วันนี้ (7 สิงหาคม 2567) ที่พรรคก้าวไกล พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า แถลงข่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลเป็นเอกฉันท์ 9-0 ว่า เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ผู้มีอำนาจในประเทศนี้ได้ตัดสินใจว่าพรรคก้าวไกลและการคงอยู่ของพรรคก้าวไกล เป็นสิ่งที่สั่นคลอนต่อการคงอยู่ของอำนาจพวกเขา

“วันนี้พวกเขาได้ตัดสินใจแล้วและมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วว่า จะไม่ปล่อยให้ภัยคุกคามต่ออำนาจของพวกเขาคงอยู่ นั่นคือสิ่งที่เราได้เห็นจากคำวินิจฉัยในการยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมือง แต่นั่นคือคำวินิจฉัยและคำตัดสินใจของผู้มีอำนาจในประเทศนี้ ที่พวกเขาคิดว่า มีอำนาจสูงสุดในประเทศ

“พวกเขาไม่รู้ตัวว่า ผู้มีอำนาจในเรื่องนี้ไม่ใช่พวกเขา พวกเขาไม่ได้รู้ตัวว่า ผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศนี้คือประชาชน วันนี้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ให้พรรคก้าวไกลไปต่อ แต่สิ่งที่พวกเรากำลังรอฟังและกำลังน้อมรับฟัง คือคำวินิจฉัยจากประชาชนวันนี้อยากฟังว่า ประชาชนตัดสินใจอย่างไร ประชาชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง มีความหวัง และความฝัน แบบเดียวกับอนาคตใหม่ แบบเดียวกับก้าวไกล มากเท่าไรในประเทศนี้ วันนี้พวกเราทุกคนกำลังน้อมรับฟังเสียงจากประชาชนผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ กำลังน้อมรับคำวินิจฉัยจากประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศนี้

“อยากให้ทุกท่านเปล่งเสียงออกมาอย่างดัง อย่างชัด ในฐานะผู้มีอำนาจตัดสินใจ อยากฟังว่าพวกท่านอยากให้พวกเราไปต่อหรือไม่ หากอยากให้พวกเราไปต่อ แสดงออกซึ่งความต้องการของท่าน ว่าวันนี้ เรายังก้าวไปด้วยกัน มีความหวังและความฝันแบบเดียวกัน”

นอกจากนี้ พรรณิการ์ ยังตอบคำถามสื่อมวลชน กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อาจใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาว่า ส.ส.พรรคก้าวไกล 44 คน ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า ส.ส.ทุกคนทราบดีว่า ในการทำงานการเมือง ราคาที่ต้องจ่ายคืออะไร และคดีจากนี้คงเป็นสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าต่อไป

ขณะเดียวกัน พรรณิการ์ยังระบุอีกว่า สิ่งที่เตรียมพร้อมจากนี้ ไม่ใช่การระมัดระวังในเรื่องคดีใด แต่คือการทำงานรับใช้ประชาชนเดินหน้าต่อไปให้เร็วที่สุด ผู้มีอำนาจต้องการอะไรก็อย่าไปให้เขา

“เขาอยากให้พรรคก้าวไกลโดนยุบ กรรมการบริหารถูกตัดสิทธิแล้วทำให้การทำงานของเราสะดุดลง คนเลือกก้าวไกลน้อยลง ใส่ร้ายป้ายสีพวกเราว่าล้มเจ้า อยากให้พวกเราได้รับความนิยมน้อยลง เขาอยากได้อะไร ง่ายที่สุดคืออย่าไปให้พวกเขา อยากให้พวกเรากลัว อย่าไปใกล้ชิดกับกรรมการบริหารที่ถูกตัดสิทธิ เดี๋ยวพรรคใหม่จะถูกยุบอีกหรือเปล่า ก็อย่าไปกลัว เวลาสู้กันกับผู้มีอำนาจที่หน้าด้านและจนตรอก ก็ต้องสู้กันแบบนี้”

Tags: ,