“Time Waits for No One – เวลาไม่เคยรอใคร” อาจนับว่าเป็นประโยคอมตะประโยคหนึ่งที่สามารถหยิบยกมาใช้ได้กับในหลายๆ สถานการณ์ เวลามีแต่เดินหน้าไปเรื่อยๆ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ย่ำอยู่กับที่

เชื่อว่าในชีวิตแต่ละคนคงต้องมีสักครั้งหนึ่งที่นึกอยากย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องผิดพลาด ถ้าวันนั้นไม่เป็นอย่างนั้น วันนี้ก็คงไม่เป็นอย่างนี้ แต่แน่นอนว่าถึงคร่ำครวญสักเท่าไรเราก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

เรื่องราวของการย้อนเวลาหรือเร่งเวลายังเป็นพล็อตที่น่าสนใจอยู่เสมอ มันจึงถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนอในหลากหลายรูปแบบ แม้กระทั่งกับภาพยนตร์เองก็มีหลายประเภท ทั้งดรามา โรแมนติก แฟนตาซี ไซไฟ และแอ็กชัน และนี่คือภาพยนตร์ทุกประเภททั้งหมดที่ว่ามา 5 เรื่อง ที่จะพาเราท่องเวลาไปในอดีตและรุดหน้าไปสู่อนาคต

The Girl Who Leapt Through Time – กระโดดจั้มพ์ทะลุข้ามเวลา (2006)

The Girl Who Leapt Through Time คือแอนิเมชันที่มีเค้าโครงเรื่องมาจากนวนิยายเรื่อง Toki o Kakeru Shōjo ของยาซุทากะ ซึซุย ซึ่งเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1967

เนื้อหาฉบับแอนิเมชันจะแตกต่างจากนวนิยายตรงที่ตัวเอกในเรื่องที่สามารถย้อนเวลาได้เป็นคนละคนกัน ในนวนิยายคือคาสุโกะ โยชิยามะ น้าสาวของมาโกโตะ แต่ในอนิเมชัน คนที่มีพลังนั้นคือมาโกโตะ คนโนะ เด็กสาวจอมซุ่มซ่าม

ในวันธรรมดาวันหนึ่ง มาโกโตะ คนโนะ เด็กสาวมัธยมปลายจอมเปิ่นที่มักมีเรื่องให้เจ็บตัวและเจ็บใจอยู่เสมอ ดันบังเอิญไปเจอเหตุการณ์ในห้องวิทยาศาสตร์ของโรงเรียน ซึ่งก็ผ่านมาโดยไม่ได้ความสำคัญอะไร

หลังจากนั้นไม่นานในระหว่างทางกลับบ้าน มาโกโตะกำลังปั่นจักรยานลงเนินที่ข้างหน้าเป็นทางรถไฟ แต่เบรกของรถจักรยานดันใช้การไม่ได้ ตัวเธอจึงพุ่งเข้าไปที่ทางรถไฟอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง พร้อมๆ กับรถไฟที่กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว มาโกโตะควรจะจากโลกไปตลอดกาล แต่กลับพบว่าตนเองรอดชีวิตและกลับมาอยู่ในเหตุการณ์ก่อนหน้าการเกิดอุบัติเหตุ

เธอนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคาสุโกะ น้าสาวนักโบราณคดี น้าบอกกับเธอว่า เวลาไม่ได้ย้อนกลับ แต่เป็นเธอต่างหากที่ย้อนกลับไปในเวลา จากนั้นมามาโกโตะก็เริ่มกระโดดข้ามเวลากลับไปกลับมา เธอแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่เป็นดั่งหวัง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการกลับไปกินพุดดิ้งที่น้องสาวขโมยไป กลับไปโรงคาราโอเกะซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือการหลบเลี่ยงคำสารภาพรักจากเพื่อนสนิท

มาโกโตะหารู้ไม่ว่าทุกครั้งที่กลับไปแก้ไขบางอย่าง มันมีผู้ได้รับผลกระทบแทนเธอเสมอ ผลลัพธ์อันไม่คาดคิดที่ลืมเลือน และมันจะกลับมาทำร้ายเธอเมื่อสมควรแก่เวลา

Click – คลิก รีโมทรักข้ามเวลา (2006)

ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ของผู้กำกับแฟรงก์ โคราซี มักมีอดัม แซนด์เลอร์ ปรากฏตัวอยู่ในนั้น ไม่เว้นแม้แต่กับเรื่อง Click ที่อดัมต้องมาสวมบทสถาปนิกบ้างาน อดัม แซนด์เลอร์เป็นนักแสดงตลกชาวอเมริกัน เขามีผลงานการแสดงอย่างต่อเนื่องและหลากหลาย ภาพยนตร์ที่เขามีส่วนร่วมรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40 เรื่อง และเขายังเป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งความอารมณ์ดีคนหนึ่ง

