ผู้หญิงคนนี้เดินทางไปมาหมดทุกทวีปบนแผนที่โลกแล้ว เธอร้องเพลงบนเรือสำราญ The world ของกลุ่มมหาเศรษฐีที่ซื้อคอนโดลอยน้ำไว้เดินทางรอบโลก เรือลำนี้ถือเป็นเรือลำเดียวในโลกที่ออกเดินทางต่อเนื่องแบบไม่เคยหยุดมา 17 ปีแล้ว     

เธอเป็นลูกเรือและเป็นนักร้องบนเรือสำราญอีกลำที่ชื่อ Celebrity Reflection บนเรือลำนี้มีโรงละครที่รวมไว้ด้วยนักร้องนักดนตรีและนักมายากลที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ

เธอเป็นนักร้องผู้หญิงไทยคนเดียวในคาสิโน ลาสเวกัส ที่จนวันนี้ วงดนตรีที่ชื่อ Premier ซี่งมีเธอเป็นนักร้องนำ อันประกอบด้วยตัวเธอ สามี และเพื่อนนักดนตรีชาวอเมริกัน จัดเป็นวงดนตรียอดนิยมที่ถูกจ้างงานมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในคาสิโน ลาสเวกัส

ใครก็อยากมีโอกาสได้เที่ยวรอบโลก โดยเฉพาะถ้างานที่ทำนั้นเป็นทั้งสิ่งที่รัก ทำแล้วมีความสุข ขณะเดียวกันมันก็ยังเป็นใบเบิกทางให้เราต้องออกเดินทางรอบโลกแถมมีคนจ่ายเงินค่าจ้างให้อีกต่างหาก แหม ชีวิตช่างประเสริฐ แต่อาชีพที่ว่านั้นมันมีอยู่จริงเหรอ และมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?

การเดินทางที่เกิดขึ้นทั้งหมดของ ซอ-รสริน พลับทอง สติกนีย์ ในเส้นทางสายดนตรีกับอาชีพของการเป็นนักร้องเริ่มจากการมีครอบครัวที่พ่อแม่รับราชการ พอถึงวันหยุดที เพื่อนๆ ของพ่อแม่ก็จะมาตั้งวงเล่นดนตรีด้วยกันที่บ้านโดยมีลูกสาวสามคนซึ่งรวมทั้งซอนั่งอยู่ในวงนั้นด้วย เด็กสาวทั้งสาม (เปียโน ซอ เบส) โตมาในบ้านที่มีพ่อเป็นคนผลักดันในเรื่องของการร้องเพลงและเล่นดนตรี กระทั่งต่อมาจึงกลายเป็นชื่อของวง ‘เดอะซิส’ ในสังกัดอาร์เอสโปรโมชั่นเมื่อหลายปีก่อน จนวันหนึ่งที่สัญญาซึ่งเซ็นไว้กับค่ายเพลงกำลังจะหมดลง พอค่ายเพลงทวงถามว่าจะต่อสัญญาไหม ซอเองมีคำตอบให้กับตัวเองในตอนนั้นทันที 

“ไม่เอาแล้ว ฉันอยู่กับการเป็นนักร้องในสังกัดที่มีตารางชีวิตมาครอบฉันไว้และใช้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์มานานพอแล้ว ความโด่งดังในชื่อเสียง การออกทัวร์คอนเสิร์ตหรือออกเทปออกแผ่นเพลงซีดี มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการแล้ว ฉันต้องการอิสรภาพ”

  จากวันนั้น พี่น้องสามคนแยกย้ายไปเดินบนเส้นทางของตัวเอง ขณะที่ซอตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Work and Travel ซึ่งเป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ไปทำงานหาประสบการณ์ในสหรัฐอเมริกาได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งเหตุผลที่ซอเลือกสมัครเข้าโครงการนี้ในช่วงเวลานั้นก็ด้วยเหตุผลเดียวเลย เธออยากเติบโต อยากดูแลตัวเองได้

