ฉลองวันพ่อและเติมความอุ่นในใจด้วยภาพยนตร์ 5 เรื่อง ที่สะท้อนความสัมพันธ์หลากรูปแบบระหว่างพ่อลูกใน The List ประจำสัปดาห์นี้

To Kill a Mockingbird (1962)

งานเขียนระดับคลาสสิกของ ฮาร์เปอร์ ลี ที่ได้รับรางวัลพูลิตเชอร์ในปี 1961 และดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในเวลาให้หลังเพียงหนึ่งปี ซึ่งภาพยนตร์ก็ประสบความสำเร็จไปไม่แพ้หนังสือ แม้ว่าแกนหลักของเรื่องจะมุ่งเน้นไปที่ความยุติธรรมและปัญหาทางสังคม แต่อีกสิ่งที่โดดเด่นไม่ต่างกันก็คือเรื่องของครอบครัว การเลี้ยงดูและการเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกๆ

หลังจากที่ เกรเกอรี เป็ก ได้รับการเสนอให้รับบท แอตติคัส ฟินช์ เขาก็หานิยายต้นฉบับมาอ่านและอ่านจบลงอย่างรวดเร็วในคราวเดียว สิ่งที่เขาทำเป็นอย่างแรกหลังจากนั้นคือโทรหาผู้กำกับฯ เพื่อบอกว่าเขายินดีจะเล่นหนังเรื่องนี้ ด้วยฝีมือและองค์ประกอบหลายๆ อย่างจึงส่งผลให้เขาคว้ารางวัลออสการ์นักแสดงนำฝ่ายชาย

ภาพยนตร์เกือบทั้งเรื่องเล่าผ่านมุมมองของ สเกาท์ ในวัยผู้ใหญ่ ย้อนไปยังวัยไร้เดียงสาที่เธอเพียงอายุ 9 ปี และเจม พี่ชายอายุ 13 ปี ทั้งสองเป็นลูกของทนายความพ่อม่าย แอตติคัส ฟินช์ ที่มีบ้านอยู่ในรัฐแอละแบมา แม้ทั้งสองจะสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก แต่แอตติคัสก็พยายามสอนให้ลูกๆ รู้จักโลกกว้าง ให้อิสระในชีวิตอย่างมีขอบเขตโดยมี คาพูลเนีย แม่บ้านผิวสีคอยช่วยดูแลอีกแรงหนึ่ง

แอตติคัสเป็นทนายความที่เชื่อว่าทุกคนควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเป็นธรรม แต่มันกลับทำให้เขาได้รับผลกระทบในหน้าที่การงาน เมื่อเขาว่าความให้กับ ทอม โรบินสัน ชายผิวสีที่ทุกคนเชื่อว่ากระทำชำเราหญิงผิวขาว นั่นเป็นจุดที่ส่งผลให้แอตติคัสกลายเป็นแกะดำในหมู่คนผิวขาวทันที เขาทั้งโดนข่มขู่ เหยียดหยาม ลูกๆ เองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย คำล้อเลียนและคำสบประมาทต่างๆ นานาถูกสาดใส่ แต่แอตติคัสก็อดทนยึดมั่นในความถูกต้อง คอยเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก และสั่งสอนให้ทั้งสองได้รู้จักกับความเท่าเทียม สเกาท์และเจมจึงมีพ่อเป็นต้นแบบ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแค่ไหน เขาก็ไม่เคยทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูกเลยสักครั้งเดียว

 Kramer vs. Kramer (1979)

ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน ซึ่งเขียนบทและกำกับฯ โดย โรเบิร์ต เบนตัน ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยทำรายได้ทั้งหมด 106 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 8 ล้านเหรียญ และติดอันดับ 1 บ็อกซ์ออฟฟิศ ปี 1979 ในสหรัฐอเมริกา