Click เล่าเรื่องของไมเคิล นิวแมน ชายหนุ่มที่แต่งงานกับสาวสวยชื่อดอนน่า จนทั้งคู่มีพยานรักด้วยกันสองคน ความรักเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี และครอบครัวที่ดูเหมือนจะอบอุ่น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น เพราะไมเคิลโหมงานหนักจนแทบไม่มีเวลาให้ภรรยาและลูก ไมเคิลอยากให้ครบครัวสุขสบาย มีความเป็นอยู่ที่ดี และไม่โดนใครดูถูก เขาจึงทำงานหามรุ่งหามค่ำ บ่อยๆ ที่กลับมาก็ต้องมาทะเลาะกับภรรยา มีเรื่องให้หงุดหงิดใส่ลูก จนพาลไปโมโหใส่รีโมทก็มี

จนวันหนึ่งไมเคิลก็ได้รับรีโมทสารพัดนึกมา มันไม่เพียงช่วยควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ยังควบคุมชีวิตเขาอีกด้วย รีโมทนี้สามารถอำนวยความสะดวกให้เขาได้ทุกอย่าง ทั้งยังเร่งเวลาให้เดินไปข้างหน้าได้ ย้อนเวลากลับสู่อดีตก็ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้มันอย่างเพลิดเพลิน

ในข้อดีนั้นย่อมมีข้อเสีย หลังจากใช้รีโมทอย่างสนุกมือ หลายๆ เรื่องก็มากเกินกว่าจะควบคุมได้ ไมเคิลไม่ได้มีชีวิตจริงๆ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับวันเวลาตรงหน้า ไม่มีความกล้าจะเผชิญกับปัญหา และนี่คือบทเรียนที่เขาจะได้รับ

Midnight in Paris – คืนบ่มรักที่ปารีส (2011)

Midnight in Paris ผลงานจากผู้กำกับวัยเก๋า วูดดี้ อัลเลน ที่ปัจจุบันอายุกว่า 82 ปีแล้ว แต่เขายังคงผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง หากนับแค่ผลงานภาพยนตร์ที่เขาเป็นผู้กำกับ รวมๆ แล้วก็เกือบ 50 เรื่อง

ความหอมหวานของปารีสนั้นเชื้อเชิญให้ใครหลายคนต้องการไปสัมผัส ด้วยวัฒนธรรมที่มีมายาวนานและสิ่งต่างๆ ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากสถานที่แห่งนี้ ปารีสได้กลายเป็นเมืองโรแมนติกอันน่าหลงใหลและโดดเด่นด้วยงานศิลปะ

อยู่มาวันหนึ่ง กิล ชายหนุ่มที่กำลังจะแต่งงานก็ได้มีโอกาสไปเยือนปารีส พร้อมๆ กับคู่หมั้นของเขาและครอบครัวของเธอ กิลเป็นคนมีหน้าที่การงานที่ดี เขาประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนบทภาพยนตร์ แต่ลึกๆ แล้วเขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียนนิยาย ส่วนคู่หมั้นของเขา ไอเนซ เธอเป็นสาวสังคมผู้รักการออกงาน อยากมีชีวิตที่หรูหราและฝันจะมีบ้านที่มาลิบู

การมาเที่ยวปารีสหนนี้ทำให้ความต่างของทั้งคู่ยิ่งชัดเจนขึ้น กิลเริ่มทบทวนถึงทัศนคติเหล่านี้ของพวกเขามากกว่าก่อน แล้วในค่ำคืนหนึ่งที่เขาออกไปเดินเล่นเพียงลำพัง กิลก็ต้องพบกับเรื่องอันไม่คาดฝัน ความมหัศจรรย์ที่เขาต้องตกตะลึง กิลได้ย้อนกลับไปสู่อดีต ในตอนที่ปารีสกำลังเฟื่องฟูสุดๆ เขาได้พบกับคนดังมากมาย เช่น เอฟ. สกอตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์, ปาโบล ปีกัสโซ, ปอล โกแก็ง และศิลปินคนอื่นๆ

กิลประทับใจกับช่วงเวลาที่เกิดขึ้นมาก เขาพบว่าอดีตคือสิ่งสวยงามที่สุด สุกสว่างที่สุด และหอมหวลที่สุด เขาต้องการจะอยู่ที่นั่นตลอดไป แต่แน่นอนนั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ เขาต้องหาสิ่งที่ใช่สำหรับตัวเองในปัจจุบันให้พบ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีความสุขอย่างแท้จริง

About Time – ย้อนเวลาให้เธอ (ปิ๊ง) รัก (2013)

About Time เป็นผลงานจากผู้กำกับริชาร์ด เคอร์ติส ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่หรือเทศกาลแห่งความรักก็ต้องมีใครสักคนนึกถึงผลงานของเขา นั่นก็คือภาพยนตร์รักโรแมนติกอย่าง Notting Hill (1999) และ Love Actually (2003) สำหรับทั้งสองเรื่องนี้เมื่อดูจบคุณอาจจะได้รอยยิ้มและความอบอุ่นในหัวใจ แต่ About Time จะให้มากกว่านั้น คุณอาจจะมีน้ำตา และใคร่ครวญถึงความรักในแบบที่ต่างออกไป… ความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็ยังอยากมีรักนั้น

ในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 21 ปี ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของทิมก็เปลี่ยนไป เมื่อพ่อของเขาเล่าความลับของครอบครัวให้ฟังว่าลูกชายในตระกูลทุกคนจะสามารถเดินทางย้อนเวลาได้ แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะสามารถกลับไปได้แค่ในอดีตของตัวเองที่จดจำได้เท่านั้น

ทิมเดินทางจากบ้านเกิดสู่ลอนดอนเพื่อฝึกฝนการเป็นทนายความ ที่นี่เขาบังเอิญได้พบกับแมรี่ ผู้หญิงที่ทำให้ทิมตกหลุมรัก เขาใช้ความสามารถพิเศษของตัวเองเพื่อเอาชนะใจแมรี่ จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ ทั้งคู่ตกลงคบกัน ช่วงเวลาที่มีต่อจากนั้นมันช่างวิเศษ วันเวลาของเขากับแมรี่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไม่นานจากนั้นพวกเขาก็แต่งงานกัน วันแต่งงานที่ไม่สมบูรณ์แบบ ทั้งฝนตก หลังคาพัง ทุกคนต่างเปียกโชก ถึงอย่างนั้นแมรี่ก็บอกว่านั่นดีแล้ว

ชีวิตคู่ของพวกเขาราบรื่นดี มันอาจจะมีสะดุดบ้าง แต่ก็ไม่หนักหนาสาหัส การย้อนเวลาอาจแก้ไขได้ในบางสิ่ง แต่กับบางเรื่องแม้แต่เวลาก็ไม่สามารถยื้อหรือเปลี่ยนแปลงได้

พ่อได้ย้ำเตือนสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งกับทิม เวลาเป็นสิ่งมีค่า ความทรงจำเป็นสิ่งล้ำค่า และครอบครัวเป็นสิ่งที่ดีที่สุด จงอยู่กับปัจจุบันเพื่อก้าวไปข้างหน้า และดูเหมือนการย้อนเวลาได้ ก็อาจไม่ใช่หนทางแห่งการใช้ชีวิตให้ดีที่สุด

Edge of Tomorrow – ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร (2014)

ภาพยนตร์ Edge of Tomorrow กำกับโดยดั๊ก ไลแมน ผู้กำกับที่เราน่าจะรู้กันดีจากภาพยนตร์เรื่อง The Bourne Identity (2002), Mr. & Mrs. Smith (2005) และ Jumper (2008)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากไลต์โนเวลเรื่อง All You Need is Kill ของ ฮิโระชิ ซะกุระซะกะ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการนำไปสร้างเป็นฉบับมังงะ

เมื่อโลกถูกรุกรานด้วยมนุษย์ต่างดาวที่อยู่รวมกลุ่มกันแบบรังผึ้งนามว่ามิมิค พวกมันโจมตีโลกจนบ้านเมืองเริ่มพังทะลายไปเป็นแถบๆ และมนุษย์หลายชีวิตต้องล้มตาย ดังนั้นมนุษย์ที่เหลือรอดอยู่จึงต้องสร้างกองทัพเพื่อหาทางเอาตัวรอด และหมายมั่นว่าจะชนะมันให้จงได้

วันหนึ่งพันตรีวิลเลียม เคจ ก็ถูกส่งไปเป็นทหารภาคสนาม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาประจำการอยู่หน่วยประชาสัมพันธ์ของกองทัพ และไม่เคยมีประสบการณ์ภาคสนามมาก่อน แต่ในเมื่อเขาเลือกไม่ได้ เคจต้องลงสนามจริงเพื่อต่อสู้และหวังว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา

แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น เคจต่อสู้กับมิมิค เขาฆ่ามันได้ด้วยระเบิด จนเลือดมิมิคสาดใส่เขา แต่แรงระเบิดนั้นก็โดนเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงตายไปพร้อมๆ กับมิมิคตัวนั้น ในขณะที่ได้ตายไปแล้ว อยู่ๆ เคจก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ย้อนเวลามาตื่นในเช้าวันที่ถูกส่งตัวมายังภาคสนาม

เขารู้ชะตากรรมของตัวเอง รวมถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องสู้แค่ตาย ตายเพื่อจะตื่น เคจวนเวียนอยู่กับสถานการณ์แบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา จนเขาเองค่อยๆ มีฝีมือในการต่อสู้มากขึ้น เคจจะหลุดจากวังวนเวลาที่เวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือไม่ ฝีมือที่พัมนาขึ้นจะทำให้เขาเอาชนะกองทัพมิมิคได้หรือเปล่า

Tags: , , ,