  “ตอนเด็กๆ พ่อจะเลี้ยงเราสามคนออกแนวปรัชญาหน่อย และพยายามจะผลักดันให้พวกเราเล่นดนตรี ให้ไปประกวดร้องเพลง พ่อจะเป็นคนแข็งๆ สายโหด แต่แม่จะอ่อนเป็นน้ำ และความเป็นน้ำของแม่นี่ล่ะที่ทำให้เรารู้สึกถึงการใช้ชีวิตแบบปกติอย่างเด็กทั่วไปบ้างที่ได้เที่ยวได้เล่น เลยกลายเป็นว่าความรักของแม่มันเป็นเหมือนท่อน้ำหล่อเลี้ยงให้กับเราพี่น้องสามคนที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนของโลกก็ตาม ยิ่งโดยเฉพาะตัวซอเองที่เดินทางด้วยเรื่องของงานอยู่ตลอด ในเวลาที่เรามีปัญหาชีวิตในช่วงระหว่างทางเกิดขึ้น เราก็จะมีท่อน้ำนี้นี่ล่ะที่คอยประคองไม่ให้เราหลงทาง 

แต่ในอีกด้าน บางทีความรักของแม่มันก็มีบ้างที่ over protective ไปหน่อย สมัยก่อนนี่แม่เลี้ยงเราแบบไข่ในหินเลยนะ จำได้ว่าตอนเรียนภาพยนตร์ต้องออกกองถ่าย แม่ก็จะไปนอนรอ คือแม่เป็นประเภทที่ถ้าแม่ทำอะไรให้ได้ในโลกนี้แม่จะทำแทนให้หมด จนวันนึงเรารู้สึกตัวเองว่า เฮ้ย ไม่ได้แล้วล่ะ เราต้องหักดิบแม่ ไม่งั้นเราจะไม่รู้จักโต เป็นลูกแหง่ ไม่ทันคน ตอนนั้นพอตกลงใจว่าจะไม่เซ็นสัญญากับค่ายเพลงต่อก็เลยไป Work and Travel ที่อเมริกา ซึ่งจุดนั่นล่ะที่มันทำให้เราเริ่มมีสกิลในเรื่องของการใช้สัญชาติญาณการเอาตัวรอด จนพอกลับไทย คนในครอบครัวก็จะทักว่าเราดูเปลี่ยนไป ซึ่งสำหรับเราในตอนนั้น ความเปลี่ยนไม่ใช่เรื่องของนิสัยใจคอแต่ความเปลี่ยนมันเกิดจากการที่เรามีโอกาสได้หยิบด้านแข็งของตัวเองออกมาใช้ในการดำเนินชีวิต ซึ่งจะว่าไปพาร์ตที่เราแข็งๆ มันก็มาจากพ่อเหมือนกันนะ”

หลังกลับจากอเมริกา ซอมีโอกาสไปเป็นนักร้องเพลงแจ๊ซตามโรงแรมระดับไฮเฮนด์ในเมืองไทยทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด จนวันหนึ่งเธอได้เจอกับ Rick (ริค) สามีชาวอเมริกัน ซึ่งริคเป็นนักกีตาร์เล่นเพลงแนวบลูส์และฟังก์ ด้วยรูปแบบชีวิตความเป็นนักดนตรีของริคเอง เขาเดินเข้าออกเล่นดนตรีตามเรือสำราญและโรงแรมห้าดาวในประเทศต่างๆ มาแล้วทั่วโลก มากกว่าใช้เวลาอยู่บ้านตัวเองเสียอีก ริครักเมืองไทยมาก ประเทศไทยคือบ้านหลังที่สองของเขา เมื่อทั้งสองคบหากันจริงจังและพบว่าการคบกันแบบ long distance มันไม่เวิร์กเลยในความสัมพันธ์ ซอกับริคเลยตัดสินใจทำ Duo Band ด้วยกันในชื่อของ Rick x Zoe Duo