นักแสดงนำสองคนที่รับบทเชือดเฉือนกันคือ ดัสติน ฮอฟแมน  และเมอรีล สตรีป ในช่วงนั้นดัสตินกำลังอยู่ในระหว่างการหย่าร้างกับภรรยาคนแรก ในการถ่ายทำเขาจึงมีส่วนร่วมในบางช่วงเวลาหรือบางบทสนทนา ดังนั้นโรเบิร์ตจึงเสนอเครดิตบทภาพยนตร์ให้ดัสตินด้วย แต่เขาปฏิเสธ มีฉากหนึ่งที่ดัสตินขว้างแก้วไวน์ใส่ผนัง ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้บอกกับเมอรีลไว้ก่อน แค่บอกกับทีมงานไว้ไม่กี่คน ปฏิกิริยาของเมอรีลที่เราเห็นจึงเป็นเรื่องจริง แต่เธอก็สามารถควบคุมสติและอารมณ์ของตัวละครไว้ได้จนผู้กำกับสั่งคัท

ปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวเครเมอร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่ถ้าใครไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้หรอกว่า การทำร้ายคนที่เรารักนั้นทำให้ตัวเราเองต้องไปเจ็บปวดไปด้วยเพียงใด โจแอนนา แม่ของลูกที่หมดอาลัยตายอยากในชีวิตคู่ และแทบไม่เห็นคุณค่าของตัวเองอีกแล้วในความสัมพันธ์นี้ จนนำมาสู่การตัดสินใจจากไปในวันที่เท็ดกำลังจะแจ้งข่าวดีเรื่องงาน แต่เขากลับได้เจอข่าวร้ายแทน เพระาโจแอนนาตัดสินใจที่จะไม่อยู่ร่วมยินดีเรื่องใดในชีวิตกับเขาอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาเท็ดทำงานหนักมาก ทำให้ทั้งสองห่างเหินกันและแทบไม่เคยได้ทำความเข้าใจกันเลยว่า ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างต้องการอะไรในชีวิต

ชีวิตของเท็ดจึงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาต้องดูแลบิลลี่ ลูกชายวัยหกขวบเพียงลำพัง พร้อมประคับประคองหน้าที่การงานไปพร้อมๆ กัน มันยากสาหัสในช่วงแรก ไหนจะอาหารเช้า ไหนจะการไปส่งที่โรงเรียน ไหนจะคำถามของลูกว่าแม่หายไปไหน แต่เขาก็ค้นพบถึงบทบาทของการเป็นพ่อและแม่ไปพร้อมๆ กัน เมื่อเวลาผ่านไป โจแอนนาก็หวนกลับมา พร้อมกับข้อเรียกร้องในการขอสิทธิ์เลี้ยงดูลูก ทั้งคู่จึงต้องไปต่อสู้กันบนชั้นศาล ขุดคุ้ยความทรงจำในชีวิตคู่มาคัดง้างกัน จนน่าแปลกใจว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาทำอะไรอยู่ ชีวิตคู่ที่พังครืนลงมาเป็นเพราะอะไร และบางทีอาจจะไม่ต้องบอกหรอกว่าใครคือคนผิด และแม้ชีวิตคู่จะล้มเหลว ความเป็นสามีภรรยาจะขาดจากกัน แต่ความเป็นพ่อ’ (และแม่) ยังคงอยู่เสมอ

Mrs. Doubtfire (1993)

ภาพยนตร์ดราม่าคอมเมดี้ที่ทำรายได้ทะลุ 441 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 25 ล้านเหรียญเรื่องนี้ สร้างมาจากหนังสือ Alias Madame Doubtfire ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1987 หนังสือมีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวที่พ่อแม่หย่าร้างกัน แต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและเรื่องหรรษา

เดิมทีภาพยนตร์จะมีเนื้อหามืดหม่นกว่านี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการหย่าร้างอาจส่งผลต่อเด็กได้ แต่ในที่สุดก็มีการปรับเปลี่ยนให้ภาพยนตร์มีความอบอุ่นมากขึ้น การรับบทนำของ โรบิน วิลเลียมส์ ในเรื่องนี้ เขาได้แรงบันดาลใจในสำเนียงของ Mrs. Doubtfire จากบิล ฟอร์ไซทห์ ผู้กำกับฯ ชาวสก็อตที่เพิ่งทำงานร่วมกันในเรื่อง Being Human (1994) นอกจากนี้เขายังได้แรงบันดาลใจในการพากย์เสียงจาก มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ และจูเลีย ชายด์ อีกด้วย

