จิบน้ำชายามบ่ายท่องโลกเจ้าชายอสูรจากนิทาน Beauty and The Beast

ดอกกุหลาบสีแดงสดบานสะพรั่งเป็นพื้นหลังในงานเลี้ยงน้ำชา คู่แม่-ลูกชุดน้ำชาอย่างมิสซิสพอตส์กับชิป ถ้วยน้ำชามีชีวิตถูกจังเรียงไว้ เตรียมเสิร์ฟน้ำชาให้เราได้ดื่มด่ำ ค็อกสเวิร์ธนาฬิกาหน้าตาเป็นมิตรกลายมาเป็นขนมหวานแสนน่ารัก รวมถึงชุดสีเหลืองของเบลล์ ก็กลายมาเป็นขนมหวานรอให้ลิ้มลองเช่นกัน 

เชฟยานนิส แยนส์เซนส์

ธีมงานเลี้ยงน้ำชาล่าสุดของโรงแรม 137 Pillars Suites & Residences มาพร้อมกับเทพนิยาย ‘โฉมงามกับเจ้าชายอสูร’  หรือ Beauty and the Beast นิทานเรื่องดังของดิสนีย์ ที่ถูกทำเป็นภาพยนต์ใหญ่ไปแล้ว ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าใครๆ ที่ชื่นชอบเรื่องนี้ คงรับรู้เรื่องราวของเบลล์และเจ้าชายอสูรเป็นอย่างดี และหนึ่งในนั้นคือเชฟยานนิส แยนส์เซนส์ เชฟชาวเบลเยี่ยมผู้ออกแบบและอยู่เบื้องหลังชุดน้ำชายามบ่ายแสนอร่อยเซ็ตนี้ เขาได้รับการจัดอันดับโดยนิตยสาร Dessert professional magazine ให้เป็นหนึ่งในสิบเชฟขนมอบของสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.2553 

บรรยากาศพาให้รู้สึกราวกับได้รับบัตรเชิญเข้ามาดื่มน้ำชายามบ่ายในปราสาทอันยิ่งใหญ่ของเจ้าชายรูปงามที่ต้องคำสาปให้กลายเป็นอสูร และต้องพบรักแท้ก่อนที่ดอกกุหลาบจะร่วงโรย ชุดน้ำชายามบ่ายนี้มีความพิเศษตรงที่เชฟยานนิส ได้นำเรื่องราวความรัก รวมถึงคาแรกเตอร์ของตัวละครต่างๆ เช่น ค็อกสเวิร์ธ มาจินตนาการ เรียบเรียงเรื่องราวและนำเสนอออกมาในรูปแบบของเชฟเอง กลายมาเป็นเซ็ตขนมหวานและของคาวหน้าตาสวยงาม เหมือนดั่งเทพนิยาย น่ารับประทานนานาชนิด 

สโคนแฮมชีสสูตรพิเศษ

ชุดน้ำชาที่นี่ มีชาให้เลือกด้วยกันหลากหลายรสชาติ โดยทางโรงแรมเลือกใช้ชาออร์แกนิกคุณภาพเยี่ยมจาก Monsoon Tea ซึ่งเป็นชาที่ได้รับการปลูกและเติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีชาสมุนไพรปราศจากคาเฟอีนที่มีให้เลือกสองชนิดระหว่างชาสมุนไพรที่ช่วยในเรื่องระบบการย่อยอาหาร  และชาสมุนไพรที่ช่วยในเรื่องการผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังมีชาสูตรพิเศษที่มีเฉพาะโรงแรม 137 Pillars Suites & Residences เพียงแห่งเดียวเท่านั้น และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับชุดน้ำชายามบ่ายก็คือสโคน เชฟยานนิสได้รังสรรค์สโคนแฮมชีสสูตรพิเศษ เคียงคู่มากับบัตเตอร์มิลค์สโคนรสชาติดั้งเดิม เสิร์ฟพร้อมคอทเตจครีม แยมแอปริคอตเสาวรสโฮมเมด และเนยถั่วนูเทลล่า