  “เราสองคนทำเพลงขึ้นมา 10 เพลงเอาไว้เล่นตามงานแต่งงานและงานโรงแรมที่ริคมีสัญญาอยู่ ซึ่งระหว่างที่ไปเล่นตามที่ต่างๆ ก็จะมีพวกนายหน้าหานักร้องมาคอยส่องเราหลายเจ้าเลยล่ะ จนซอเองได้เซ็นสัญญากับนายหน้าของมาเก๊า ซึ่งสัญญานี้ถือเป็น international contract สัญญาแรกที่ซอได้มา เพราะตัวริคเอง ก่อนจะมาเจอซอ เขาเซ็นสัญญากับนายหน้ามาเป็นสิบๆ เจ้าแล้ว งานริคเยอะมาก แต่ปัญหาคือ contract ของมาเก๊า เขาอยากจ้างซอคนเดียว ซึ่งซอก็ไม่ยอม เพราะตอนนั้นซอไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว ซอกับริคเป็นวงเดียว เราเป็นวงดูโอ จนต่อรองไปมา เขาเลยยอมจ้างทั้งสองคนแต่ให้แยกกันเล่นสองที่ เช่นเวลาที่ซอไปร้องเพลงที่โรงแรมบันยันทรีมาเก๊า ซอจะร้องกับนักเปียโนชาวฟิลิปปินส์ ขณะที่ในเวลาเดียวกัน ริคก็จะเล่นอยู่ที่บาร์เหล้า Macallan ซึ่งเป็นบาร์ซิการ์ จนพอเซ็ตสุดท้ายที่ซอกับริคจะได้เล่นด้วยกันที่บาร์ซิการ์ ซอก็ต้องวิ่งจากบันยันทรีในชุดเดรสกับรองเท้าส้นสูงเพื่อไปที่บาร์ซิการ์นั่นให้ทัน ซึ่งซอมีเวลาวิ่งแค่สิบนาทีเท่านั้น คือตึกมันอยู่ในละแวกเดียวกัน”

ซอทำให้ฉันนึกถึงซินเดอเรลล่า แต่เป็นซินเดอเรลล่าในชุดเซ็กซี่ที่แต่งหน้าจัด ผมตีกระบังฟูฟ่อง และการวิ่งของเธอในรองเท้าส้นสูงก็คงจะเป็นช่วงเวลาสิบนาทีที่ดูทุกลักทุเลมาก ภายหลังการเซ็นสัญญากับนายหน้ามาเก๊า ซอกับริคก็ได้สัญญาว่าจ้างงานมาอีก 5 สัญญา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือโรงแรมและร้านอาหารหรูในประเทศบาห์เรน ซอว่าบาห์เรนจัดเป็นประเทศที่อันตรายสำหรับการใช้ชีวิต เวลาออกไปเดินตามถนนหนทางเธอจะต้องสวมเสื้อผ้ามิดชิดตั้งแต่ตัวหัวจรดเท้า 

คำติดปากที่ซอใช้บ่อยมากในเวลาที่เล่นดนตรีที่นั่นคือคำว่าฮาบีบี้ ซึ่งแปลว่าที่รัก เธอจะชอบใช้คำนี้เล่นกับคนดู ต่อจากสัญญาของบาห์เรน ก็ตามมาด้วยการเซ็นสัญญากับนายหน้าจากมัลดีฟ กระทั่งมาถึงการร้องเพลงบนเรือสำราญครั้งแรกของเธอซึ่งมันไม่ใช่เรือสำราญธรรมดาแต่เป็นเรือสำราญส่วนตัวของมหาเศรษฐีที่มีห้องพักอยู่บนเรือจำนวน 150 ห้อง ให้อารมณ์คล้ายๆ กับห้องชุดในคอนโด แต่ต่างกันตรงที่มันคอนโดลอยน้ำที่มีไว้เดินทางรอบโลก! เรือลำนี้ประกอบด้วยลูกเรือจำนวน 250 คน มีวงดนตรี 2 วง ส่วนนักร้องนักดนตรีที่จะขึ้นมาเล่นบนเรือลำนี้ได้นั้นจะต้องเล่นเพลงแนวแจ๊ซระดับเทพเท่านั้น แต่ด้วยความเก๋าในฝีมือกีตาร์ของริคที่ถนัดแนวเพลงฟังก์และร็อคแอนด์โรลบวกด้วยน้ำเสียงและลีลาการร้องเพลงร็อคของซอ ที่บางจังหวะ เธอถึงขั้นคลานเลื้อยขึ้นไปร้องบนแกรนด์เปียโน ทำเอาผู้โดยสารถึงกับติดอกติดใจกันใหญ่ จึงทำให้วง Rick x Zoe Duo กลายเป็นวงดนตรีเดียวที่เรือสำราญส่วนตัวลำนี้ยอมให้เล่นเพลงร็อกแอนด์โรลได้

