แม้เป็นคนที่ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตส่วนตัวและภาพยนตร์เท่าไร แต่เรื่องราวเกี่ยวกับ สแตนลีย์ คูบริก นั้นคงมีให้เราพูดถึงได้ไม่รู้จบ คูบริกสร้างภาพยนตร์ไปทั้งหมด 13 เรื่องตลอดการทำงาน 48 ปี และหลายเรื่องก็ยังคงถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่เสมอๆ

สแตนลีย์ คูบริก เกิดในแมนฮัตตัน ครอบครัวของเขาเป็นผู้อพยพชาวยิว แต่ฐานะทางครอบครัวค่อนข้างดี เพราะพ่อของเขาเป็นแพทย์ คูบริกถือเป็นเด็กฉลาด แม้ผลการเรียนไม่ดีเท่าไร เขาเริ่มให้ความสนใจในวรรณกรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งได้รับนิสัยรักการอ่านมาจากแม่ เขาอ่านทุกอย่าง ทั้งตำนานกรีกและโรมัน เทพนิยายของพี่น้องตระกูลกริมม์ ชื่นชอบผลงานของฟรานซ์ คาฟคา และ เอช. พี. เลิฟคราฟท์

ในวัย 13 ปี คูบริกได้รับกล้องถ่ายรูปเป็นของขวัญวันเกิดจากพ่อ เขาหลงใหลมันในทันที และกลายมาเป็นช่างภาพตัวยงในเวลาต่อมา เขาเริ่มทำงานเป็นช่างภาพนิตยสาร Look ในวัย 17 ปี แต่ลึกๆ แล้วเขาก็มีความสนใจภาพยนตร์อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือทำ ซึ่งในที่สุดวันหนึ่งเขาก็ก้าวเท้าเข้ามาสู่วงการภาพยนตร์ โดยเริ่มต้นจากการทำสารคดีสั้น ก่อนจะขยับขยายมาทำภาพยนตร์เรื่องแรก นั่นคือ Fear and Desire (1953) ความสำเร็จไม่ได้เป็นของเขาในทันที แต่มันค่อยเป็นค่อยไปและโหมกระพือขึ้นจนกลายเป็นตำนานชั้นครูไปอีกคน

Spartacus (1960)

Spartacus ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ซึ่งถูกตีพิมพ์ในปี 1951 เนื้อหามีพื้นฐานมาจากชีวิตของสปาตาคัส ทาสผู้กลายเป็นตำนานนักสู้ กลาดิเอเตอร์ที่ไม่ยอมแพ้ให้กับอำนาจของใคร โดยเรื่องนี้คูบริกได้นักเขียนบทมือทองมาอย่างดัลตัน ทรัมโบ มาร่วมงานด้วย

ภาพยนตร์ใช้เวลาถ่ายทำ 167 วัน และใช้งบประมาณไปทั้งหมด 12 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินมากทีเดียวในเวลานั้น เมื่อเทียบกับการสร้างภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ทั้งยังใช้จำนวนคนในการร่วมแสดงเป็นจำนวนมาก อาทิ ฉากสู้รบระหว่างกองทัพทหารโรมันกับข้าทาส คูบริกเกณฑ์ทหารมากว่า 8,800 คน เพื่อถ่ายทำ กองทัพทหารโรมันจะยืนเรียงกันเป็นขบวนอยู่ในเฟรมๆ เดียว ขณะที่ข้าทาสจะอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนอีกฝั่งหนึ่ง โดยรวมแล้วมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้ 50,000 คน

จากทาสคนหนึ่ง เขากลายมาเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร? เรื่องราวของสปาตาคัสเกิดขึ้นราว 1 ศตวรรษก่อนคริสตกาล ยุคโรมันยังคงเฟื่องฟู ผู้ที่ร่ำรวยก็ร่ำรวย ผู้ที่ยากจนก็ยากจน สังคมมีการแบ่งแยกชนชั้นกันอย่างชัดเจน ในตอนนั้นเกมกีฬาที่สนุกและได้รับความนิยมมากที่สุดคือ การประลองฝีมือ โดยคนที่ลงเข้าแข่งขันก็คือพวกทาสหรือนักโทษ พวกเขาจะถูกส่งลงสู่สนามโคลอสเซียม มีคนนับพันนับหมื่นคอยส่งเสียงเชียร์และสาปส่งให้พวกเขาฆ่ากัน