แดเนียล เป็นนักแสดงตกอับที่อาศัยอยู่ในซานฟรานซิสโก เขาเป็นคนร่าเริง แต่ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายเท่าไรนัก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขารักลูกทั้งสามคนของเขามากขแต่ด้วยความรักและไม่คิดหน้าคิดหลัง เขาก็ก่อเรื่องขึ้นจนภรรยาฟ้องหย่า และเธอเป็นคนได้รับสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกๆ แต่เพียงผู้เดียว การดูแลร่วมกันจะเกิดขึ้นก็ต่อเรื่องแดเนียลมีงานที่มั่นคงและบ้านที่เหมาะสมภายในสามเดือน

ขณะที่แดเนียลพยายามปรับปรุงตัวเองเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เขาก็รู้ว่ามิแรนดา ภรรยาเก่ากำลังมองหาแม่บ้าน เมื่อนำมาบวกลบกับความคิดถึงลูกแล้ว แดเนียลจึงปลอมตัวเป็นคุณนายเดาบ์ทไฟร์ไปสมัครงาน ทั้งหน้าตา บุคลิก และท่าทาง (ยกเว้นรูปร่าง) ทำให้มิแรนดาหลงกลและรับเขาเข้าทำงาน ทำให้แดเนียลได้มีโอกาสกลับมาใกล้ชิดลูกๆ อีกครั้ง และค่อยๆ เรียนรู้ที่จะทำหน้าที่ของพ่อแม้เด็กๆ อาจรู้สึกแปลกๆ กับแม่บ้านคนนี้บ้าง แต่พวกเขาก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี ส่วนที่เหลือก็คือเรื่องของความลับจากการแปลงตัว และการปรับความเข้าใจระหว่างคนสองคนที่เคยรักกันว่า ทั้งสองจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อลูกๆ

Big Daddy (1999)

หากเอ่ยถึงภาพยนตร์ที่ อดัม แซนด์เลอร์ นำแสดง ก็คงไม่พ้นเรื่องของความรัก ความอบอุ่น อารมณ์ขันอันยียวน ที่ประสบความสำเร็จในช่วงต้น ก่อนที่การแสดงของเขาจะตกต่ำลงพร้อมเสียงวิจารณ์ด้านลบ จนเมื่อการเขากลับมาอีกครั้งใน Uncut Gems (2019) ที่ทุกเสียงต่างบอกว่านี่เป็นการแสดงที่ดีที่สุดของเขา

Big Daddy ถือเป็นผลงานในอดีตที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเรื่องหนึ่งของอดัม เพราะทำเงินในประเทศไปกว่า 163 ล้านเหรียญ ในขณะที่รายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 234 ล้านเหรียญ

เรื่องหวานปนขมเรื่องนี้เกิดขึ้นที่มหานครนิวยอร์ก ซอนนี โคแฟกส์ เป็นชายที่อายุย่างสามสิบปีแล้ว แต่ยังทำตัวลอยชายไปวันๆ แม้จะจบการศึกษาด้านกฎหมาย แต่ซอนนีกลับใช้ชีวิตด้วยเงินชดเชยจากอุบัติเหตุ และเลือกทำงานเป็นคนเก็บค่าผ่านทางสัปดาห์ละวันเท่านั้น การเป็นคนไร้จุดหมายของเขาเป็นเหตุทำให้วาเนสซา แฟนสาวขู่ขอเลิกรา

