1
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1983 เครื่องบินทหารของฝรั่งเศสนำตัวชายคนหนึ่งมาจากโบลิเวีย เขาคืออาชญากรสงครามที่ควานหาตัวกันมาอย่างยาวนาน ฉายาของเขาคือ ‘จอมโหดแห่งเมืองลียง’ วีรกรรมฉาวโฉ่ของเขาเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่คือผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังการสังหารคนจำนวนมาก เขาทรมานและเข่นฆ่ากลุ่มฝรั่งเศสเสรีที่ต่อต้านการปกครองของนาซี เขาคือผู้ส่งคนยิวจำนวนมากไปค่ายกักกันซึ่งหมายถึงจุดจบแห่งชีวิต ประมาณการกันว่าชายคนนี้มีส่วนรับผิดชอบชีวิตที่จากไป 11,000-25,000 คน ที่ต้องตายภายใต้ปฏิบัติการที่มีเขาเป็นผู้สั่งการ
ความโหดเหี้ยมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยน้ำมือชายคนนี้ เต็มไปด้วยเรื่องน่าอับอายของทั้งฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา สิ่งที่แตกต่างจากอาชญากรนาซีคนอื่นๆ ที่ถูกตัดสินจับกุมดำเนินคดี คือเขาไม่ปฏิเสธสิ่งที่กระทำการลงไปแม้แต่น้อย เขาถือว่านั่นคือหน้าที่ของทหารผู้รับใช้ชาติ ไม่แสดงความสำนึกผิด ไม่แสดงความเสียใจ
นี่คือเรื่องราวของ เคลาส์ บาร์บี (Klaus Barbie) ชายผู้เป็นที่ถูกจดจำว่าเป็นนาซีจวบจนวันตาย
2
เคลาส์ บาร์บี เกิดที่กรุงบอนน์ ในเยอรมนี เมื่ออายุ 20 ปี ก็ได้สมัครเป็นยุวชนฮิตเลอร์ก่อนจะกลายเป็นหัวหน้านาซีในท้องถิ่น แล้วเข้ารับการฝึกทหาร เมื่ออายุได้ 22 ปี บาร์บีสมัครเป็นหน่วยทหารเอสเอสอันเป็นกองกำลังที่สร้างขึ้นมาเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยรับใช้ท่านผู้นำ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เด็กหนุ่มได้สาบานว่าจะปกป้องพรรคนาซีอย่างสุดจิตสุดใจด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ
ไม่กี่ปีต่อมา เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น กองทัพเยอรมันอันเกรียงไกรบุกยึดหลายประเทศในยุโรปอย่างอหังการ หน่วยเอสเอสที่ถูกส่งไปยังประเทศที่ถูกยึดครองเพื่อดำเนินการจัดการคนยิวในประเทศนั้นๆ อย่างเฉียบขาดรุนแรงและโหดเหี้ยม บาร์บีได้รับการติดยศร้อยตรีแห่งหน่วยเอสเอส ดำเนินการกวาดต้อนคนยิวในเนเธอร์แลนด์ เมื่อเยอรมันบุกโซเวียต บาร์บีเข้าไปจัดการทรมานศัตรูอย่างเลวร้าย ผลงานสุดอัปยศนี้เข้าตาผู้ใหญ่ในพรรคนาซีอย่างมาก เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยเกสตาโป อันเป็นหน่วยตำรวจลับที่มีหน้าที่จัดการศัตรูทางการเมือง ผู้ต่อต้านเยอรมันในประเทศที่ถูกยึดครอง
เขาถูกส่งไปประจำการที่ฝรั่งเศสซึ่งพ่ายแพ้ให้กับเยอรมัน ฐานปฏิบัติงานอยู่ในเมืองลียง ซึ่งตั้งอยู่ตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยเมืองแห่งนี้เป็นเขตเสรีไม่ได้ขึ้นตรงต่อรัฐบาลหุ่นเชิดวีชี ซึ่งนาซีตั้งให้เป็นรัฐบาลอย่างเป็นทางการของฝรั่งเศสในช่วงการยึดครอง ดังนั้นที่ลียงจึงเต็มไปด้วยกลุ่มผู้ต่อต้านฝรั่งเศสเสรีที่นายพลชาร์ล เดอ โกล นำทีมปฏิบัติงาน หน้าที่ของบาร์บีนั้นเรียบง่าย คือจัดการพวกผู้ต่อต้านให้ราบคาบพร้อมกับกวาดต้อนชาวยิวให้ไปตายตามนโยบายของนาซี