เมื่อเกิดมาเป็นลูกทาส วงจรชีวิตก็จะเป็นทาสอยู่อย่างนั้นจากรุ่นสู่รุ่น สปาตาคัสเองก็เป็นเด็กที่เกิดมาโดยถูกตีตราว่าเป็นทาสโดยอัตโนมัติ เขาทำงานหนัก กรำทั้งแดด ลมฝน และถูกทำโทษอย่างสาสมเมื่อยื่นมือเข้าไปช่วยทาสคนอื่นๆ ในที่สุดเขาก็ถูกขายต่อให้กับพ่อค้าทาสรายหนึ่ง แล้วถูกส่งไปยังคาปัว ที่นี่เขาต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นกลาดิเอเตอร์ แต่การต่อสู้ที่แท้จริงกลับเริ่มต้นหลังจากนั้น เมื่อสปาตาคัสกับกลุ่มทาสลุกฮือขึ้นมาปลดแอกตัวเอง อิสรภาพที่ใฝ่ฝันกำลังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อ สปาตาคัสค่อยๆ รวมกำลังพลของตัวเองได้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามรายทางที่เขาเดินทางไป เพราะหากไม่ลุกขึ้นสู้ก็มีค่าเท่ากับตายแล้วเท่านั้น!

2001: A Space Odyssey (1968)

2001: A Space Odyssey ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องสั้น The Sentinel (1948) ของอาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก ซึ่งตัวอาร์เธอร์เองก็มาร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย เขายังกล่าวเสริมไว้ด้วยว่า “หากคุณเข้าใจ ‘2001’ อย่างสมบูรณ์ เราก็ล้มเหลว เพราะเราต้องการตั้งคำถามมากกว่าการได้คำตอบ”

ภาพยนตร์ประกอบด้วยบทสนทนาที่ไม่มากไม่มาย 25 นาทีแรกเราจะตกอยู่ภายใต้โลกอันไม่คุ้นเคย มันปราศจากบทสนทนาจวบจนใครคนหนึ่งเปิดปากในวินาทีที่ 25:38 รวมถึง 23 นาที่สุดท้ายเองก็ไม่มีบทสนทนาเช่นกัน

เรื่องราวเริ่มต้นหลายล้านปีก่อน มนุษย์วานรยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอาศัยการอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่ก็มีปัญหาในการแย่งถิ่นฐานกันบ้าง แล้วกลุ่มๆ หนึ่งก็ถูกขับไล่ออกมาโดยคู่แข่ง แต่อาจจะเรียกว่าโชคดีในโชคร้ายก็คงได้ พวกเขาพบกับศิลาลึกลับที่มอบสติปัญญาให้ และดูเหมือนว่าทำให้ค้นพบวิธีที่จะเอาชนะคู่แข่งได้ในที่สุด

จากนั้นต่อมาอีกหลายล้านปีในโลกอนาคต องค์กรนาซาค้นพบศิลาสีดำ ‘โมโนลิธ’ ซึ่งเชื่อว่าเป็นวัตถุโบราณที่สำคัญมาก และอาจส่งผลต่อวิวัฒนาการของมนุษย์ พวกเขาพยายามศึกษามันอย่างละเอียด จนรู้ว่ามีศิลาอีกก้อนอยู่บนดวงจันทร์ แต่เมื่อเดินทางไปถึง พวกเขาก็ได้รู้ว่านี่ไม่ใช่ศิลาแท่งสุดท้าย แต่ยังมีอีกแท่งที่ดาวพฤหัสบดี ภารกิจของนักบินอวกาศทั้งสามคนกับคอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ HAL จึงต้องเดินทางไปสู่ดาวพฤหัสอันแสนไกล ซ้ำยังต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้มากมาย ท่ามกลางความเวิ้งว้างของจักรวาล ช่างเป็นการเดินทางไกลที่ไม่รู้ว่าจะได้สิ่งใดกลับคืนมา…

A Clockwork Orange (1971)

A Clockwork Orange สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ผลงานของแอนโธนี เบอร์เจสส์ ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1962 เนื้อหากล่าวถึงความรุนแรงและเรื่องเพศอย่างไม่ปิดบัง โดยบางส่วนมีที่มาจากชีวิตจริงของตัวนักเขียน ตัวต้นฉบับนั้นแอนโธนีจะใช้ศัพท์แสลงแปลกประหลาดอยู่หลาดอย่าง ซึ่งเขาเรียกมันว่า Nadsat เป็นการผสมคำศัพท์รัสเซียเข้ากับคำสแลงแบบคอคนี่ (สำเนียงชนชั้นแรงงาน) เพื่อให้ได้คำใหม่ในแบบของเขา อันสร้างความแตกต่างอย่างทรงพลังให้กับเรื่องราว