 The Black Forest

มาถึงจุดเริ่มต้นของการผจญภัย ระหว่างการเดินทางเข้าสู่ปราสาทของเจ้าชายอสูรด้วยเมนู ‘The Black Forest’ หรือป่าดำ ที่มีส่วนประกอบของดาร์กช็อกโกแลต Valrhona Tainori จากสาธารณรัฐโดมินิกัน เสิร์ฟพร้อมเชอร์รี และบรั่นดีเชอร์รี ในจานนี้ตกแต่งให้ความรู้สึกถึงความมืดมนต์ น่าสะพรึงกลัวของป่าดำก่อนจะเดินทางไปถึงตัวปราสาท 

เมนูของคาว

ต่อกันด้วยของคาวด้วยเมนูอย่าง Smoked Salmon แพนเค้กเนื้อนุ่มเสิร์ฟพร้อมแซลมอนรมควัน ครีม และคาเวียร์ ขนมปังหน้าแฮมปาตาเนกรา (Pata Negra) คือแฮมอันเลื่องชื่อจากประเทศสเปนเสิร์ฟมาพร้อมมะเขือเทศกงฟี ตามด้วย Escargot Croissant ครัวซองต์หอยทากผ่าครึ่งโรยหน้าด้วยผักร็อกเก็ตและเห็ดทรัฟเฟิล ซึ่งแอบกระซิบว่าเมนูนี้ได้รับความนิยมและเสียงชื่นชอบจากหลายๆ ท่านที่ได้ลิ้มลอง ปิดท้ายด้วยเมนูของคาวอย่างขนมปังบริยอชสอดไส้ล็อบสเตอร์และเพิ่มความหอมด้วยใบทาร์รากอน 

เมนูของหวาน

ต่อกันด้วยเมนูของหวานที่มีเรื่องราวความรักและคาแรกเตอร์ของตัวละครต่างๆ เตรียมให้เราได้สนุกสนาน เริ่มด้วยเมนู Macadamia Tart ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากค็อกสเวิร์ธ หัวหน้าพ่อบ้านที่ถูกสาปให้กลายเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะ ตามด้วย Bella Mango – Vanilla & Passion Caramel Rosette ทาร์ตวานิลลาและเสาวรสคาราเมลที่มาพร้อมกับมะม่วงที่ถูกม้วนเป็นดอกกุหลาบอย่างสวยงาม ได้แรงบันดาลใจมาจากชุดสีเหลืองของเบลล์ ทาร์ตเลมอนเมอร์แรงเป็นตัวแทนของลูมิแอร์ คนรับใช้ของเจ้าชายอสูรที่ถูกสาปให้กลายเป็นเชิงเทียน และมาการองวานิลลาสีขาวเป็นตัวแทนของพลูเมตท์ คนรับใช้ประจำปราสาท ที่ถูกสาปให้กลายเป็นไม้ปัดฝุ่นขนนก 

การเดินทางก็มาถึงตอนจบที่สำคัญและโรแมนติกของเรื่อง เมนูที่มีหน้าตาของความสุขแบบ Happy Ending ที่โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่าง Rocher Red Fruits & Rose แรงบันดาลใจจากฉากที่กุหลาบสีแดงสดกลีบสุดท้ายร่วงโรย เจ้าชายที่หมดหวังในการคลายคำสาปของตน เบลล์ก็ได้บอกรัก และอสูรจึงคืนร่างมาเป็นเจ้าชายรูปงามอีกครั้ง เชฟได้นำเสนอฉากนี้ผ่านโรเชอร์ช็อกโกแลตกลิ่นกุหลาบ ที่จะได้กลิ่นและรสสัมผัสของความหอมหวานจากไส้ด้านในซึ่งทำมาจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ถึง 4 ชนิด  ถือเป็นเมนูปิดท้ายที่หอมหวานและประทับใจเหมือนดังเรื่องราวในเทพนิยายสุดโรแมนติก