ในโรงเรียนมัธยม เราไม่ได้อยากไปเรียนเพราะตารางเรียน แต่เพราะเพื่อน พื้นที่เล่น และบรรยากาศของการได้คุย ได้ถก ได้เป็นส่วนหนึ่งของบางอย่าง

ถ้าองค์กรสามารถออกแบบออฟฟิศให้มีความรู้สึกแบบนั้น งานดีขึ้นจริง ทีมแน่นขึ้นจริง และความคิดสร้างสรรค์ถูกดึงขึ้นมาแบบไม่ต้องสั่ง

แนวคิดทำออฟฟิศให้เหมือนโรงเรียนถูกพูดถึงมากขึ้นในโลกการทำงานยุคใหม่ สอดรับกับเทรนด์ Workplace Design ที่เน้นความยืดหยุ่น และการพบปะโดยบังเอิญ ไปจนถึงพื้นที่การทำงานในหลายโหมด หลายรูปแบบ เน้นสร้างคอมมูนิตี้มากกว่าจัดโต๊ะจนเป็นระเบียบ เป็นคอกสวยงาม

โลกการทำงานยุคใหม่ ไม่ใช่การออกแบบพื้นที่นั่งทำงานส่วนบุคคล แต่คือการออกแบบพฤติกรรมผ่านพื้นที่การทำงาน นี่คือเหตุผลที่ออฟฟิศอาจออกแบบพฤติกรรมผ่านพื้นที่ ทำให้พื้นที่คุณมีความเป็น ‘ไฮสคูล’ มากขึ้น โดยไม่เสียประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน

ทำไม ‘ออฟฟิศแบบโรงเรียนมัธยม’ ถึงเวิร์ก

  1. พื้นที่หลายโซน งานหลายแบบไหลลื่นขึ้น

โรงเรียนไม่ได้มีเพียงห้องเรียน แต่ยังมีห้องวิทยาศาสตร์ ห้องดนตรี สนามกีฬา ห้องสมุด หรือโรงอาหาร งานก็เหมือนกัน มีงานที่ต้องใช้สมาธิกับการอยู่กับตัวเอง มีงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์จากการแลกเปลี่ยนกับผู้คน มีงานที่ต้องถกเถียงเพื่อให้ดีขึ้น และงานที่ต้องประชุม ต้องดีลกับผู้คนอีกล้านแปด

ฉะนั้นงานวิจัยด้าน Workplace Design ชี้ว่า พื้นที่แบบ Activity-Based Working (ABW) ทำให้ Productivity และการร่วมงานดีขึ้น เพราะพนักงานเลือกพื้นที่ที่เหมาะกับ ‘งานแบบนั้น’ ไม่ต้องฝืนตัวเองนั่งที่โต๊ะเดิมทั้งวัน

ลองคิดดูว่าออฟฟิศของคุณมีพื้นที่กลางให้ถกเถียง มี ‘ห้องทดลอง’ มี ‘สนามบอล’ มี ‘โรงอาหาร’ ที่ทุกคนสบายใจที่จะทำกิจกรรมร่วมกันและแลกเปลี่ยนความคิดกันได้อย่างกว้างขวางแล้วหรือยัง

  1. การพบปะโดยบังเอิญกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

โซนกาแฟ มุมพัก โถงทางเดินกว้าง หรือ Steps นั่งเล่น คือพื้นที่ที่คนเจอกันแบบไม่ตั้งใจ และมักนำไปสู่บทสนทนาสั้นๆ ที่จุดประกายไอเดียใหม่ เหมือนเพื่อนเดินผ่านหน้าห้องแล้วตะโกน “เฮ้ งานอะไรน่ะ” แล้วไอเดียก็ลามเป็นโปรเจกต์จริ

องค์กร Tech สมัยใหม่ ตั้งแต่ Google ไปจนถึงสตูดิโอครีเอทีฟใหม่ๆ ในญี่ปุ่น มีการออกแบบ Space เหล่านี้อย่างละเอียดลออ เพื่อให้แต่ละทีมสามารถสนทนาข้ามแผนกกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการสนทนาโดยแบบ Organic ไม่ใช่การประชุมเคร่งเครียดที่ ‘หัวหน้าสั่ง’ 

  1. คอมมูนิตี้ทำให้คนอยากมา ไม่ใช่การบังคับให้มา

สิ่งที่ทำให้บรรยากาศโรงเรียนสนุก เพราะโรงเรียนทำให้นักเรียนรู้สึกเป็น ‘พวกเดียวกัน’ อาจด้วยมุกกลางห้องที่ไว้หยอดแซวกัน อาจด้วยครูที่รู้จัก มีความผูกพันกับนักเรียน อาจเพราะโต๊ะกลุ่มที่นั่งซ้ำๆ ได้พูดคุย Small Talk และ Deep Talk

