หลังเลื่อนโปรแกรมไปมาจนส่อแววว่าจะไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ตามมาตรการล็อกดาวน์ ในที่สุดวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา หนังเดี่ยวเรื่องแรกของสายลับสาวแห่งทีมอเวนเจอร์สอย่าง ‘แบล็กวิโดว์’ (Black Widow) ก็ได้ฤกษ์ออกฉาย ควบคู่ไปกับการสตรีมมิงออนไลน์บนแพลตฟอร์มดิสนีย์พลัส (Disney +) เสิร์ฟตรงถึงแฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่ค่ายมาร์เวลที่ยังไม่อยากออกจากบ้าน ให้ได้เลือกชมตามความพึงพอใจ
*ต่อจากนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์
หากคุณเป็นแฟนเดนตายของจักรวาล ‘มาร์เวลซีเนมาติกยูนิเวิร์ส’ (Marvel Cinematic Universe) คงทราบดีอยู่แล้วว่าชีวิตของสายลับสาวเจ้าของฉายา ‘แม่หม้ายดำ’ ได้สิ้นสุดลงไปแล้วในภาพยนตร์ Avengers: Endgame (2019) หลังเธอยอมสละชีวิตแลกกับการให้ทีมได้มีสิทธิ์ครอบครองอัญมณีวิญญาณหรือโซลสโตน (Soul Stone) ตามแผนการกำจัดธานอส ยักษ์คลั่งอุดมการณ์สุดโต่ง ผู้หวังล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งจักรวาล
แต่ในขณะที่เรื่องราวของหลายตัวละครดูเหมือนจะได้บทสรุปที่คลี่คลายในช่วงปิดเฟส 4 ของจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวล ทว่าภูมิหลังหลายอย่างของ ‘แบล็กวิโดว์’ ยังคงถูกทิ้งให้เป็นปริศนา ดังนั้น หนังเดี่ยวเรื่องแรกของสายลับสาวผู้นี้จึงเปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะช่วยปิดฉากภารกิจของเธอได้อย่างสมบูรณ์ ดังที่หลายคนอยากเห็นมาตลอด
สการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน กับการทิ้งทวนบทบาทแบล็กวิโดว์
ภาพยนตร์เรื่อง Black Widow (2021) ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งของ สการ์เลตต์ โจแฮนสันส์ นักแสดงสาวสุดเซ็กซี่ กับบทบาท ‘นาตาชา โรมานอฟ’ สายลับหญิงเจ้าของรหัสเรียกขาน ‘แบล็กวิโดว์’ ผู้หันหลังให้กับโซเวียตบ้านเกิด ก่อนแปรพักตร์เข้าร่วมกับหน่วยชีลด์ และร่วมหัวจมท้ายกับทีมอเวนเจอร์ส นี่เป็นอีกครั้งที่มาร์เวลสตูดิโอแสดงให้เห็นว่า การอดทนวางรากฐานแฟรนไชส์ตัวเองมาตลอด 10 กว่าปีให้แข็งแกร่งนั้นมีความสำคัญอย่างไร เพราะทุกพล็อตหรือประเด็นที่ไม่ถูกพูดถึงสามารถหยิบจับมาแยกย่อยทำภาพยนตร์ภาคต่อหรือซีรีส์ทำเงินได้อีกหลายเรื่อง เช่นเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง แบล็กวิโดว์ ทางมาร์เวลสตูดิโออาศัยปัจจัยดังกล่าวมาใช้งาน หลังตัดสินใจวางเนื้อเรื่องให้เกิดขึ้นช่วงรอยต่อระหว่าง Captain America: Civil War (2016) และ Avengers: Infinity War (2019)
ยิ่งไปกว่านั้น การผูกคาแรกเตอร์ตัวละครกับนักแสดงยังสามารถดึงดูดผู้ชมอย่างเห็นได้ชัด เพราะนับตั้งแต่การปรากฏตัวในบทแบล็กวิโดว์เมื่อปี 2008 จากภาพยนตร์เรื่อง Iron Man 2 ภาพจำของสการ์เลตต์ โจแฮนส์สัน ในสายตาผู้ชมก็ค่อยๆ ถูกกลืนกินทีละเล็กทีละน้อยด้วยเสน่ห์อันแพรวพราว ใบหน้าสะสวย หัวจรดเท้าราวกับว่าเธอเกิดมาเพื่อรับบทนี้โดยเฉพาะ