ในเรื่องนี้มัลคอล์ม แมคโดเวลล์ รับบทเป็นอเล็กซ์ เด็กวัยรุ่นอายุ 15 ปี แต่ความเป็นจริงมัลคอล์มอายุ 27 ปีแล้วในขณะถ่ายทำ เขาเลือกให้อเล็กซ์พูดสำเนียงทางเหนือของอังกฤษในแบบของตน แทนที่จะเป็นสำเนียงแบบคอคนี่ เพราะมัลคอล์มรู้สึกว่าสำเนียงที่นุ่มนวลของเขาจะสร้างความแตกต่างที่น่าสนใจให้กับบุคลิกของอเล็กซ์ และช่วยให้เขาโดดเด่นท่ามกลางเพื่อนๆ ที่รายล้อม

A Clockwork Orange เล่าผ่านอนาคตอันมืดหม่นของอังกฤษ โดยมีตัวละครสำคัญได้แก่ อเล็กซ์ ผู้นำแก๊ง droog ซึ่งจะประกอบไปด้วยเพื่อนๆ อีกสามคน พวกเขาใช้ชีวิตแบบไร้แก่นสารไปวันๆ และตั้งตนเป็นนักเลงโตที่สร้างความเดือดร้อนให้ใครก็ตามที่พวกเขาพบเจอ ทั้งปล้น ทำร้ายร่างกาย บุกรุกสถานที่ และข่มขืน

อเล็กซ์จึงถูกจับกุมและตั้งข้อหา เขาต้องโทษจำคุกนาน 14 ปี แต่หลังจากผ่านไปสองปี เขาก็เสนอตัวเข้ารับการรักษาด้วยวิธี Ludovico Technique สิ่งที่อเล็กซ์ต้องเจอก็คือการถูกจับมัดกับเก้าอี้ ดวงตาถูกตรึงไว้ให้เปิดออก และบังคับให้ดูหนังที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ซึ่งมันถูกเปิดพร้อมกับ Symphony No. 9 เพลงนี้จึงกลายเป็นตัวแทนความทุกข์ทรมานของเขา เมื่ออเล็กซ์ถูกปล่อยตัว โลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาไม่ต่างอะไรจากหุ่นไขลานที่ใช้ชีวิตได้อย่างไม่อิสระ แต่ไม่แน่ว่าความอัดอั้นนี่อาจระเบิดออกมาในวันใดวันหนึ่ง และมันอาจรุนแรงขึ้นกว่าเดิม!

The Shining (1980)

The Shining ดัดแปลงมาจากนวนิยายสยองขวัญของนักเขียนชื่อดัง สตีเฟ่น คิง หนังสือตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1977 โดยเนื้อหานั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจมาอีกต่อหนึ่งจากนวนิยายเรื่อง The Veldt ของ เรย์ แบรดบิวรี

ก่อนที่จะได้นักแสดงหลักเป็นแจ็ก นิโคลสัน ความจริงสแตนลีย์ คูบริก มีมองๆ นักแสดงไว้อีกสองคนคือ โรเบิร์ต เดอ นีโร และโรบิน วิลเลียมส์ แต่สำหรับการมารับบทแจ็ก ทอร์เรนซ์ แล้วนั้น คูบริกคิดว่าทั้งสองคนยังไม่เหมาะกับบทบาทนี้เท่าไร เพราะยังดูไม่โรคจิตพอ หลังจากที่เขาได้ชมการแสดงของทั้งสองคนผ่านเรื่อง Taxi Driver (1976) และ Mork & Mindy (1978)

ฉากในตำนานอย่างการจามขวานพังประตูนั้นใช้ประตูไปกว่า 60 บานภายใน 3 วัน ซึ่งในตอนแรกทีมงานได้เตรียมประตูที่พังง่ายๆ ไว้ เพราะไม่คิดว่าแจ็ก นิโคลสัน จะพังมันลงอย่างง่ายดาย โดยก่อนหน้านั้นแจ็กเคยเป็นอาสาสมัครดับเพลิงมาก่อน เขาจึงใช้ขวานได้คล่องแคล่ว จนทีมงานต้องทำประตูให้แข็งแรงกว่าเดิม เพื่อให้ได้ภาพอย่างที่ต้องการ

