คุณเห็นตัวเองในวันที่อายุเข้าสู่ตัวเลข 68 เป็นแบบไหน? ผู้หญิงร่างเล็กซอยผมสั้นและชอบสีชมพูเป็นชีวิตจิตใจ วัย 68 ปีคนนี้ เลือกที่จะยืนเป่าแซกโซโฟนของเธออย่างไร้ข้อสงสัยกับโลกทั้งใบที่เปรียบได้กับห้องเรียนดนตรีที่ไม่มีวันสิ้นสุด และเสียงดนตรีเหล่านั้นก็มักจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างนักดนตรีแปลกหน้าจากทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าพวกเขาแต่ละคนจะอยู่ที่ซีกโลกหรือแห่งหนใดก็ตาม

ฉันรู้จักแม่แดง ดารารัตน์ เชมนะศิริ มาสักสิบปีได้แล้ว ที่ฉันเรียกผู้หญิงคนนี้ว่าแม่แดง เพราะครั้งแรกที่ฉันรู้จักแม่แดง ฉันได้รู้จักเธอผ่านนักดนตรีแซกโซโฟนคนหนึ่งซึ่งนับถือแม่แดงเป็นเหมือนแม่จริงๆ ฉันก็เลยใช้สรรพนามในการเรียกแม่แดงติดมาจากเพื่อนคนนั้น แต่ก็ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกนะที่เรียกเธอแบบนั้น ต้องบอกว่าทุกวันนี้แม่แดงมีลูกนักดนตรีเป็นร้อยล่ะ 

แม่แดงเป็นนักต่อสู้ เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อตอนที่แม่แดงอายุ 23 ปี ด้วยความที่เธอมีแนวคิดทางการเมืองไม่ตรงกับระบบการเมืองของประเทศไทยในสมัยนั้นสักเท่าไร หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่แดงเลยพาตัวเองย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งจะว่าไป การย้ายประเทศของแม่แดงก็ไม่ได้หยุดความเป็นนักเคลื่อนไหวของเธอแต่อย่างใด เพราะหลังจากปรับตัวจนคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ในกรุงบรัสเซลส์ได้แล้ว แม่แดงก็ยังออกไปร่วมกิจกรรมต่อสู้ทางการเมืองกับชาวเมืองบรัสเซลส์ในทุกที่ ไม่ว่าจะเดินขบวนหรือเดินแจกหนังสือพิมพ์เพื่อตีแผ่ความจริงและเรียกร้องความยุติธรรมจากรัฐบาลของเบลเยี่ยมในเวลานั้น 

“นักต่อสู้ มันสู้ทั้งชีวิตล่ะ มันหยุดไม่ได้หรอก” 

แม่แดงบอกฉัน ขณะหันไปหยิบผ้าผืนเล็กมาเช็ดแซกโซโฟนของเธอก่อนจะเก็บมันเข้ากระเป๋าอย่างทะนุถนอม

เมื่อประมาณหกเจ็ดปีก่อน ฉันเคยไปหาแม่แดงที่บรัสเซลส์ ตอนนั้นนอกจากจะไปพักที่บ้านของเธอแล้ว เรายังชวนกันไปที่หน้าลาน Brussels Town Hall และตลาดดอกไม้เพื่อแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์ อาร์ต แนวทดลองด้วยกัน ฉันเองก็ไม่ใช่ศิลปินอะไรกับเขาหรอกนะ แต่ที่ทำในตอนนั้นก็เพราะแค่อยากรู้อยากลองอยากเข้าใจความรู้สึกของการแสดงอย่างเป็นอิสระ ก็แค่นั้นเอง แม่แดงเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงดนตรีดุริยางค์ ที่ชื่อ Pas ce soir chéri  ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่าเย็นนี้ฉันไม่ว่างที่รัก เป็นวงดนตรีดุริยางค์ที่ประกอบด้วยสมาชิกนักดนตรีผู้หญิงต่างวัยฝีมือระดับเทพจำนวน 21 คน เป็นครูบ้าง เป็นหมอบ้าง ทุกคนจะใส่ชุดสีชมพูเหมือนกันหมดตั้งแต่หัวจรดเท้าในการแสดงทุกครั้ง โดยมีแม่แดงเป็นนักดนตรีที่อายุเยอะที่สุดในวง นอกจากการเล่นกับวง Pas ce soir chéri แล้ว แม่แดงยังหาโอกาสไปแจมดนตรีกับนักดนตรีคนอื่นๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะตามชานชาลารถไฟใต้ดินหรือสวนสาธารณะ Astrid Park กลางกรุงบรัสเซลส์ ที่แม่แดงบอกฉันว่า สำหรับเธอแล้ว การเป่าแซกโซโฟนในสวนสาธารณะคือช่วงเวลาของการสนทนากับใบไม้ต้นไม้ มันคือการสื่อสารด้วยพลังบริสุทธ์ ซึ่งเท่าที่ฉันรู้จักแม่แดงมา แม่แดงเป็นหนึ่งในนักให้ ทุกอย่างในชีวิตของแม่แดงคือการให้ และเป็นการให้ที่ไม่ได้ปรารถนาว่าผู้ที่ได้รับไปจะต้องแสดงท่าทีซาบซึ้งหรือตอบแทนอะไรกลับมา มันไม่ได้สำคัญเลย 