The World เรือสำราญลำเดียวในโลกที่ออกเดินทางรอบโลกในมหาสมุทรต่อเนื่องมาแล้ว 17 ปีโดยไม่มีวันหยุด

  เรือลำนี้มันพิเศษมาก Itinerary ของมันจะออกมาสามปีล่วงหน้า อย่างปีใหม่ปีหน้า เรือจะไปหยุดที่แอนตาร์กติกา ซึ่งความโชคดีของเราในการทำงานบนเรือลำนี้คือแขกเอ็นดูเรามาก ลงมาดูกันทุกคืน ประสบความสำเร็จสุดๆ คนดูเองก็ตื่นเต้นกับเราว่า เฮ้ย นี่เธอเป็นคนไทยเหรอ แล้วเธอมาร้องเพลงอยู่ตรงนี้ได้ยังไง พวกเขาดูจะรักในความอ่อนน้อมซึ่งเป็นมารยาทแบบไทยๆ ของเรา วงดูโอของเรากลายเป็น Most Requested ทำให้ช่วงนั้นเราต้องกลับไปเล่นที่เรือลำนี้เป็นประจำ ปีละสามรอบ ซึ่งจริงๆ เขาอยากให้เล่นประจำไปตลอดเลย แต่เราทำแบบนั้นมันไม่ได้ เพราะช่วงนั้นเราสองคนก็มีสัญญากับที่มัลดีฟและอีกหลายๆ ที่ จนห้าปีต่อมาเราก็ได้กลับไปผูกขาดกับเรือลำนี้โดยเรามีสัญญาที่ต้องเล่นบนเรือ The World ปีละสองครั้ง”

จากเรือ The world ซอและสามีเดินทางตัดสลับไปเล่นดนตรียังประเทศต่างๆ บนพื้นดินบ้างเป็นระยะ ซึ่งริคในวัย 49 เอง ใช้ชีวิตเป็นนักเดินทางและนักดนตรีแบบนี้มา 23 ปีแล้ว จึงมาถึงจุดที่เขารู้สึกอยากเล่นดนตรีอยู่กับที่นิ่งๆ บ้าง เขานึกอยากกลับไปเล่นดนตรีที่บ้านซึ่งอยู่ในทาโคม่า (Tacoma) หมู่บ้านชนบทเล็กๆ แห่งนึงใกล้กับเมืองซีแอตเทิล แต่ด้วยความที่ทาโคม่าเป็นหมู่บ้านในป่าที่มีขนาดเล็กมากๆ อาชีพการเป็นนักร้องนักดนตรีที่นั่นเลยดูจะไม่เวิร์คสำหรับทั้งคู่สักเท่าไหร่ รายจ่ายประจำวันเองก็เริ่มมาถึงจุดที่น่าเป็นห่วง ในช่วงเวลานั้นทั้งคู่เลยมองหางานอื่นๆ มาเสริม โดยริคใช้เวลาว่างในการขับอูเบอร์ ส่วนซอไปทำงานถือไม้กระบองติดไฟนีออน เป็น Security Guard ตามเทศกาลคอนเสิร์ต!

  “คนเราเวลาไม่มี มันก็ต้องยอมทุกอย่างล่ะ ยอมเอาหัวโขนความเป็นนักร้องโรงแรมห้าดาว หัวโขนของความเป็นศิลปินออกไปให้หมด ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาของเรา”

ความฝันครั้งใหม่สู่เรือสำราญลำที่สอง Celebrity Reflection กับโรงละครบนเรือที่รวมไว้ด้วยสุดยอดนักร้องนักมายากลระดับปรมาจารย์

