดไหน
ผมไม่เคยบอกว่าทำแล้วจะต้องสำเร็จ แต่อย่างน้อยผมได้พยายามสร้างพรรคแบบที่สร้างขึ้นมาให้ประชาชนรู้สึกว่า พรรคนี้พร้อมรับฟังปัญหาของเขาจริงๆ อาจไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจใหญ่โตระดับประเทศ อาจเป็นปัญหาของชาวบ้านคนธรรมดา คนหาเช้ากินค่ำ เหมือนที่ผมเจอมาตอนเป็นผู้พิพากษา
เศรษฐกิจสำหรับผม มีสองระดับ อย่างแรกคือระดับประเทศ จีดีพีเท่าไร ลงทุนแสนล้าน หมื่นล้าน แต่เศรษฐกิจชาวบ้าน ที่ดินทำกินไม่มี ทำไมอยากเช่าพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมสักห้าไร่ทำกิน 2-3 ปี เช่าไม่ได้ แต่ทำไมนายทุนเช่าทีเดียวสามพันกว่าไร่ ทำได้
หรือทำไมเราไม่ทำอะไรเป็นหลักกฎหมาย เป็นหลักประกันชีวิตให้ชาวบ้านได้ บริษัทใหญ่ๆ ในประเทศมีเยอะ มีมูลค่าการลงทุนหมื่นล้าน แสนล้าน ตัวเลขการลงทุนมโหฬาร แต่มีกี่บริษัท มีกี่ตระกูลที่เป็นเจ้าของ ขณะที่คนไทย 68 ล้านคนมีธุรกิจเล็กๆ ขนาดกลาง ธุรกิจธรรมดา มีจำนวนมากกว่าเยอะ แต่กฎหมายไม่เคยคำนึงถึงตรงนี้ กฎเกณฑ์ กติกา ไปทางนายทุนใหญ่ทั้งหมด
หรืออย่างการบินไทย ผมเป็นคนทำแผนฟื้นฟู เขาเป็นบริษัทใหญ่ เขามีกำลังความสามารถติดต่อใครได้เยอะ หาเงินกู้ ติดต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขายังเจ๊ง ขาดทุนแสนกว่าล้าน เป็นหนี้สี่แสนกว่าล้าน แต่สุดท้าย เขาพักหนี้ได้หมดเลย เขาฟื้นฟูกิจการได้ แล้วทำไมกิจการคนธรรมดา 1-2 ล้านบาท กฎหมายถึงไม่ได้ให้โอกาสเขาหน่อย
ผมถึงสร้างพรรคนี้ขึ้นมา เราไม่ได้สร้างพรรคอะไร แต่สร้างสังคม สร้างสังคมของชาติใหม่ เป็นสังคมของคนธรรมดา ที่จะให้โอกาสคนธรรมดาให้มีโอกาสเท่าเทียมคนที่มีความสามารถเหนือกว่า
ในสังคมประชาธิปไตย การลงทุน และเศรษฐกิจเสรีนั้น เราห้ามคนรวยให้รวยขึ้นไม่ได้ นั่นเป็นสิทธิของเขา เราห้ามคนที่มีโอกาสทำมาหากินได้เก่งกว่าคนอื่นว่าคุณอย่าเก่งนั้น ทำไม่ได้ แต่คุณต้องสร้างกติกาที่ว่าเมื่อคุณไปไกลขนาดนั้น คุณต้องหันมามองคนตัวเล็ก คนธรรมดาด้วย ไม่ใช่ไปไกลคนเดียว ต้องมีกติกา เอื้อเฟื้อให้คนทุกกลุ่ม และแก้ด้วยกฎหมาย นี่คือแนวทางของรวมไทยสร้างชาติ ผมอยู่การเมืองมาสามสิบปี ไม่มีพรรคไหนทำแบบนี้และทำจริง พรรครวมไทยสร้างชาติจะทำเรื่องนี้
สำหรับคุณ ในฐานะนักการเมืองที่ทำงานใกล้ชิดกับพลเอกประยุทธ์มากที่สุดคนหนึ่ง คุณเห็น ‘อะไร’ ในตัวท่านนายกฯ บ้าง
เห็นงาน ผมไม่ได้เห็นเป็นท่านพลเอกประยุทธ์ ท่านเป็นคนธรรมดา เป็นคนไทยคนหนึ่งที่มีโอกาสเป็นนายกฯ แล้วมีความตั้งใจ มุ่งมั่น อยากแก้ปัญหาให้กับประชาชนเท่าที่ความสามารถจะทำได้ พลเอกประยุทธ์ทำให้ผมมีไฟขึ้นมาอีกว่า ที่เคยคิดว่าจะทำพรรคแบบนี้ก็ทำเลย