ถึงกระนั้น การกลับมารับบทบาทสายลับแม่หม้ายดำรอบที่ 8 ของสการ์เลตต์น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วแน่นอน ด้วยระยะเวลาที่ส่งให้วางมือจากบท จนถึงสถานการณ์ตึงเครียดจากสัญญาค่าตัว และถึงแม้เมื่อไม่นานมานี้เธอจะยินดีถอนฟ้องบริษัทแม่อย่างดิสนีย์ แต่เมื่อรอยร้าวเกิดขึ้นแล้ว การจะเดินหน้าโปรเจ็กต์ร่วมกันคงกระอักกระอ่วนใจมิใช่น้อย
หวนคืนสู่มาตุภูมิ เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
องก์แรกของแบล็กวิโดว์ตบตาผู้ชมให้เชื่อว่า อดีตสายลับ นาตาชา โรมานอฟ ผู้มีประวัติอันผิวเผินเพียงว่าเป็นสายลับฝีมือพระกาฬจากโซเวียต แท้จริงแล้วเธอไม่ได้กำพร้า แต่มีครอบครัวสมบูรณ์เช่นคนทั่วไป เธอถูกเลี้ยงดูโดยพ่อ อเล็กเซีย ชอสโตคอฟ (รับบทโดย เดวิด ฮาร์เบอร์) และแม่ เมเลนา วอสโตคอฟ (เรเชล ไวสซ์) สองนักวิจัยที่อพยพถิ่นฐานมาใช้ชีวิตยังรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยน้องสาวตัวน้อย เยเลนา ก่อนที่อึดใจเดียวเรื่องราวจะเฉลยว่าพ่อแม่ทั้งคู่คือสายลับจากโซเวียต เธอและน้องสาวเป็นเด็กกำพร้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือภารกิจแทรกซึมทำลายศูนย์วิจัยแห่งหนึ่งจาก ‘เรดรูม’ (Red Room) องค์กรสายลับของโซเวียตช่วงสงครามเย็น ซึ่งนำโดยชายชื่อ เดรย์คอฟ (เรย์ วินสโตน)
เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น เดรย์คอฟหอบหิ้วนาตาชาและเยเลนาเข้าสู่โปรแกรมสร้างนักฆ่าหญิงหรือ ‘วิโดว์’ (Widow) ร่วมกับเด็กหญิงคนอื่น จุดประสงค์เพื่อรับใช้องค์กรและแทรกซึมไปเป็นหนอนบ่อนทำลายประเทศต่างๆ ปูทางให้โซเวียตกลับครองบัลลังก์โลกตามสูตรวายร้ายหนังสายลับ ซึ่งตามที่ทราบกันดีคือ นาตาชาเป็นวิโดว์คนเดียวที่หลุดมาจากการควบคุมของเรดรูมได้ ปัญหาคือแล้วเด็กหญิงคนอื่นๆ ล่ะ มีชีวิตอย่างไรต่อจากนั้น? นี่คือเส้นเรื่องสำคัญที่เราแนะนำให้คุณได้ชมด้วยตาตัวเอง
ประเด็นสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงองก์ 2 และ 3 ที่เป็นการหวนคืนกลับมาพบกันตอนโตระหว่างนาตาชากับเยเลนา (ฟลอเรนซ์ พิวจ์) ในเมืองบูดาเปสต์ ฮังการี บ้านเกิดของพวกเธอ ด้วยประเด็นละเอียดอ่อนระหว่างสายสัมพันธ์ครอบครัวปลอมๆ ว่าความรู้สึกผูกพัน รู้สึกรักนั้นเป็นของจริงหรือไม่ และการทวงคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จากองค์กรเรดรูมที่บงการวิโดว์คนอื่นๆ ด้วยการใช้ชิปหรือฟีโรโมนเพศชายจากตัวเดรย์คอฟเพื่อควบคุมสามัญสำนึก พร้อมใช้งานพวกเธอเปรียบดุจเครื่องจักรสังหาร และหากหลุดการควบคุมก็พร้อมเขี่ยทิ้งทุกเมื่อ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่องค์กรเรดรูมช่วงชิงไปจากนาตาชาและวิโดว์คนอื่นๆ นอกจากการใช้เป็นอาวุธเครื่องมือแล้ว สิทธิในร่างกายพวกเธอตัวเองยังถูกลิดรอนจนหมดสิ้น เพราะเมื่อฝึกฝนร่างกายผ่านตามโปรแกรม แต่ละคนจะถูกผ่าควักเอามดลูก รังไข่ อวัยวะสืบพันธุ์ออกมาทั้งหมด พลัดพรากความเป็นหญิงจนไม่ต่างกับวัตถุไร้อารมณ์ ไร้จิตใจ ซึ่งหากมองแก่นเรื่องให้ลึกลงไปอีกขั้นยังถือเป็นการสะท้อนปัญหา ‘ปิตาธิปไตย’ ด้วยก็ว่าได้ ทำให้ความสนุกของภาพยนตร์เรื่องนี้นอกจากการลิ้มอรรถรสแอ็กชัน บู๊ ระห่ำ ตามสไตล์มาร์เวลซีเนมาติก ยังเหมาะควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างสังคมตั้งแต่ระดับประเทศ สถาบันครอบครัว และความเป็นมนุษย์
การดำเนินเรื่องที่ไม่บาลานซ์ วัตถุดิบตัวละครที่ถูกใช้ไม่คุ้มค่า
ตลอด 2 ชั่วโมง 14 นาที ตามธรรมชาติของหนังฟอร์มยักษ์โดยเฉพาะกับหนังแฟรนไชน์ซูเปอร์ฮีโร่ค่ายมาร์เวล เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากแอบงีบหรือลุกไปเข้าห้องน้ำให้เสียอรรถรส ทว่าคงไม่ใช่กับเรื่องแบล็กวิโดว์ บางช่วงของหนังถูกทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน แต่บางช่วงถึงกับเนือยๆ เป็นกราฟเส้นตรง แล้วอยู่ๆ ก็ตัดสลับด้วยความรวดเร็วราวกับว่าผู้กำกับ เคต ชอร์ตแลนด์ (Cate Shortland) ถูกต้นสังกัดดิสนีย์สั่งตัดจบ
ฝั่งตัวละครถึงแม้บทตัวเอกจะถูกวางออกมาได้ดี โดยเฉพาะเยเลนา ที่ฉายแสงออกมาได้เจิดจรัส และไม่ถูกบทของนาตาชากลบรัศมีตามที่หลายฝ่ายคาดไว้ ทว่าในส่วนของตัวร้ายหลักอย่างทาสก์มาสเตอร์ (Taskmaster) วายร้ายปริศนาที่ทีเซอร์ตัดออกมาเรียกเสียงฮือฮาด้วยสกิลก๊อบปี้ท่าทางฮีโร่คนอื่น พอเอาเข้าจริงกับมีบทเบาโหวง ไม่เป็นที่น่าจดจำเท่าไรนัก น่าเสียดายถึงขั้นที่ว่า พอดิสนีย์พลัสปล่อยฟุตเทจต่างๆ ออกมารวมแล้วเกือบครึ่งชั่วโมง ก็เกิดคำถามที่ว่าด้วยวัตถุดิบรวมถึงการปูเรื่องมากมายว่า เหตุไฉนจึงไม่ทำโปรเจ็กต์ส่งท้ายแม่หม้ายดำออกมาในรูปแบบภาพยนตร์ซีรีส์ไปเลย เหมือนกับการดันตัวละคร ฟัลคอนเป็นกัปตันอเมริกาคนใหม่ในซีรีส์ The Falcon and The Winter Soldier
อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นคอหนังซูเปอร์ฮีโร่ค่ายมาร์เวล การได้โบกมือลาตัวละครแบล็กวิโดว์บนจอเป็นครั้งสุดท้ายก็ไม่ควรพลาดภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยประการทั้งปวง ยิ่งโรงภาพยนตร์เปิดรับแฟนหนังกลับมาแล้ว การได้จ่ายเงินเพื่อชมในระบบ IMAX ดูจะอิ่มเอมใจครบรสกว่าการชมบนจอทีวีหรือหน้าจอสมาร์ตโฟน ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดีที่โรงภาพยนตร์จะได้เรียกลูกค้ากลับมาหลังปิดไปหลายเดือน เว้นแต่ว่าโรงหนังไม่ฉวยโอกาสขึ้นค่าตั๋วตามที่เป็นข่าวเสียก่อน…
Tags: Screen and Sound, Black Widow, Marvel Cinimetic Univers, Scalett Johanson