“ธรรมชาติให้เรามาตั้งเยอะแล้ว การเล่นดนตรีเพื่อพูดคุยกับเขาก็ถือเป็นการให้กลับ ชีวิตคนเรามันไม่ใช่มีแค่เพื่อตัวเอง”

การเริ่มต้นเส้นทางดนตรีของแม่แดงเริ่มขึ้นในวัย 45 ปี ซึ่งมั่นใจว่าหลายคนอาจมองว่านี่คือตัวเลขที่ช้าไปกับการจะเริ่มเล่นดนตรีแบบนักดนตรีอาชีพ ซึ่งฉันจะไม่เปลี่ยนความคิดของคุณหรอก แต่ฉันอยากให้คุณอ่านเรื่องของแม่แดงให้จบก่อน

ย้อนกลับไปเมื่อ 23 ปีก่อน ซึ่งในเวลานั้น แม่แดงอายุ 45 ปี ทำงานอยู่ที่ร้านถ่ายเอกสารแห่งหนึ่งในกรุงบรัสเซลส์ ในแต่ละวันจะมีอาจารย์ภาควิชาดนตรีเดินเข้ามาถ่ายเอกสารกันเยอะมาก จนอยู่ดีๆ ก็มีศาสตราจารย์ทางดนตรีท่านหนึ่งออกปากพูดกับแม่แดงว่าอยากให้แม่แดงลองหัดเล่นดนตรี ตอนนั้นแม่แดงก็ไม่รู้หรอกว่าศาสตราจารย์ท่านนั้นเห็นอะไรในตัวแม่แดง จากนั้นศาสตราจารย์ก็เรียกให้แม่แดงไปหาที่บ้านและสอนเปียโนให้ จนผ่านไปได้สักระยะ ศาสตราจารย์ก็บอกแม่แดงว่าเอาล่ะ มันถึงเวลาแล้วที่แม่แดงจะต้องเลือกเครื่องดนตรีสักชิ้นที่ตัวเองอยากเล่น ตอนนั้นแม่แดงเองก็มีแฟนเป็นชาวเบลเยี่ยมและเป็นนักดนตรีแซกโซโฟนอยู่ด้วย  ซึ่งแม้ลึกๆ แล้ว แม่แดงจะแอบหลงใหลในแซกโซโฟนเหมือนกัน แต่การมีแฟนที่เล่นเครื่องดนตรีประเภทแซกโซโฟนอยู่แล้ว หากจะเลือกซ้ำ แม่แดงก็รู้สึกแปลกๆ แม่แดงเลยพยายามที่จะเลี่ยงแซกโซโฟน

“ตอนนั้นไม่อยากเล่นแซกโซโฟนเพราะรำคาญคน เดี๋ยวเขาจะหาว่าเล่นดนตรีตามแฟน”

วันที่ศาสตราจารย์พาแม่แดงไปเลือกเครื่องดนตรี ซึ่งในตอนนั้นแม่แดงเล่นเครื่องดนตรีเป็นเพียงอย่างเดียวคือเปียโน และก็เป็นการเล่นได้แบบงูๆ ปลาๆ เสียด้วยเพราะเพิ่งจะหัดเรียนมาได้ไม่นาน  ที่ร้านเครื่องดนตรีในวันนั้น พนักงานเอาเครื่องดนตรีหลายต่อหลายชนิดมาวางไว้ตรงหน้าเพื่อให้แม่แดงได้ลองหยิบลองจับ คลาริเน็ต (เครื่องเป่าลมไม้) ก็เล็กไป พอหยิบฟลูตขึ้นมาลองเป่า มือแม่แดงก็เล็กไปอีก จับแล้วไม่ถนัดมือ สุดท้ายแม่แดงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเลือกแซกโซโฟนอัลโต้ ที่ดูจะเหมาะกับรูปร่างเล็กของตัวเองที่สุด บวกกับแม่แดงต้องการเครื่องดนตรีที่พกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกในเวลาที่ต้องเดินทาง