3
กลุ่มฝรั่งเศสเสรีถูกบาร์บีกวาดล้างจับกุมถูกทรมานอย่างแสนสาหัส แต่นั่นยังไม่ใช่ความเลวร้ายทั้งหมดของบาร์บี เพราะยังมีสิ่งที่โหดเหี้ยมมากกว่า เมื่อเขาบุกเข้าไปในสถานดูแลเด็กกำพร้าซึ่งเปิดเพื่อรับลูกหลานคนยิวให้มาอาศัย บาร์บีสั่งการให้นำเด็กเหล่านี้ส่งตัวไปค่ายกักกันทั้งหมด ทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนี้อยู่นอกเขตยึดครองของนาซี จึงมีผู้ปกครองชาวยิวส่งลูกหลานเพื่อหวังว่าเด็กๆ เหล่านี้จะได้รับการปกป้องคุ้มภัยหลีกหนีเงื้อมมือเยอรมัน โดยหวังว่าเมื่อสงครามโลกจบสิ้น เด็กๆ จะได้กลับบ้าน
จากข้อมูลพบว่าเด็กๆ ชอบสถานที่เหล่านี้มาก เพราะสถานที่แห่งนี้อยู่ในชนบททิวทัศน์สวยงาม เด็กๆ อยู่กันอย่างมีความสุขท่ามกลางโลกสุดเลวร้าย แต่แล้วเดือนเมษายน 1944 รถบรรทุกทหารได้ขับมา ทั้งๆ ที่ทหารนาซียืนยันว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเด็กๆ จะมุ่งแต่กวาดล้างกลุ่มต่อต้านเท่านั้น แต่นั่นคือลมปากแห่งการโกหก เพราะบาร์บีสั่งการจับกุมเด็กทั้ง 44 คนอายุระหว่าง 2 ขวบถึง 17 ปี โดยยังจับกุมผู้ใหญ่ที่ดูแลสถานที่แห่งนี้ไปด้วยอีก 7 คน
โชคยังดีที่มีเด็กบางคนหนีรอดด้วยการกระโดดจากหน้าต่างแล้วซ่อนตัว ขณะทหารเยอรมันพาเด็กๆ เหล่านี้ส่งไปรมแก๊สที่ค่ายกักกัน พยานคนหนึ่งเผยว่าขณะลำเลียงเด็กๆ ขึ้นรถบรรทุก เยาวชนที่กำลังจะชะตาขาดในอีกไม่นาน ได้ร่วมกันร้องเพลงปลุกใจฝรั่งเศสอย่างกึกก้อง
นับเป็นความกล้าหาญท่ามกลางความโหดเหี้ยม เด็กที่หนีรอดมีชีวิตเติบโตมาจนได้รับโอกาสเข้าฟังการไต่สวนความผิดของบาร์บีในชั้นศาล อีกหลายสิบปีต่อมา เขาเป็นตัวแทนของครอบครัวเพื่อนพ้องน้องพี่ผู้จากไป แม้จะกินเวลาแสนนาน แต่ความยุติธรรมก็คือความยุติธรรม แม้จะล่าช้าแต่เมื่อถึงวันชี้ชะตา อย่างน้อยโลกก็ไม่ได้โหดร้ายกับผู้จากไปขนาดนั้น
น่าเสียดายหัวใจเศร้าที่ความล่าช้านี้เกิดขึ้นเพราะมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกานี่เอง ที่ทำให้บาร์บีมีชีวิตรอดอย่างสบายๆ อีกหลายปีต่อมา
4
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด บาร์บีโดนจับกุมโดยกองทัพอังกฤษ แต่เขาหนีรอดมาได้ ณ จุดนี้ หน่วยข่าวกรองกองทัพบกของสหรัฐอเมริกาตัดสินใจให้บาร์บีเป็นผู้ให้ข้อมูลข่าวกรองเพื่อไล่ล่าเหล่านาซีระดับตัวเอ้ที่หลบหนีอยู่ ชี้ตัวพวกคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส สายลับเยอรมันตะวันออก และให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ในการทำสงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต
โดยอเมริกาไม่ได้ขอข้อมูลข่าวกรองฟรีๆ แต่เขาเลี้ยงบาร์บีไว้เป็นสาย จ่ายเงินให้เดือนละ 1,700 ดอลลาร์ฯ แม้ทางการฝรั่งเศสจะร้องขอให้อเมริกาส่งตัวบาร์บีมาให้ดำเนินคดีในฐานะอาชญากรสงคราม แต่แล้วอเมริกากับทำสิ่งที่เหลือเชื่อ เมื่อพวกเขาเห็นว่าบาร์บีหมดประโยชน์แล้ว แทนที่จะส่งตัวให้กับฝรั่งเศส กลับส่งตัวบาร์บีออกนอกประเทศหน้าตาเฉย