ลังใช้ชีวิตอยู่ในทาโคม่าไปได้สักพัก มีคนแนะนำให้ซอกับริคไปเล่นดนตรีในบาร์บนเรือสำราญอีกลำ ซึ่งคราวนี้มันคือเรือสำราญ Celebrity Reflection ที่บรรจุผู้โดยสารได้คราวละสองถึงสามพันคน ซึ่งการเซ็นสัญญาครั้งนี้เป็นสัญญาระยะยาวห้าเดือนโดยซอและริคจะต้องเล่นดนตรี 7 วันไม่มีวันหยุด ใครก็ตามที่จะขึ้นไปทำงานบนเรือลำนี้จะต้องฝึกทักษะของการเป็นกะลาสี ผ่านบททดสอบของการกระโดดน้ำที่ความสูง 5 เมตร การฝึกใช้อุปกรณ์ดับเพลิง การช่วยชีวิตคน ฯลฯ 

ซึ่งความแจ็กพ็อตของซอคือเธอได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าฝ่ายอพยพ มีหน้าที่สอนวิธีอพยพผู้โดยสารให้กับลูกเรือเพื่อใช้ในช่วงเวลาคับขัน และความรับผิดชอบหลักของตัวเธอเองคือการขนย้ายผู้โดยสารทั้งขาที่จะเดินออกจากเรือไปเที่ยวตามท่าเรือต่างๆ ในขณะที่เรือจอดพักและต้องคอยดูแลขนย้ายผู้โดยสารในช่วงขากลับขึ้นมาบนเรือให้ครบตามจำนวนด้วย แรกๆ ซอก็ทำหน้าที่แบบเก้ๆ กังๆ หน้าตาเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ ในใจแอบคิด ‘ฉันไม่ทำได้ไหม’ เพราะเกิดมาชีวิตนี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาทำงานอะไรแบบนี้ จนพอทำไปบ่อยๆ เข้า ซอก็ใช้ความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ของเธอผสมเข้าไปในการปฏิบัติหน้าที่จนกลายเป็นว่าผู้โดยสารบนเรือทุกคนจำเธอได้แม่น และมักจะตามไปนั่งฟังเธอร้องเพลงที่บาร์ทุกคืน

  “วิถีของเรือ Celebrity Reflection คือทุกห้าโมงเย็น เรือจะออกจากท่าเรือของประเทศต่างๆ ที่เราไปจอดพัก ผู้โดยสารสองสามพันคนที่เดินลงไปเที่ยวตามท่าเรือเหล่านั้นจะต้องกลับขึ้นมาบนเรือให้ทัน สำหรับซอ เรือลำนี้เป็น contract ที่หนักหนาสากรรจ์มากในเรื่องของ mentally ต้องใช้ความอดทนเยอะ เพราะมันเป็นการทำงานกับจำนวนคนที่มากขึ้น Department ใหญ่ขึ้น บนเรือมีวงดนตรีหลายแบบ มีความเป็นแก๊งเป็นมาเฟียสูงมาก วิถีการใช้ชีวิตบนเรือมันเป็นลูปเดียว พูดแบบเดิมทุกวัน ทำหน้าที่ซ้ำซาก แต่ในความน่าเบื่อของการทำงานบนเรือลำนี้มันก็ทำให้เรามีโอกาสได้ไปเห็นการแสดงอีกรูปแบบหนึ่งในโรงละครบนเรือ ที่โรงละครนี้จะมีนักร้องนักดนตรีนักมายากลระดับโลกมาแสดงให้คนเป็นพันๆ ดู ถือเป็นพื้นที่การแสดงหลักของเรือเลยล่ะ นักร้องเจ๋งๆ หลายคนที่มาร้องในโรงละครนี้มาจากลาสเวกัสทั้งนั้น รายได้ของพวกเขาบางคนตก 10,000 USD ต่อการแสดงเลยนะ พอแสดงเสร็จก็ลงตามท่าเรือและนั่งเครื่องบินไปแสดงที่อื่นต่อ”

จากแรงบันดาลใจของการที่ซอได้ไปดูการแสดงของนักร้องในโรงละครบนเรือทุกวัน ซึ่งอินเนอร์ของนักร้องนักดนตรีแต่ละคนที่ส่งผ่านวิญญาณความเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์ของพวกเขาออกมานั้น ซอว่าคนพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแต่พวกเขาเกิดมาเพื่อที่จะประกอบอาชีพนี้จริงๆ มันคือการอุทิศชีวิตอุทิศเวลา คือพรสวรรค์บวกด้วยการสั่งสมประสบการณ์ ซึ่งในระหว่างที่ตาลุกวาวกับนักร้องนักดนตรีเหล่านั้น ซอก็พูดกับตัวเองขึ้นมาว่า “เฮ้ย ฉันว่าฉันก็น่าจะทำแบบเขาได้นะ”