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อครอบครัวทอร์เรนซ์เดินทางไปยังโรงแรมโอเวอร์ลุค โรงแรมที่ทั้งเดียวดายและเปลี่ยวเหงาในฤดูหนาว เมื่อหิมะมาถึงโรงแรมก็จะปิดทำการ เพราะทางเข้าจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แต่ครอบครัวทอร์เรนซ์ก็เลือกจะมาที่นี่ เพื่อรับงานเฝ้าโรงแรม ซึ่งแจ็ก ทอร์เรนซ์ หัวหน้าครอบครัวก็จะได้มีเวลาเขียนงานออกมาด้วย แจ็กเป็นนักเขียนที่มีประวัติติดเหล้าและทำร้ายลูก ดังนั้น เขาจึงหวังว่าการมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันที่นี่จะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างเขากับภรรยาและลูกได้

ไม่ว่าจะด้วยเหตุที่โรงแรมนี้เคยเกิดคดีฆาตกรรมมาก่อน หรือความเก็บกดในตัวแจ็ก หรือวิญญาณสยองออกอาละวาด เหตุการณ์ร้ายๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับครอบครัวของพวกเขา แจ็กเปลี่ยนไปทีละน้อย ทั้งได้ยินเสียงแปลกๆ เจอบรรดาผู้คนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง คลุ้มคลั่งจนต้องการจะเอาชีวิตลูกชายตัวเอง เวนดี้จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องลูก และหาทางเอาตัวรอดจากโรงแรมนี้ไปให้ได้

Full Metal Jacket (1987)

อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีพื้นฐานมาจากนวนิยาย ว่าด้วยเรื่องราวของสงครามเวียดนาม โดยครั้งนี้คูบริกหยิบยกผลงานเรื่อง The Short-Timers ของกุสตาฟ แฮสฟอร์ด มาดัดแปลง

นักแสดงนำ วินเซนต์ ดิโอโนฟริโอ เพิ่มน้ำหนักตัวเองมากถึง 70 ปอนด์ สำหรับบทบาทของตัวเอง ซึ่ง ณ ขณะนั้นเขาได้ทำลายสถิติที่โรเบิร์ต เดอ นีโร ทำไว้ (60 ปอนด์) ในเรื่อง Raging Bull (1980) วินเซนต์ใช้เวลา 7 เดือนในการเพิ่มน้ำหนัก และใช้เวลา 9 เดือนในการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักให้กลับมาเท่าเดิม

ในภาพยนตร์มีฉากหนึ่งที่ถูกตัดออก เพราะภาพที่ออกมานั้นอาจจะโหดร้ายเกินไป มันเป็นฉากที่กลุ่มทหารกำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ แต่เนื่องจากมีช็อตหนึ่งเปิดเผยว่าพวกเขากำลังเตะหัวมนุษย์ไม่ใช่ลูกฟุตบอล มันจึงถูกหั่นทิ้งไป

ภาพยนตร์จะถูกแบ่งออกเป็นสองช่วงอย่างชัดเจน ช่วงแรกจะเป็นการฝึกสุดโหดในหน่วยนาวิกโยธิน โดยเล่าผ่านสองตัวละครหลักคือ พลหทารโจ๊กเกอร์ และพลทหารไพล์ การเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหาร ซึ่งถูกควบคุมทุกอย่างทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรทุกคนก็ต้องทนรับแรงกดดันและปฏิบัติตัวตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด จิตวิญญาณและคุณค่าที่เคยมีจะค่อยๆ สูญเสียไป จนในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจวาดหวังไว้

ส่วนที่สอง เป็นการเดินหน้าเข้าสู่สมรภูมิรบ เหล่าทหารทั้งหลายมุ่งหน้าสู่สงครามเวียดนาม ความโหดร้ายที่แท้จริงกำลังจะย่างกรายเข้ามา ทุกคนต้องจับอาวุธเพื่อความอยู่รอด ถ้าไม่ฆ่าคนอื่น คนอื่นก็จะฆ่าเรา แม้แต่แกะก็ยังต้องกลายเป็นสิงโต เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะตายอยู่กลางห่ากระสุนที่พุ่งเข้ามา

Tags: ,