“สุดท้ายมันก็ไปลงตัวกับไอ้สิ่งที่เราแอบรักอยู่แล้วนั่นล่ะ มันหนีกันไม่พ้น”

หลังได้แซกโซโฟนตัวแรกในชีวิตมา แม่แดงได้อาจารย์คนแรกเป็นชาวอเมริกันซึ่งย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ในกรุงบรัสเซลส์โดยมีศาสตราจารย์คนเดิมคอยแนะนำช่องทางในการเรียนรู้แซกโซโฟนเพิ่มเติมจากสถาบันดนตรีชั้นนำต่างๆ ในกรุงบรัสเซลส์ให้ ซึ่งจากวันนั้นจนวันนี้ แม่แดงอายุ 68 ปีแล้ว และแม่แดงยังไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ เธอมักจะสมัครเข้าไปเรียนคอร์สระยะสั้นตามสถาบันดนตรีต่างๆ ในกรุงบรัสเซลส์อยู่เสมอ ครั้งหนึ่งฉันถามแม่แดงว่า เอาเข้าจริงแม่แดงก็เล่นแซกโซโฟนมา 23 ปีแล้ว ประสบการณ์การเล่นดนตรีที่มีอยู่มันยังไม่พออีกเหรอ เพราะในมุมของฉัน การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตนี่ล่ะที่ทำให้คนเราเกิดพัฒนาการที่ดีที่สุด ยิ่งทำซ้ำยิ่งเรียนรู้ มันก็เหมือนคนที่ผ่านโลกมาเยอะๆ ชีวิตมันจะกร้านไปโดยอัตโนมัติ  

“การเรียนรู้มันไม่มีวันสิ้นสุดหรอก แม่ก็เรียนไปเรื่อยๆ อย่างการเรียน improvisation มันก็ช่วยให้เรารู้เทคนิคแปลกๆ ในการไปแจมคอนเสิร์ตกับคนที่เราไม่รู้จัก เพราะวิธีการแจมดนตรีระหว่างแซกโซโฟนกับเครื่องดนตรีชนิดอื่นๆ มันก็มีภาษาที่ต่างกันไป อาจารย์คนหนึ่งบอกแม่ว่าการฝึกอิมโพรไวส์ที่ดีที่สุด เราต้องฝึกการฟังดนตรีอิมโพรไวส์ให้มาก 23 ปีที่ผ่านมา แม่ฟังเพลงทุกวันเลยนะ ไม่มีวันไหนที่ไม่ฟัง การไปเรียนที่นั่นที่นี่เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ มันทำให้เราได้มีโอกาสรู้จักนักดนตรีและอาจารย์เก่งๆ จากทั่วโลกด้วย ทุกวันนี้ แม่มีเพื่อนเป็นนักดนตรีระดับอาจารย์หลายคน มีทั้งคนสเปน แอฟริกัน อเมริกัน อังกฤษ ยิ่งโลกทุกวันนี้มันเล็กลงด้วย มีเพลงอะไรน่าศึกษา พวกเพื่อนๆ ก็จะส่งเพลงมาให้ฟัง ให้ฝึก”

เชื่อว่าน่าจะมีคนสงสัยบ้างละว่าแล้วเรื่องของอายุล่ะ ท่ามกลางโลกของนักดนตรีที่มีคนหลายช่วงอายุผสมปะปนกันอยู่ ประสบการณ์ที่มาเองก็ต่างกัน เล่นแนวสมัยใหม่บ้าง ซัดแหลกโชว์สกิลบ้าง อีโก้จัดๆ บ้าง ผู้หญิงวัย 68 ปีคนนี้เคยเจอปัญหาในการแจมดนตรีบ้างไหม ไหนจะบางครั้งที่อาจต้องเล่นกับนักดนตรีรุ่นเด็กกว่าที่มีทั้งถ่อมตน และบางคนก็คิดว่าตัวเองเจ๋งสุดๆ แล้ว แต่แม่แดงกลับบอกฉันว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาที่มักจะพบบ่อยๆ คือการเล่นแจมกับนักดนตรีรุ่นเด็กกว่าในเมืองไทยที่วัฒนธรรมของประเทศเรา มันมีเรื่องของกาลเทศะที่เด็กต้องอ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ และไอ้ช่องว่างเล็กๆ ของความอ่อนน้อมนี่ละ มันจะมีความเกร็งผสมอยู่