เหตุผลสำคัญที่อเมริกาไม่ส่งตัวบาร์บีคืนแก่ฝรั่งเศส นั่นก็เพราะพวกเขากำลังปฏิบัติการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นปฏิบัติการลับ ทำให้ไม่สามารถบอกกับทางการฝรั่งเศสได้ เพราะไม่แน่ใจว่าข้าราชการฝรั่งเศสจะมีพวกคอมมิวนิสต์แทรกซึมอยู่หรือไม่ ถ้าทะลึ่งส่งตัวบาร์บีคืนแก่ฝรั่งเศส ปฏิบัติการลับนี้คงถูกตีแผ่ สร้างความเสียหายต่อข่าวกรองอเมริกันได้ ดังนั้นจึงส่งตัวบาร์บีไปยังทวีปอเมริกาใต้ ดินแดนที่เหล่านาซีตัวเอ้ทั้งหลายหนีความผิดในยุโรปไปฟอกตัวเองกันเป็นจำนวนมาก
จอมโหดแห่งเมืองลียงคนนี้ได้รับหนังสือเดินทางปลอมจากนักบวชโครเอเชียในกรุงโรม ที่ทำเอกสารหลอกว่าบาร์บีเป็นเจ้าหน้าที่กาชาดสากลแถมยังช่วยขอวีซ่าประเทศโบลิเวียให้แก่ตัวเขา ภรรยาและลูกอีก 2 คน โดยเปลี่ยนชื่อบาร์บีเป็น เคลาส์ อัลต์แมน เดือนมีนาคม 1951 ครอบครัวของบาร์บีทั้งหมดเดินทางด้วยเรือจากเมืองเจนัว อิตาลีสู่โบลิเวีย
ขณะลี้ภัยซุกซ่อนตัวตนในดินแดนใหม่นี้ บาร์บีสร้างความสัมพันธ์กับเหล่านายพลซึ่งปกครองโบลิเวียด้วยระบอบเผด็จการทหาร โดยทำธุรกิจไม้บังหน้า ขณะกบดาน ว่ากันว่าตัวเขาได้เดินทางไปเที่ยวในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปโดยไม่มีใครสนใจ ในปี 1972 เขาถูกขับไล่จากชุมชนเยอรมันในโบลิเวีย หลังแสดงท่าทำความเคารพนาซีและพูดสดุดีฮิตเลอร์ในสถานทูตเยอรมันตะวันตก
บาร์บีไม่เคยสำนึกว่าตัวเองก่อเหตุร้ายแรงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้แต่น้อย เพราะเขายังยืนยันความเชื่อนาซีตลอดมาแม้ขณะกบดานหลบหนีในดินแดนห่างไกล เขาก็ยังเป็นสาวกศรัทธานาซีอย่างแท้จริง
ในช่วงระหว่างการกบดานนั้น ทางการฝรั่งเศสและเยอรมันตะวันตกหยุดตามหาตัวเขา แตกต่างจากอาชญากรนาซีคนอื่นๆ ที่ยังคงถูกไล่ล่าจับกุมอย่างต่อเนื่อง ในช่วงกบดานนั้นมีคนไปพบบาร์บี แล้วเผอิญค้นพบหลักฐานว่าชายคนนี้คือผู้อยู่เบื้องหลังการเอาตัวเด็ก 44 คนไปตาย ภาพของชายที่สั่งการในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับการยืนยันจากพยานว่าคือคนเดียวกันกับนักธุรกิจอัลต์แมนที่อาศัยอยู่ในโบลิเวีย
เมื่อหลักฐานได้รับการยืนยัน ทางการเยอรมันตะวันตกตัดสินใจรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ดีรัฐบาลทหารโบลิเวียปฏิเสธที่จะส่งตัวบาร์บี ช่วงนั้นเองตัวจอมโหดแห่งเมืองลียงยืนยันว่าสิ่งที่เขาทำนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ทหารตามปกติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เขาจึงมีชีวิตปกติสุขในดินแดนห่างไกลจากยุโรปซึ่งเขาได้ก่อกรรมทำเข็ญความผิดไว้เป็นอย่างมาก โดยเขาเคยพูดไว้ว่า “ผมเสียใจแทนพวกยิวแต่ละคนที่ไม่ได้โดนผมฆ่า”
อย่างไรก็ดีความยุติธรรมก็มาถึง เมื่อรัฐบาลทหารโบลิเวียตกกระป๋อง พลันที่โบลิเวียเป็นประชาธิปไตยมีรัฐบาลพลเรือน ในที่สุด ทางการได้แจ้งข้อหาว่าบาร์บีมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม นอกจากเสียค่าปรับอานแล้ว ยังถูกถือว่าเป็นคนต่างชาติไม่มีสิทธิ์อยู่ในประเทศและต้องถูกขับไล่ออกนอกประเทศ โดยมีเครื่องบินทหารของฝรั่งเศสมารอรับตัวเขาไปดำเนินคดี