เท่าที่เคยใกล้ชิดกับพลเอกประยุทธ์ ท่านเป็นคนน่ารักใช่ไหม
ผมจะพูดให้ฟังนะ ผมไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน เมื่อมารู้จัก ท่านเป็นคนใจดี เป็นคนใจอ่อน แล้วก็เป็นคนเมตตากรุณา รักลูกน้อง แต่ภาพที่เห็นหรือบุคลิกลักษณะของท่านอาจจะดูโผงผาง แต่จริงๆ แล้วก็เป็นคนที่ฟังเหตุฟังผล พูดด้วยได้
บางคนอาจจะบอกว่าเวลาอยู่กับท่าน ไม่กล้าพูด หรือคุณจะบอกอะไรท่านไม่ได้ ไม่จริงเลย แต่ว่าเราก็ต้องพูดให้ถูกเคมี นึกออกไหม เช่น ท่านไม่ชอบพูดการเมือง คุณไปพูดการเมือง ใครเขาจะไปพูดกับคุณ ท่านชอบพูดเรื่องงาน เราก็พูดเรื่องงาน ท่านชอบคิดเรื่องปัญหาชาวบ้าน ตรงนั้นตรงนี้
ล่าสุดที่เป็นข่าว คุณณัฐพล เดชเกศรินทร์ ขับรถชนแบร์ริเออร์บนถนนพระราม 2 ของกรมทางหลวงซึ่งไม่มีไฟฟ้า จนขาขาด ท่านมอบให้ผมไปแก้ปัญหา ผมก็ไปดู สุดท้ายก็ได้รับความเป็นธรรม คุณณัฐพลก็อยากจะขอบคุณท่านนายกฯ ผมก็พาเขาไปขอบคุณ
เคยเห็นนายกฯ คนไหนเอาใจใส่ จ้ำจี้จ้ำไชแบบนี้ไหม ท่านสั่ง – ‘พีระพันธุ์ไปดูนะ ไปดูให้เขาหน่อย’ แบบนี้ไม่เห็นต้องเป็นข่าว แต่นี่คือความใส่ใจของท่าน
ขอถามตรงๆ อีกข้อว่า ท่านนายกฯ เป็นคนฉลาดไหม
ก็แล้วแต่คนจะมอง แล้วแต่เรื่อง บางเรื่องคนอาจจะมองว่า เอ๊ะ ทำไมทำอย่างนี้ แต่จริงๆ ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลทั้งนั้น แม้แต่พวกเราจะทำอะไรสักอย่าง เราอาจจะคิดขวา คิดซ้าย หน้าหลัง ออกมาอย่างนี้ มันอาจจะผิดพลาด ก็แก้ไข
ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องฉลาดหรือไม่ฉลาด แต่เป็นเรื่องเหตุผลในการตัดสินใจเป็นเรื่องๆ
กลับมาที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ทุกวันนี้กลายเป็นพรรคเนื้อหอม มีข่าวตลอดว่าคนนั้นคนนี้จะย้ายมาอยู่ด้วย คุณพีระพันธ์ุมองกระแสนี้อย่างไร พรรคของคุณเป็นพรรคที่พร้อมรองรับคนจำนวนมากที่อยากย้ายมาอยู่ด้วยไหม
เฉยๆ ผมไม่ตื่นเต้น ไม่สนใจกระแส ก่อนหน้านี้ คนก็บอกว่าเป็นพรรคไม่น่าสนใจ ไม่มีกระแส ผมไม่สน ผมทำด้วยความตั้งใจ วันนี้ ผมก็ไม่สนใจ ก็ทำเหมือนเดิม เพราะกระแสเป็นสิ่งไม่แน่นอน เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ถ้าเราวอกแวกกับกระแส มันกำหนดทิศทางอะไรไม่ได้ เราต้องมุ่งมั่นในแนวทางที่เราตั้งใจ เชื่อมั่น แล้วเดินตรงนั้น
เรามั่นใจว่าแบบนี้จะช่วยบ้านเมืองได้ ก็ทำแบบนี้ ทำแบบนี้แล้วกระแสมันขึ้นหรือมันลง ผมไม่สนใจ แต่อย่างน้อยเราได้ทำสิ่งที่เราเชื่อมั่นและสนใจ
พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรค ‘ดูด’ อย่างที่เขาว่าไหม