5 เดือนเต็มบนเรือสำราญ Celebrity Reflection ซึ่งเรือลำนี้ได้พาซอและสามีเดินทางไปมาครบทุกทวีปแล้ว จนพอครบกำหนดที่สัญญากำลังจะสิ้นสุดลง ทั้งสองเริ่มวางแผนปักหมุดว่าพวกเขาจะเดินทางไปใช้ชีวิตที่ไหนต่อดี ทั้งคู่ลองออกสำรวจหลายๆ พื้นที่ในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นเมมฟิสในรัฐเทนเนสซี หรือแนชวิลล์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเทนเนสซี และยังมีเมืองอื่นๆ อีกหลายเมือง แต่ออกตระเวนหาเท่าไหร่มันก็ยังไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต วันหนึ่งซอเลยนั่งทบทวนเป้าหมายที่เธอแอบหวังไว้ว่า วันหนึ่งเธออยากจะเป็นหนึ่งในนักร้องหญิงที่ได้แสดงในโรงละครบนเรือ Celebrity Reflection ซึ่งฟังดู มันอาจเป็นความฝันที่เกินตัวอยู่สักหน่อย แต่จะเกินหรือไม่เกิน คงยังไม่มีใครบอกได้ ของแบบนี้มันต้องลอง พอคิดได้แบบนั้น ซอเลยหันไปบอกสามีว่า “เธอรู้ไหม ฉันอยากเป็น Guest Entertainer ในโรงละครบนเรือที่เราไปนั่งดูกัน ฉันว่าฉันทำได้นะ เราไปลาสเวกัสกันไหม”

One Way Ticket to Las Vegas วัดดวงวัดใจในดินแดนแห่งแสงสีเสียงที่ไม่เคยหลับใหล

  การที่ใครสักคนจะลุกขึ้นมาแล้วบอกว่าฉันอยากย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศนั้นประเทศนี้จัง แพสชั่นถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะมันคือแรงขับพลังที่มีอยู่ในตัว แต่หัวใจที่จริงแท้ในการใช้ชีวิตแบบนี้ได้ แน่นอนคือเรื่องเงิน ซึ่งต้องบอกว่าการทำงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของซอและสามี นักดนตรีคู่นี้มีการวางแผนเรื่องการเงินที่เป็นระบบมาโดยตลอด เรียกว่าใช้จ่ายอย่างมีสติ รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รวมทั้งเวลาที่นึกอยากจะย้ายถิ่นฐาน ก็ไม่ใช่ลุกขึ้นมาเก็บกระเป๋า ซื้อตั๋ว และออกเดินทางไปได้เลย แต่พวกเขาต้องหาข้อมูลและศึกษาถึงระบบเศรษฐกิจและค่าครองชีพในเมืองนั้นๆ ก่อนว่ามันตอบรับกับรูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองไหม ซึ่งสำหรับลาสเวกัสแล้ว พวกเขาเชื่อว่าน่าจะมีหนทาง เพราะจาก Resume การทำงานของพวกเขาที่เล่นดนตรีให้กับโรงแรมระดับเวิล์ดคลาสมาทั่วโลกแล้ว อย่างไรเสีย ที่ลาสเวกัสจะต้องมีคนจ้างพวกเขาเล่นดนตรีแน่ๆ แต่อะไรที่ว่าชัวร์ บางทีมันก็อาจพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ

  “ปรากฏพอย้ายไปอยู่เวกัส สามเดือนแรกไม่มีงานเลยค่ะ  ซอต้องไปทำงานร้านอาหารไทย ต้องล้างห้องน้ำ ซึ่งการทำงานที่ร้านอาหารไทยเราก็จะต้องผ่านด่านของการเจอคนไทยบางสายพันธุ์ในต่างแดน ที่พอเขาเห็นหน้าเราจำเราได้ว่าเราคือนักร้องวงเดอะซิส เขาก็เอาเราไปพูดประมาณว่า ‘ดาราเหี้ยอะไรมาล้างห้องน้ำแบบนี้ แบบนี้เขาเรียก falling star ชัดๆ’ โอ๊ย ตอนนั้นเราโกรธมาก แต่เพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านก็เตือนสติเราว่า เฮ้ย อย่าลืมสิ แกมาที่นี่เพื่ออะไร ไอ้การมาทำงานร้านอาหารไทยมาล้างห้องน้ำมันเป็นค่าทางผ่านเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ถ้าแกเข้มแข็งพอ เดี๋ยวงานนักร้องก็มาเองล่ะ นี่มันแค่ด่านทดสอบ”

วันหนึ่ง ขณะที่ซอนั่งหาข้อมูลบนโซเชียลเน็ตเวิร์กเกี่ยวกับการรับสมัครนักร้องในคาสิโน ลาสเวกัส ปรากฏมีบาร์แห่งหนึ่งประกาศเปิดออดิชั่นสำหรับนักร้องชาย พอเห็นแบบนั้น ซอเขียนข้อความไปหาบาร์แห่งนั้นแบบซื่อๆ ทันทีว่า “ฉันเป็นนักร้องหญิง คุณรับผู้หญิงได้ไหม” ปรากฏโชคเข้าข้าง บาร์แห่งนั้นเรียกทั้งคู่ให้เข้าไปออดิชั่น ในที่สุดทั้งสองผ่านออดิชั่นและได้เป็นวงดนตรีดูโอแบนด์วงใหม่ของฮาร์ดร็อกคาเฟ่ และความโชคดีคูณสองคือคนที่ตัดสินใจรับซอกับริคเข้าทำงานยังเป็นนายหน้าหานักร้องและนักดนตรีเจ้าใหญ่ที่สุดในคาสิโน ลาสเวกัสอีกด้วย เรียกว่า 80% ของนักร้องนักดนตรีที่เล่นอยู่ในคาสิโนทั้งหมดมาจากนายหน้าเจ้านี้

  ถูกที่ถูกทาง ดูจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดกับช่วงเวลานี้ ซอกลายเป็นความแปลกใหม่สำหรับบริษัทนายหน้าหานักร้องนักดนตรีเจ้านี้ อาจเพราะบุคลิกลักษณะของเธอเองที่ไม่เหมือนนักร้องคนไหนในคาสิโน ลาสเวกัส เธอมีความโดดเด่นในหน้าตาและรูปร่างที่มีส่วนผสมระหว่างเอเชียกับรูปหน้าและสีผิวที่ออกแนวแอฟริกัน เธอพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันที่ฟังแทบไม่ออกว่านี่คือคนเอเชีย แต่ขณะเดียวกันเธอก็รู้จักวางตัวและมีมารยาทเพราะเติบโตมาในวัฒนธรรมแบบไทย รูปปากของเธอในการร้องเพลงชัดถ้อยชัดคำ มีความคมและแข็งแรงในเนื้อเสียง ซึ่งด้วยความแตกต่างของซอบวกกับฝีมือกีตาร์ของริค เลยทำให้ทั้งคู่มีโอกาสได้ไปเล่นแทนที่วงดนตรีมากประสบการณ์หลายๆ วงในลาสเวกัสที่สัญญาของพวกเขาได้หมดลง จนถึงปัจจุบันแล้ว วง Rick x Zoe Duo มีเพลงที่โปรดิวซ์ขึ้นเอง รวม 450 เพลงด้วยกัน 

  ระหว่างที่เดินสายเล่นดนตรีอยู่ในคาสิโน ลาสเวกัสนั้น ทั้งคู่ยังมีสัญญาที่เซ็นค้างไว้กับเรือ The World ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่มุมใดของโลกก็ตาม พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องกลับไปเล่นบนเรือ The World ขณะที่การเล่นดนตรีในลาสเวกัสเอง ลองถ้านักดนตรีคนไหนก้าวออกไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การจะเดินกลับเข้ามาใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะในช่วงระหว่างที่เราไม่อยู่ ก็จะมีวงดนตรีอื่นๆ มาเสียบแทนที่ แต่ก็นะ อะไรที่เป็นของเรา จะช้าจะเร็วมันก็ต้องเป็นของเราอยู่ดี