ซอนนีเริ่มรู้ตัวบ้างแล้วว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ เหตุการณ์ชุลมุนเริ่มต้นขึ้นในวันที่เควิน รูมเมทของเขาย้ายออกไป จู่ๆ จูเลียน เด็กชายคนหนึ่งโผล่มาและบอกว่าเขาเป็นลูกของเควิน แต่เควินปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็น ซอนนีเลยรับเลี้ยงดูจูเลียนไว้ชั่วคราว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาจะใช้จูเลียนเป็นบทพิสูจน์ต่อวาเนสซาว่าเขาสามารถรับผิดชอบบางสิ่งบางอย่างได้ ก่อนที่เขาจะพบว่าการเลี้ยงดูเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย ซอนนีสอนจูเลียนใช้ชีวิตอย่างผิดๆ ถูกๆ เหมือนเป็นการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันว่าอะไรใช่หรืออะไรไม่ใช่ นานวันผ่านไปจากความเป็นคนแปลกหน้าก็กลายเป็นความผูกพัน และยากเย็นยิ่งที่ซอนนีต้องยอมรับความจริงว่า ถึงอย่างไรจูเลียนก็ไม่ใช่ลูกชายของเขา และถึงวันหนึ่งเด็กคนนี้ก็ต้องจากเขาไป

Big Fish (2003)

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ แดเนียล วอลเลซ ในตอนต้นของโปรเจกต์นี้ผู้อำนวยการสร้างเล็งไว้ว่าจะให้ สตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นผู้กำกับฯ และได้เริ่มหารือรายละเอียดบางส่วน สปีลเบิร์กถึงขั้นเลือกไว้แล้วด้วยว่าจะให้ แจ็ค นิโคลสัน มารับบทเป็นเอ็ดเวิร์ด บลูม แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ได้สานต่อเรื่องนี้ แต่ไปลงมือกำกับ Catch Me If You Can (2002) แทน

ไม่นานหลังจากนั้น ทิม เบอร์ตัน ก็เซ็นสัญญากำกับฯ ภาพยนตร์เรื่อง Big Fish แทน เบอร์ตันไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่ของเขามากนัก แต่การเสียชีวิตของพ่อในเดือนตุลาคม ปี 2000 และแม่ในเดือนมีนาคม ปี 2002 ส่งผลกระทบต่อเขาอย่างลึกซึ้ง เบอร์ต้นจึงรู้สึกกำกับฯ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างลื่นไหล เต็มไปด้วยอารมณ์ของเรื่องเล่าที่ผสานกันออกมาอย่างลงตัว

มันเป็นเรื่องราวของสองพ่อลูกที่อาจไม่ได้รักใคร่กลมเกลียวกันนัก เพราะว่าวิลล์มองว่าพ่อของเขาเป็นคนชอบฝันเฟื่องและไม่ค่อยอยู่บนโลกของความจริง สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ เอ็ดเวิร์ด บลูม คือชายที่ชอบเล่าเรื่องตัวเองในวัยหนุ่ม ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนฟังดูเกินจริง หากพูดในแง่บวกก็คือมีจินตนาการสุดแสนจะบรรเจิด การได้ฟังเรื่องเล่าเหล่านี้ในวัยเด็กก็ดูจะเป็นเรื่องสนุกดี แต่เมื่อวิลล์ยิ่งโตเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงหรือน่าเชื่อถือ สองพ่อลูกจึงเริ่มห่างเหินจากกัน

ในขณะที่เอ็ดเวิร์ดกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง เขาก็ยังไม่เคยหยุดเล่าถึงสิ่งต่างๆ ให้วิลล์ฟัง ไม่ว่าการได้เห็นความตายของตัวเองในดวงตาแม่มด การเจริญเติบโตที่รวดเร็วเกินไปจนต้องนอนเตียงถึงสามปี การที่เขาได้พบกับคาร์ล มนุษย์ยักษ์ที่บุกมาอาละวาดในเมือง และเรื่องราวอีกสารพัน ทั้งหมดทำให้วิลล์ไม่เข้าใจเลยว่าพ่อของเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่ จนกระทั่งเขาเริ่มออกตามหาความจริง วิลล์ถึงได้รู้ว่านิทานฝันเฟื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พ่อพบพานด้วยตัวเอง แท้แล้วพ่อของเขาเป็นคนแบบไหน และมีหัวในที่ยิ่งใหญ่เพียงใด

การค้นพบของวิลล์ในช่วงสุดท้ายของชีวิตพ่อ ก่อนที่ลมหายใจจะหมดไป พ่อลูกคู่นี้จึงช่วยกันทำให้เรื่องเล่าเรื่องสุดท้ายกลายเป็นความจริง

Tags: , , , , , , ,