ก็แล้วแต่คนจะมอง แต่ถามว่าเอาอะไรไปดูด (เสียงดัง) ไม่มีอะไรจะไปดูด ผมยกตัวอย่าง หลายคนที่มาอยู่กับผม อย่างไรเขาก็ไม่อยู่ที่เดิม ประเด็นคือเราจะรับไหม ถ้าเราไม่รับ เขาก็ไปที่อื่น มีแค่นี้ อย่างนี้ดูดไหม ก็ไม่ใช่
แต่คนที่ยังอยู่ที่เดิม เขาอาจจะมองว่าเราดูด แต่จะเอาอะไรไปดูด ประเด็นไม่ใช่ดูดหรือไม่ดูด ประเด็นคือต้องดูตัวเอง อย่างเมื่อกี้ คุณถามเรื่องกระแส แล้วที่ผมบอกผมเป็นนักการเมือง แต่ไม่ชอบพูดเรื่องการเมืองนั้น เป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่ผมสอนว่า อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น คนอื่นจะดีหรือไม่ดีเป็นเรื่องของเขา ดูตัวเรานั่นละ ทำให้ดี ไม่ต้องไปวิจารณ์คนอื่น ถ้าเราคิดว่าเขาไม่ดี ก็ดูไว้ แต่ดูว่าตัวเราเป็นอย่างเขาไหม ถ้าเราไม่เป็นก็ดีแล้ว ถ้าเราเป็นก็แก้ไขเสีย ไม่ต้องวิจารณ์คนอื่น
ฉะนั้น การที่ใครจะเข้าจะออก ก็ต้องดูว่าเกิดจากตัวเราเองไหม แทนที่จะดูว่าคนนู้นเอาไป คนนี้เอาไป ดูตัวเองบ้างหรือยัง ถ้าตัวเองดี คงไม่เกิดเหตุ ถูกไหม
ผมไม่เคยมองเรื่องดูดหรือไม่ดูด หรือบางพรรคที่อ้างว่าถูกดูด ตัวเองก็เอาคนอื่นมา อย่างนี้ดูดไหม ไม่ใช่ มันก็เป็นวาทกรรมก็พูดไป แต่ผมไม่สน ผมทำงานของผม
หลายคนคงอยากรู้ว่า อะไรอยู่ ‘ข้างหลัง’ พรรครวมไทยสร้างชาติ
ตึกข้างหลังไง ข้างหลังพรรคผมก็เป็นตึก ตึกใครก็ไม่รู้ จริงๆ ผมจะเล่าให้ฟัง คนที่ก่อตั้งพรรคนี้ ไม่ใช่ผมนะ ก็คือท่านเสกสกล อัตถาวงศ์ ‘ท่านแรมโบ้’ ที่มาคือท่านนายกฯ พูดถึงคำคำนี้ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ผมฟังแล้วชอบนะ ใช่ – ร่วมมือประสานกัน ไม่ว่าจะตัวใหญ่ตัวเล็ก ถ้าร่วมมือร่วมใจกันสร้างชาติ ก็สร้างชาติได้ ผมชอบ เราก็คิดว่าเราชอบคำนี้ แต่อยู่ดีๆ ก็มีคนไปจดทะเบียนตั้งพรรค ซึ่งคนนั้นคือคุณเสกสกล
ผมกับคุณเสกสกลก็รู้จักกันดี เพราะเขาเป็นหนึ่งในกรรมาธิการชุดเดียวกับผมเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ผมก็ถามเรื่องพรรครวมไทยสร้างชาติ คุณเสกสกลก็บอกว่าไม่มีอะไร ผมชอบ กลัวคนอื่นไปจดทะเบียนพรรคนี้ เลยจดเสียก่อน ผมเลยบอกว่า ผมก็ชอบนะ คุณเสกสกลเลยถามผมกลับว่า ถ้าอย่างนั้นท่านเอาไปทำไหม ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่เวลาผ่านไปสักระยะ ผมมีความคิดว่าอยากมีพรรคแบบนี้ อยากทำสักครั้ง สุดท้ายเลยขอท่านแรมโบ้มาทำ
ระหว่างเตรียมการ เริ่มมีข่าวอะไรออกไป แต่สุดท้ายช่วงแรกๆ ก็ต้องมีการจัดการ เปลี่ยนตัวจากทีมงานของท่านมาเป็นทีมงานชุดปัจจุบัน คุณเสกสกลก็ช่วยจัดการให้เท่านั้นเอง ไม่ได้มีใครเป็นเบื้องหน้า เบื้องหลัง ท่านจดชื่อไว้ก่อนเพราะกลัวคนเอาชื่อไปใช้ แล้วท่านเห็นว่าชื่อพรรคว่างอยู่ ก็แค่นั้น