“หลังกลับไปเล่นที่เรือ The World และกลับเข้าลาสเวกัสรอบที่สอง ระยะแรกเราสองคนไม่มีงานเลย งานหายหมด จนอยู่ดีๆ ก็มีนักดนตรีคนหนึ่งในคาสิโน ลาสเวกัสที่เขาต้องการหานักกีตาร์และนักร้องเพื่อมาฟอร์มวงใหม่กับเขาในรูปแบบของวงทรีโอ (วงดนตรี 3 ชิ้น) เราสองคนก็เลยตกลงฟอร์มวงกับเขา เราได้ไปเล่นที่ The Orleans Hotel เป็นโรงแรมที่ใหญ่มากระดับต้นๆ ของคาสิโน ลาสเวกัส เราประสบความสำเร็จมากขนาดที่นายหน้าพูดกับเราว่าวงของพวกคุณมีความพิเศษจริงๆ”

ปัจจุบัน วงดนตรีที่ถูกฟอร์มขึ้นใหม่ในชื่อของ Premier เล่นประจำอยู่สามที่คือที่โรงแรมหรูในปารีส , Golden Nugget ซึ่งเป็นคาสิโนเก่าแก่ในลาสเวกัส และโรงแรม Ariaในลาสเวกัส โดยเป้าหมายของซอในการสั่งสมประสบการณ์การร้องเพลงในลาสเวกัสนั้นก็เพื่อจะสร้างพอร์ตโฟลิโอเป็นใบเบิกทางไปสู่จุดหมายของการร้องเพลงในโรงละครบนเรือสำราญ Celebrity Reflection ที่เธอตั้งใจจะทำมันให้สำเร็จให้ได้ภายในปีนี้ (2563) ซึ่งไม่ว่าเธอจะทำได้ตามเวลาอย่างที่คิดไว้ไหม ไม่มีใครบอกได้ แต่สิ่งที่ตัวเธอเองรู้ดีอยู่กับใจเสมอคือเธอไม่เคยหยุดทำ ไม่เคยทิ้งโอกาส และแม้ในจังหวะที่โอกาสจะยังมาไม่ถึง เธอก็ไม่เคยนั่งเฉยๆ และด่าทอโชคชะตา เธอจะแสวงหาช่องทางให้กับตัวเองอยู่เสมอ แม้แสงสว่างบางครั้งจะดูริบหรี่ แต่อย่างน้อยมันก็พอมีให้คลำทางต่อไปได้

“ที่ที่ซอรู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองที่สุดร้อยเปอร์เซ็นคือการยืนร้องเพลงบนเวที วิญญาณแบบนี้มันคงมาจากพ่อเรา มันเป็นความรู้สึกของการที่ฉันจะต้องทำให้ได้ ซอไม่ได้ต้องการความโด่งดังเพราะมันเลยจุดนั้นมาแล้ว แต่ในเมื่อเรารักอาชีพนี้ เราก็อยากให้มันสามารถเลี้ยงตัวเราเองได้ไปจนแก่ และการร้องเพลงในโรงละครบนเรือสำราญเอง เขาก็ไม่มีเรื่องของอายุหรือเพศมาเป็นตัวกำหนด ถ้าคุณเก่งจริงเก๋าจริง คุณเป็นตัวจริงที่ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง คุณมีสไตล์ แม้คุณจะอายุเจ็ดสิบแปดสิบ เขาก็ยังให้คุณร้องอยู่ ขอแค่คุณเก่งจริงเถอะ”

คนเราเกิดมา ถ้าชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบไปเสียหมด มันก็ดีหรอก สบายดีง่ายดี แต่ถ้าเกิดมาแล้ว ได้เจอกับชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบบ้าง มีหนามทิ่มพอให้เจ็บๆ แสบๆ ในช่วงระหว่างทางเดินบ้าง ชีวิตมันก็มีอะไรให้น่าจดจำ มันสร้างให้เราแกร่ง สร้างให้เราเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้และมีทางออกเสมอ อยู่แค่ว่าจะขวนขวายทำหรือเปล่าแค่นั้นล่ะ 

สำคัญที่สุด อย่าทิ้งโอกาส