ช่วงพักที่ได้นั่งพูดคุย นินทาคน แลกเปลี่ยนกระแส ทำให้ออฟฟิศที่มีมูดแบบนี้น่าทำงานขึ้น คนทำงานก็อยากมาเจอเพื่อนร่วมงาน วันจันทร์ได้แลกเปลี่ยนว่าวันเสาร์-อาทิตย์ไปทำอะไรมา วันศุกร์ได้แลกเปลี่ยนว่าสุดสัปดาห์จะไปทำอะไร ย่อมอยากให้คนได้มาเจอเพื่อนร่วมงาน มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และปฏิเสธไม่ได้ว่าทีมที่ดี ย่อมเกิดจากการที่แต่ละคนมีความสะดวกใจในการพูดคุยกัน ไม่จำเป็นต้องจัด Team Building ราคาหลายหมื่นบาท

กระนั้นเอง ก็มีข้อควรระวัง เพราะออฟฟิศไม่ใช่โรงเรียน

ในที่ทำงานมีบางประเภทที่จำเป็นต้องใช้สมาธิลึก พื้นที่เปิดโล่งอาจรบกวนสมาธิจนหาย อาจทำให้เกิดเสียงดังโหวกเหวก ไม่มีความเป็นส่วนตัว

งานวิจัยหลายชิ้นเตือนว่า Open-plan แบบสุดโต่งอาจทำให้ Productivity ลดลง และพนักงานถอยไปใช้แชตแทนการคุย เพื่อหนีความรบกวน

ขณะเดียวกัน การทำงานในโลกของความเป็นจริง ไม่ได้มีเพียงแค่การทำการบ้าน การทำข้อสอบ และการตัดเกรด แต่คือการทำงานด้วยประสิทธิภาพเพื่อประสิทธิผล เพื่อผลกำไรขององค์กร และบางเรื่องก็ทำเล่นไม่ได้ 

นี่คือโลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้ายกว่าโรงเรียนมัธยม

  1. ข้อแนะนำ-สร้างพิธีกรรม สร้างระบบ Buddy และมีพื้นที่ส่งข้อความ

โรงเรียนมีจังหวะของวัน อาจเป็นการเข้าแถวหน้าเสาธง พักกลางวัน ทำกิจกรรมชมรม ออฟฟิศก็อาจมีกิจกรรมเบาๆ ได้เช่น

– Monday Brief 10 นาที 

– Random Lunch

– Mini club (อ่านหนังสือ, ดูหนัง, เล่นบอร์ดเกม, ร้องคาราโอเกะ หรือกินเหล้า)

ทั้งหมดคือการออกแบบ ‘ความเป็นเพื่อนร่วมชั้น’

แต่ทั้งหมด ต้องอาศัยการสร้าง ‘ความเชื่อใจ’ เพราะหากพยายามเชื่อมสัมพันธ์ โดยแต่ละคนยังไม่รู้จักกันดี รู้สึกเหม็นหน้ากัน อีกทั้งยังไม่มีเป้าหมายในการทำงาน เอาแต่พยายามสร้างกิจกรรมกลุ่ม สุดท้ายทั้งหมดก็เละทั้งความสัมพันธ์และเรื่องงาน

ฉะนั้นอันดับแรกอาจต้องเซ็ตเป้าหมายองค์กร เซตเป้าหมายการทำงานของแต่ละคนให้ลงตัวเสียก่อน มิเช่นนั้น กิจกรรมกลุ่มอาจไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่คิด

อีกเรื่องหนึ่งคือ การจัดระบบ Buddy/ Mentor สำหรับดูแลคนใหม่ ไม่ใช่การสร้างระบบอาวุโส แต่เพื่อดูแลคนใหม่ ให้เข้าที่เข้าทางกับงานได้มากขึ้น ให้สนิทสนมกับทีมได้เร็วขึ้น 

และสุดท้าย หากโรงเรียนมี ‘บอร์ด’ ออฟฟิศก็ควรมี ‘บอร์ด’ ไว้สำหรับฟีดแบ็ก อาจเป็นที่แปะโพสต์อิต ให้ความเห็นของทุกคนได้ขึ้นกระดาน หรือเป็นกระดานไว้ถ่ายทอดความในใจก็ไม่ว่ากัน แต่นั่นทำให้เห็นว่าออฟฟิศของคุณไม่ได้สักแต่ว่าสั่งอย่างเดียว แต่เสียงทุกเสียงมีความหมายและจะถูกรับฟัง

สุดท้าย ออฟฟิศแบบโรงเรียนมัธยมไม่ใช่เพียงเรื่อง ตกแต่ง แต่คือการสร้างระบบนิเวศของความเป็นเพื่อนร่วมชั้น พื้นที่กระตุ้นการคุย การถกเถียง การดวลไอเดีย และการพักแบบไม่รู้สึกว่า ‘พัก’ 

เพราะงานที่ดีที่สุดของเรา ไม่ได้เกิดบนโต๊ะทำงาน แต่เกิดตอนที่เราคุยกับใครสักคน แลกเปลี่ยนกับเพื่อน เหมือนที่เคยคุยกันในโรงเรียนมัธยม

Tags: , , , ,