แต่แน่นอนว่าพอมีชื่อนี้เข้ามา คนทั่วไปย่อมโยงไปถึงพลเอกประยุทธ์
ก็ท่านเป็นคนพูดคำนี้แล้วผมชอบ เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ แล้วผมไม่มีสิทธิชอบหรือ ใช่ไหม บางชื่อคุณชอบ ผมไม่ชอบ บางชื่อผมชอบ คุณไม่ชอบ ก็มีแค่นี้ แรมโบ้เขาก็ชอบ เพียงแต่เขาเร็วกว่าเรา แล้ววันนั้นบังเอิญเรายังไม่มีความคิด แต่เขาไปจดทะเบียนเลย ตั้งพรรคชื่อนี้เรียบร้อยเลย
ถามจริงๆ พรรครวมไทยสร้างชาติเป็น ‘พรรคนั่งร้าน’ ให้พลเอกประยุทธ์หรือเปล่า
พรรคนี้มีผมคนเดียวไหม มีตั้งกี่คน บางคนออกจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย คนเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับพลเอกประยุทธ์ คนเหล่านั้นจะมาเป็นนั่งร้านให้ท่านนายกฯ ทำไม
ที่ผมมาทำตั้งแต่ต้น ก็เพราะเป็นเพื่อนกันมา รู้จักกันมา ผมจะทำ ก็ไปคุยกับเขาว่าผมจะทำ ลองกันสักตั้ง แต่บังเอิญผมมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกฯ คนก็ไปโยง ไปคิด ผมเองไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เลยไม่โต้แย้งหรือโต้เถียงกับใคร อยากวิเคราะห์ วิจารณ์ เชิญตามสบาย ของจริงไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไร ไม่สะทกสะท้าน ผมถูกสอนมาแบบนี้ ไม่ยุ่งเรื่องใคร และไม่ต้องให้ใครมายุ่ง
ถ้าอย่างนั้น พลเอกประยุทธ์จะเข้ามาอยู่พรรคนี้ได้หรือไม่
(ตอบทันที) ไม่ทราบ พรรคนี้ผมตั้งใจว่าอยากให้คนที่มีความคิดทางการเมืองเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เพื่อส่วนตัว ไม่ว่าเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อสีอะไร มาอยู่ด้วยกันได้หมด วิธีการทางการเมืองแต่ละคน เป็นวิธีการ แต่ถ้าเป้าหมายที่ทำไป คุณคิดว่าอยากให้สังคมดี บ้านเมืองดี คุณกับผมมีความคิดเดียวกัน แต่เรามา Blending หรือมาทำอะไรเพื่อให้วิธีการนำไปสู่ตรงนั้น คือเป้าหมายเพื่อชาติบ้านเมืองได้หรือไม่
ผมได้ความคิดนี้มาจากช่วงที่มีงานพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่มีเรื่องเล่าว่าข้าราชบริพารเป็นคุณหมอคนหนึ่ง มีความอึดอัดใจเรื่องงาน เลยกราบบังคมทูลในหลวง รัชกาลที่ 9 ท่านได้สอบถามอะไรหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเรื่องเกี่ยวกับงาน ในหลวงเลยมีพระราชดำรัสว่า “ทุกคนมีดี” คำนี้ถูก เราทุกคนเวลาทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะยาจก เศรษฐี มหาเศรษฐี ทุกคนมีดีในตัวเอง แต่ถ้าเรามัวแต่มองว่าไอ้นู่นไม่ดี ไอ้นี่ไม่ดี แล้วเมื่อไรเราจะทำอะไรได้
เราทำอะไรได้หมดไหม ไม่ได้ แต่ถ้าเราทุกคนมองคนด้วยความดี ว่าคนนี้ดีตรงนั้น ดีตรงนี้ เอาความดีของทุกคนมาช่วยกันทำงานจะดีกว่าไหม
ฉะนั้น แนวทางของผม จะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือเป็นใคร ถ้ามีความคิดดีต่อชาติบ้านเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วสร้างบ้านเมืองไว้ให้ลูกหลาน ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็มาทำงานด้วยกันได้หมด
คุณพีระพันธ์ุเอง คิดอยากจะชวนพลเอกประยุทธ์มาอยู่พรรคนี้ด้วยไหม
ไม่ชวน จะไปชวนท่านได้อย่างไร ท่านเป็นผู้บังคับบัญชาผม แล้วอย่าว่าแต่ท่านประยุทธ์เลย ทุกคน ผมไม่ชวน คุยกันแบบนี้ คุณถามผมวันนี้ว่าทำไมตั้งพรรค ผมก็บอกเหตุผลไปแบบนี้ ถ้าคุยกันแล้วใช่ ก็มาร่วมกัน แต่ถ้าให้ผมไปชวน ไปกระชากลากถูใคร ผมไม่ทำ เพราะมันเป็นอนาคตของทุกคน ผมทำพรรค ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะสำเร็จแค่ไหน ถ้าผมไปดึงคนเข้ามาแล้วเกิดผิดพลาด ผมก็รู้สึกผิด ผมก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้แค่ไหน แต่ผมมั่นใจว่าผมต้องทำ
จุดขายที่เด่นสุดของพรรคนี้คืออะไร
ผมจะเป็นพรรคแบบที่ประชาชนอยากให้มีพรรคแบบนี้ พรรคที่เป็นที่พึ่งของประชาชน พรรคที่มาเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรม แก้กฎหมายให้เสมอภาคในการทำมาหากิน ในโอกาสต่างๆ สร้างการเข้าถึงโอกาส เข้าถึงอะไรต่างๆ ที่ทำให้ตัวเองและครอบครัวอยู่ได้อย่างมั่นคง
หากพูดกันมาจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าคุณพีระพันธ์ุพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี
ผมเป็นเองได้ที่ไหน อยู่ที่ประชาชน ถ้าประชาชนเลือกรวมไทยสร้างชาติมากที่สุด ก็ต้องเป็น ไม่ได้อยู่ที่ผม แล้วผมไม่เคยคิดจะเป็น ผมทำอะไรมาตลอดชีวิตของผม ผมไม่ได้ทำเพื่อผมจะเป็นอะไร ได้เป็นอะไร ผมทำเพื่อเป้าหมายว่าทำเพื่ออะไร ผมทำพรรคนี้ ไม่ได้เพื่อให้ตัวเองได้เป็นรัฐมนตรี หรือได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่อยากให้มีพรรคการเมืองแบบนี้สักพรรคในประเทศ อย่างที่ในอดีต ผมเป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง อยากมีพรรคการเมืองแบบนี้ เมื่อไม่มี ก็จะทำให้มี ไม่ได้จะทำเพื่อตัวเองอยากเป็นอะไร
สรุปว่าคุณจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ เองไหม
ก็แล้วแต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ถ้าวันนั้น ไม่มีใคร ถ้าที่ประชุมกรรมการบริหารมีมติ ผมก็ต้องเป็นแคนดิเดต ก็ธรรมดา ไม่มีอะไรพิสดาร
พรรครวมไทยสร้างชาติตั้งความหวังที่จะเป็นพรรคขนาดใหญ่ไหม
ทุกพรรคหวังเหมือนกันหมด ไม่มีพรรคไหนบอกว่าตั้งมาเพื่อเป็นพรรคขนาดเล็ก แม้แต่คุณทำ The Momentum ก็ไม่ได้คิดหวังว่าจะเป็นสื่อเล็กๆ ทุกคนมีความฝัน อยากให้ดีที่สุด ให้มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่ทำสื่อแล้วใหญ่โตเลย มันอาจจะมีคนทำได้ในบางจังหวะ แต่ทุกอย่างก็ค่อยเป็นค่อยไป ก็ต้องเริ่ม คนไม่รู้จักเรา ก็ให้เรียนรู้เรา แล้วก็มุ่งมั่น ทำไปเรื่อยๆ มันจะสำเร็จวันไหน อยู่ที่เรามุ่งมั่นขนาดไหน
คุณมองไทม์ไลน์การเมืองหลังจากนี้อย่างไรบ้าง
สามสิบปีในการเมืองของผม ผมเข้ามาปี 2535 เป็น ส.ส. ปี 2539 ไม่เคยมีอะไรแน่นอนเลย ถ้าถามตรงนี้ ก็ต้องเอาความแน่นอนเป็นหลัก ครบวาระของสภาฯ คือ 23 มีนาคม 2566 แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ไม่มีวันรู้จะเกิดอุบัติเหตุอะไรได้เมื่อไร เราก็ต้องมีความพร้อมเสมอ ไม่ประมาท ถ้าเกิดอุบัติเหตุเมื่อไรก็ต้องพร้อมลงสนาม ความพร้อมอาจไม่เต็มร้อยเท่ากับครบวาระ แต่ถ้ายุบสภาฯ วันนี้ เราก็มีคนลงเลือกตั้ง
ถ้าต้องแข่งกับพรรคพลังประชารัฐที่คุณเคยสังกัดมาก่อน เป็นเรื่องลำบากไหม
ผมบอกตรงๆ ผมเข้าไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ เพราะรับปากกับท่านหัวหน้าพรรค (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ว่าจะไปช่วยท่านจัดการโครงสร้างพรรค แล้วผมก็ติดภารกิจที่นายกฯ มอบหมาย ก็เข้าไม่ได้ แล้วก็ติดภารกิจเรื่องการบินไทย ก็เข้าไม่ได้อีก พอเสร็จภารกิจเรื่องการบินไทย เผอิญเจอกับพลเอกประวิตร ท่านก็บอกว่าช่วยได้หรือยัง ฉะนั้น ภารกิจนั้นผมทำตามที่ผมรับปากแล้ว แต่การที่จะไปทำได้ก็ต้องเป็นสมาชิกพรรค ถ้าผมไม่เป็นสมาชิกพรรค ก็ผิดกฎหมาย นั่นคือเหตุผลที่ผมต้องเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ คือเพื่อไปทำงาน แล้วเมื่อทำเสร็จก็ลาออก มีเท่านี้
การที่สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติจำนวนมากเป็นอดีตสมาชิกและอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ พรรคนี้จะกลายเป็นพรรคประชาธิปัตย์สาขา 2 ไหม
จริงๆ การเมืองมีอยู่สามซีก ซีกที่หนึ่งคือฝั่งขวา อีกซีกคือฝั่งซ้าย อีกซีกหนี่งคือตรงกลาง แล้ววันเลือกตั้งจะไปทางไหน ฝั่งซ้ายย้ายมาขวา หรือขวาย้ายไปซ้าย อันนี้ยาก อีกอย่าง ในทางปกติ สมมติว่าผมรู้จักคุณ คุณรู้จักผม เราก็รู้จักกันดีมากกว่าคนอื่น โอกาสที่เราจะเปลี่ยนแปลง โยกย้าย เราก็ต้องไปอยู่กับคนที่เรารู้จัก หรือบางคนที่อยู่คนละซีก เขาชอบแบบเรา พอถึงจุดที่จะเปลี่ยน เขาก็ต้องมาอยู่กับเรา
ฉะนั้น ไปดูเลย ผมมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ผมอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มาตลอดชีวิตทางการเมือง ก็ต้องรู้จักพรรคประชาธิปัตย์ดีที่สุด ลองไปดูพรรคไทยสร้างไทยของคุณหญิงหน่อย (คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ) คนที่อยู่กับท่าน ก็มาจากสายนู้น พรรคสร้างอนาคตไทยของท่านสมคิด (จาตุศรีพิทักษ์) ก็แบบเดียวกัน คนพูดแบบนี้ไม่เข้าใจการเมือง การเมืองจริงๆ ก็มีแค่นี้ นี่คือธรรมชาติมนุษย์
อยู่ในวงการการเมืองมา 30 ปี คุณพีระพันธุ์มองเห็นความหวังอะไรในการเมืองไทย
ถ้าผมเห็นความหวัง ผมคงไม่ตั้งพรรค ประเทศไทยเรามีปัญหามานานแล้ว แต่อย่างที่ผมบอก เวลาฟังนโยบาย ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับชาวบ้าน วันนี้ เราควานหาทีมเศรษฐกิจ ลองบอกสิว่ามีทีมไหนบ้าง ผมอยู่มาสามสิบปี มีสักกี่ทีม แล้วแต่ละทีมที่เขาเอามา ที่มีชื่อเสียง เอะอะก็คนนี้ แล้วเป็นไง เหมือนเดิม ทำไรได้ไหม ไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะคุณไม่เปลี่ยนกฎหมาย
ฉะนั้น ต่อให้คุณเก่งเศรษฐกิจแค่ไหน คุณวางแผนแบบไหน แต่กฎหมายเป็นแบบเดิม ไม่ให้คุณทำแบบนั้น แล้วคุณจะทำได้ไหม ที่ผมยกตัวอย่างเสมอคือสิงคโปร์ ลี กวนยู อดีตนายกฯ สิงคโปร์ เขาเป็นนักกฎหมาย ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แล้วทำไมเขาทำได้ เขาไม่ต้องอาศัยทีม แต่เขามาถึง เขาแก้กฎหมายหมด เขียนกฎหมายใหม่ อะไรที่ไม่มีก็ทำให้มี อะไรที่เป็นอุปสรรคในการลงทุน การค้า เศรษฐกิจ แก้ใหม่หมด ไม่ได้อาศัยนักเศรษฐศาสตร์
อย่างสิงคโปร์เขาไม่มีทรัพยากร เราทรัพยากรเยอะ เราส่งออกพืชไร่ แต่สิงคโปร์ไม่มีพืชไร่ จะเอาเงินทุนต่างชาติเข้ามา ซึ่งถ้าไม่แก้กฎหมายก็ทำไม่ได้ แล้วทุกวันนี้สิงคโปร์ก็เป็นศูนย์กลางการเงินของโลก
อีกอย่างสำหรับบ้านเรา (ถอนหายใจ) คนที่รู้กฎหมายก็พูด คนที่รู้เรื่องเศรษฐกิจก็พูด คนที่รู้เรื่องการค้าก็พูด โอ้โห คนดีคนเด่น ทำไมคุณไม่ช่วยมาทำงาน ทำให้การเมืองดีขึ้น พอบอกการเมืองไม่กล้า กลัว อย่าเอาผมไปเปิดตัวนะ ฉะนั้น หายาก คนที่เป็นผู้รู้ทางเศรษฐกิจมาทำงานการเมือง แต่พอเป็นรัฐบาลแล้วเข้าแถวเลย พร้อมยินดีช่วยรัฐบาลทันที แต่ถ้าระหว่างเลือกตั้ง ไม่ยอมเปิดตัว
ถ้าวันนั้น สิงคโปร์ไม่แก้กฎหมาย คิดว่าวันนี้ สิงคโปร์จะเป็นแบบนี้ไหม ของเราอยากเป็นเหมือนกัน ไปถามพวกแบงเกอร์ทั้งหลาย อยากให้เมืองไทยเป็นอย่างสิงคโปร์ เป็นอย่างนี้อย่างนั้น แต่กฎหมายตัวเดิม ต่อให้สิบทีมเศรษฐกิจ มือเซียนขนาดไหนก็ไปไม่ได้ เพราะกติกาไม่ให้ทำ ประเทศนี้ไม่มีใครให้ความสำคัญในการรื้อระบบกฎหมาย สำหรับพรรครวมไทยสร้างชาติ เราจะเขียนกฎหมายใหม่ ทั้งหมดผมเขียนเอง ทำได้เอง ไม่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่
วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติเตรียมกฎหมายหลายฉบับ เช่น กฎหมายเชื้อเพลิง ที่มีปัญหาเรื่องน้ำมันแพง กฎหมายมีสี่ฉบับ สามกระทรวง 2,500 คำสั่ง ตอนได้อำนาจ อยากได้อำนาจหมดเลย แต่พอเวลามีปัญหาบอกไม่ใช่ปัญหาของผม กฎหมายไม่ให้อำนาจ เราจะรวมกฎหมายเป็นหนึ่งฉบับ ไม่ต้องเถียงกันเรื่องค่าการกลั่น เพราะกฎหมายวันนี้ไม่มีฉบับไหนพูดเรื่องค่าการกลั่นเลย
หรือเรื่องข้าว ชาวนาเป็นกระดูกสันหลัง ข้าวเป็นพืชไร่หลัก ไม่มีกฎหมายคุ้มครองชาวนา กำหนดราคาขายอย่างไร อ้อยมี น้ำตาลมี แต่ไม่มีเรื่องข้าว กิจการเอสเอ็มอี ชาวบ้านอย่างเราลงทุนนั่นนี่ แต่เวลาเกิดอุบัติเหตุทางเศรษฐกิจ เขาต้องผูกคอตาย ไม่มีกฎหมายคุ้มครองพวกเขา พวกนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติจะพูดถึงทั้งหมด
Fact Box
- พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นบุตรของ พลโท ณรงค์ สาลีรัฐวิภาค อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์และเจ้ากรมการพลังงานทหาร และโสภาพรรณ สาลีรัฐวิภาค (สุมาวงศ์) ‘ดาวจุฬาฯ’ คนแรก ซึ่งเป็นบุตรีของพระมนูเวทย์วิมลนาท อดีตประธานศาลฎีกา
- ก่อนหน้านี้ เขาเคยเป็น ส.ส. เจ้าของพื้นที่เขตดินแดง ห้วยขวาง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีชื่อเป็น ส.ส. อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2539 จนถึงการเลือกตั้งปี 2562 ทั้งยังเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
- หลังพ่ายแพ้จากศึกเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้กับ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พีระพันธุ์ตัดสินใจลาออกจากพรรค และลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งที่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อเนื่องจนถึงวันนี้
- พีระพันธุ์มีงานอดิเรกคือการสะสมรถโบราณ งานศิลปะ รวมถึงฝึกบินผ่านเครื่องไฟลต์ซิมูเลเตอร์ นอกจากนี้ เขายังชื่นชอบงานออกแบบ โดยเขาเป็นผู้ดูแลการตกแต่งภายในของพรรครวมไทยสร้างชาติ และออกแบบโลโก้พรรคด้วยตัวเอง
- ปัจจุบัน พรรครวมไทยสร้างชาติ ถือว่าเป็นศูนย์รวมของอดีตนักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเอง หรือเลขาธิการพรรค เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (ลูกเลี้ยงของ สุเทพ เทือกสุบรรณ) และอดีตสมาชิกพรรคสาย กปปส. หลายคน รวมถึง วิทยา แก้วภราดัย และทีมงานของ ชุมพล จุลใส ต่างพากันมารวมตัวอยู่ในพรรคการเมืองนี้