5
ตอนที่บาร์บีถูกส่งตัวขึ้นไต่สวนในชั้นศาล เขาแก่ชรามากและมีโรครุมเร้ามากมาย ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อย ความผิดที่เขากระทำช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายคดีหมดอายุความไป แต่เพราะบาร์บีก่อเหตุไว้หลายกระทง จึงมีความผิดที่แจ้งข้อกล่าวหาได้เป็นจำนวนมาก สุดท้ายศาลมีคำสั่งให้จำคุกตลอดชีวิตชายคนนี้
น่าเสียดายว่าหากเขาถูกเนรเทศเร็วกว่านี้สักหน่อย โทษของบาร์บีอาจไม่ได้อยู่แค่จำคุกจนวันตาย แต่อาจถึงประหารชีวิตได้เลย แต่ในตอนนั้นทางการฝรั่งเศสได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี 1981 บาร์บีจึงไม่ถูกทำให้ตายตั้งแต่เนิ่นๆ แต่ต้องหมดสิ้นอิสรภาพ ถูกกักขังตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายในปี 1987 กว่าจะมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ได้ก็ต้องถึงปี 2002 เสียก่อน ซึ่งตอนนั้นบาร์บีจะอายุเฉียดๆ เลข 9 แล้ว
อย่างไรก็ดีชายคนนี้ได้เสียชีวิตไปก่อนแล้วในวันที่ 25 กันยายน 1991 ขณะรักษาตัวในโรงพยาบาลเรือนจำหลังถูกจองจำได้เพียง 4 ปี ปิดตำนานสุดอื้อฉาว โดยที่เขาไม่เคยแสดงความสำนึกผิดต่อสิ่งที่กระทำลงไปอดีตแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับผู้นำและเหล่าสมุนนาซีคนอื่นๆ ที่ไม่เคยกล่าวขอโทษต่อความตายของคนจำนวนมากเช่นกัน
สำหรับครอบครัวของบาร์บีนั้น ภรรยาของเขาเองเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งที่โบลิเวียก่อนที่เขาจะถูกเนรเทศออกไป ลูกชายคนโตตายด้วยอุบัติเหตุเครื่องร่อน ทิ้งภรรยาและลูก 3 คนไว้ ส่วนลูกผู้หญิงตัดสินใจใช้ชีวิตเงียบๆ ที่ประเทศออสเตรีย
นี่คือเรื่องราวสุดเลวร้าย สุดอื้อฉาวที่อเมริกาและฝรั่งเศสถูกตำหนิอย่างมากกับการไม่พยายามจะจับกุมเขาให้ได้เร็วกว่านี้ โดยเฉพาะอเมริกานั้นยิ่งโดนวิจารณ์หนักกับการชุบเลี้ยง และมีส่วนช่วยให้ชายคนนี้หลบหนีไปใช้ชีวิตสุขสบายได้หลายปี
ชีวิตของชายที่เชื่อว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง ไร้ซึ่งความเมตตา ไร้ซึ่งการมองคนให้เป็นคน เขายอมเป็นนาซีจนวันตายเพียงเพื่อจะได้รับการสาปแช่งจากทั่วทุกสารทิศในสิ่งที่เขาดำเนินการลงไป มันจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าใจอย่างมากและไม่น่าเชื่อว่าครั้งหนึ่งเราจะมีคนแบบนี้หายใจใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ
อ้างอิง
https://www.nytimes.com/1991/09/26/world/klaus-barbie-77-lyons-gestapo-chief.html?referrer=masthead
https://www.theguardian.com/world/2015/may/28/klaus-barbie-nazi-trial-lyons-1987
https://www.bbc.com/news/world-europe-45796063
http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/july/3/newsid_2492000/2492285.stm
Tags: Haunted History, Klaus Barbie, จอมโหดแห่งเมืองลียง, Lyon