“แม่ไม่ชอบแบบนั้น แม่ชอบความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่แบบสบายๆ อย่างที่โน่นเราไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรกันมาก อาจารย์กับเด็กเป็นเพื่อนกัน เล่นดนตรีเสร็จ ก็พากันไปดื่ม ตัวเลขอายุเราเท่ากันหมด”

ปัจจุบันแม่แดงเกษียณแล้วและใช้ชีวิตอยู่ในกรุงบรัสเซลส์โดยมีบ้านเล็กๆ ของตัวเองที่อยู่เพียงลำพัง แต่ทุกวันของแม่แดงไม่เคยโดดเดี่ยวเพราะเพื่อนเธอเพียบ นอกจากเล่นดนตรีแล้ว ชีวิตในกรุงบรัสเซลส์ของแม่แดงคือการหาโอกาสทำกิจกรรมสาธารณะให้มากที่สุด แม่แดงกับกลุ่มเพื่อนสนิทที่มีทั้งต่างเชื้อชาติต่างศาสนามักจะพากันไปรับผักผลไม้ที่มีรอยช้ำรอยตำหนิมาจากร้านอาหารออร์แกนิกแถวบ้าน ที่เขาคัดแยกไว้สำหรับเพื่อเตรียมที่จะเอาไปทิ้ง แม่แดงกับเพื่อนๆ จะนำผักและผลไม้เหล่านั้นกลับมาประกอบอาหารที่บ้านเพื่อกินด้วยกัน แล้วจึงแบ่งอาหารที่ปรุงแล้วส่วนหนึ่งไปให้กลุ่มคนไร้บ้านและกลุ่มผู้หญิงที่ถูกทำร้าย

“เวลาเราเห็นไอ้พวกผักผลไม้ที่มันมีส่วนเน่าเสีย เอาเข้าจริง ถ้าเราแค่ตัดส่วนที่มันไม่ดีออก มันก็สวยได้แล้วโดยที่เราไม่ต้องทิ้ง การทิ้งคือการสร้างขยะให้กับโลกเพิ่ม กลุ่มเราเป็นกลุ่ม zero waste ที่ไม่ต้องการทิ้งอะไรเลย เราไม่อยากสร้างขยะ”

เท่าที่ฉันรู้จักแม่แดงมาหลายปี ต้องบอกว่าหนึ่งในเอกลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้คือเสียงหัวเราะ มันคือการหัวเราะอย่างเปิดเผย เป็นเสียงที่สุดเหวี่ยง ฉันเคยถามแม่แดงว่าชีวิตนี้ อะไรบ้างที่จะทำให้แม่แดงเครียดได้ แม่แดงว่าสิ่งที่จะทำให้เธอเครียดได้แน่ๆ คือการนัดใครแล้วไปไม่ตรงเวลา สำหรับแม่แดงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะมันคือการไม่ให้เกียรติคน เพราะฉะนั้นเวลาแม่แดงนัดใคร แม่แดงจะไม่เคยสาย 

ทุกวันนี้แม่แดงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่บอกได้เลยว่าหัวใจเธอยังเด็กอยู่ พลังในตัวเธอล้น แม่แดงมักจะหาโอกาสเดินทางไปเล่นดนตรีแจมกับเพื่อนต่างชาติในฝั่งยุโรปอยู่บ่อยๆ หรือล่าสุดที่ฉันได้พบเธอคือที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งแม้ปัจจุบัน แม่แดงจะไม่ค่อยได้ออกไปเดินขบวนเรียกร้องทางการเมืองในกรุงบรัสเซลล์แบบเมื่อก่อนแล้ว แต่เมื่อไรก็ตามที่มีเหตุการณ์เรียกร้องเพื่อสิทธิสตรีในกรุงบรัสเซลส์ เมื่อนั้น เราจะได้เห็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ยืนถือแซกโซโฟนอยู่ที่มุมหนึ่งของกลุ่มผู้เรียกร้อง บรรเลงเพลงของเธอด้วยความสันติ และแน่นอน ในชุดเสื้อผ้าและรองเท้าสีชมพู

Tags: