ในโรงเรียนมัธยม เราไม่ได้อยากไปเรียนเพราะตารางเรียน แต่เพราะเพื่อน พื้นที่เล่น และบรรยากาศของการได้คุย ได้ถก ได้เป็นส่วนหนึ่งของบางอย่าง
ถ้าองค์กรสามารถออกแบบออฟฟิศให้มีความรู้สึกแบบนั้น งานดีขึ้นจริง ทีมแน่นขึ้นจริง และความคิดสร้างสรรค์ถูกดึงขึ้นมาแบบไม่ต้องสั่ง
แนวคิดทำออฟฟิศให้เหมือนโรงเรียนถูกพูดถึงมากขึ้นในโลกการทำงานยุคใหม่ สอดรับกับเทรนด์ Workplace Design ที่เน้นความยืดหยุ่น และการพบปะโดยบังเอิญ ไปจนถึงพื้นที่การทำงานในหลายโหมด หลายรูปแบบ เน้นสร้างคอมมูนิตี้มากกว่าจัดโต๊ะจนเป็นระเบียบ เป็นคอกสวยงาม
โลกการทำงานยุคใหม่ ไม่ใช่การออกแบบพื้นที่นั่งทำงานส่วนบุคคล แต่คือการออกแบบพฤติกรรมผ่านพื้นที่การทำงาน นี่คือเหตุผลที่ออฟฟิศอาจออกแบบพฤติกรรมผ่านพื้นที่ ทำให้พื้นที่คุณมีความเป็น ‘ไฮสคูล’ มากขึ้น โดยไม่เสียประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน
ทำไม ‘ออฟฟิศแบบโรงเรียนมัธยม’ ถึงเวิร์ก
-
พื้นที่หลายโซน งานหลายแบบไหลลื่นขึ้น
โรงเรียนไม่ได้มีเพียงห้องเรียน แต่ยังมีห้องวิทยาศาสตร์ ห้องดนตรี สนามกีฬา ห้องสมุด หรือโรงอาหาร งานก็เหมือนกัน มีงานที่ต้องใช้สมาธิกับการอยู่กับตัวเอง มีงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์จากการแลกเปลี่ยนกับผู้คน มีงานที่ต้องถกเถียงเพื่อให้ดีขึ้น และงานที่ต้องประชุม ต้องดีลกับผู้คนอีกล้านแปด
ฉะนั้นงานวิจัยด้าน Workplace Design ชี้ว่า พื้นที่แบบ Activity-Based Working (ABW) ทำให้ Productivity และการร่วมงานดีขึ้น เพราะพนักงานเลือกพื้นที่ที่เหมาะกับ ‘งานแบบนั้น’ ไม่ต้องฝืนตัวเองนั่งที่โต๊ะเดิมทั้งวัน
ลองคิดดูว่าออฟฟิศของคุณมีพื้นที่กลางให้ถกเถียง มี ‘ห้องทดลอง’ มี ‘สนามบอล’ มี ‘โรงอาหาร’ ที่ทุกคนสบายใจที่จะทำกิจกรรมร่วมกันและแลกเปลี่ยนความคิดกันได้อย่างกว้างขวางแล้วหรือยัง
-
การพบปะโดยบังเอิญกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
โซนกาแฟ มุมพัก โถงทางเดินกว้าง หรือ Steps นั่งเล่น คือพื้นที่ที่คนเจอกันแบบไม่ตั้งใจ และมักนำไปสู่บทสนทนาสั้นๆ ที่จุดประกายไอเดียใหม่ เหมือนเพื่อนเดินผ่านหน้าห้องแล้วตะโกน “เฮ้ งานอะไรน่ะ” แล้วไอเดียก็ลามเป็นโปรเจกต์จริ
องค์กร Tech สมัยใหม่ ตั้งแต่ Google ไปจนถึงสตูดิโอครีเอทีฟใหม่ๆ ในญี่ปุ่น มีการออกแบบ Space เหล่านี้อย่างละเอียดลออ เพื่อให้แต่ละทีมสามารถสนทนาข้ามแผนกกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการสนทนาโดยแบบ Organic ไม่ใช่การประชุมเคร่งเครียดที่ ‘หัวหน้าสั่ง’
-
คอมมูนิตี้ทำให้คนอยากมา ไม่ใช่การบังคับให้มา
สิ่งที่ทำให้บรรยากาศโรงเรียนสนุก เพราะโรงเรียนทำให้นักเรียนรู้สึกเป็น ‘พวกเดียวกัน’ อาจด้วยมุกกลางห้องที่ไว้หยอดแซวกัน อาจด้วยครูที่รู้จัก มีความผูกพันกับนักเรียน อาจเพราะโต๊ะกลุ่มที่นั่งซ้ำๆ ได้พูดคุย Small Talk และ Deep Talk
ช่วงพักที่ได้นั่งพูดคุย นินทาคน แลกเปลี่ยนกระแส ทำให้ออฟฟิศที่มีมูดแบบนี้น่าทำงานขึ้น คนทำงานก็อยากมาเจอเพื่อนร่วมงาน วันจันทร์ได้แลกเปลี่ยนว่าวันเสาร์-อาทิตย์ไปทำอะไรมา วันศุกร์ได้แลกเปลี่ยนว่าสุดสัปดาห์จะไปทำอะไร ย่อมอยากให้คนได้มาเจอเพื่อนร่วมงาน มีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น และปฏิเสธไม่ได้ว่าทีมที่ดี ย่อมเกิดจากการที่แต่ละคนมีความสะดวกใจในการพูดคุยกัน ไม่จำเป็นต้องจัด Team Building ราคาหลายหมื่นบาท
กระนั้นเอง ก็มีข้อควรระวัง เพราะออฟฟิศไม่ใช่โรงเรียน
ในที่ทำงานมีบางประเภทที่จำเป็นต้องใช้สมาธิลึก พื้นที่เปิดโล่งอาจรบกวนสมาธิจนหาย อาจทำให้เกิดเสียงดังโหวกเหวก ไม่มีความเป็นส่วนตัว
งานวิจัยหลายชิ้นเตือนว่า Open-plan แบบสุดโต่งอาจทำให้ Productivity ลดลง และพนักงานถอยไปใช้แชตแทนการคุย เพื่อหนีความรบกวน
ขณะเดียวกัน การทำงานในโลกของความเป็นจริง ไม่ได้มีเพียงแค่การทำการบ้าน การทำข้อสอบ และการตัดเกรด แต่คือการทำงานด้วยประสิทธิภาพเพื่อประสิทธิผล เพื่อผลกำไรขององค์กร และบางเรื่องก็ทำเล่นไม่ได้
นี่คือโลกแห่งความเป็นจริงที่โหดร้ายกว่าโรงเรียนมัธยม
-
ข้อแนะนำ-สร้างพิธีกรรม สร้างระบบ Buddy และมีพื้นที่ส่งข้อความ
โรงเรียนมีจังหวะของวัน อาจเป็นการเข้าแถวหน้าเสาธง พักกลางวัน ทำกิจกรรมชมรม ออฟฟิศก็อาจมีกิจกรรมเบาๆ ได้เช่น
– Monday Brief 10 นาที
– Random Lunch
– Mini club (อ่านหนังสือ, ดูหนัง, เล่นบอร์ดเกม, ร้องคาราโอเกะ หรือกินเหล้า)
ทั้งหมดคือการออกแบบ ‘ความเป็นเพื่อนร่วมชั้น’
แต่ทั้งหมด ต้องอาศัยการสร้าง ‘ความเชื่อใจ’ เพราะหากพยายามเชื่อมสัมพันธ์ โดยแต่ละคนยังไม่รู้จักกันดี รู้สึกเหม็นหน้ากัน อีกทั้งยังไม่มีเป้าหมายในการทำงาน เอาแต่พยายามสร้างกิจกรรมกลุ่ม สุดท้ายทั้งหมดก็เละทั้งความสัมพันธ์และเรื่องงาน
ฉะนั้นอันดับแรกอาจต้องเซ็ตเป้าหมายองค์กร เซตเป้าหมายการทำงานของแต่ละคนให้ลงตัวเสียก่อน มิเช่นนั้น กิจกรรมกลุ่มอาจไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่คิด
อีกเรื่องหนึ่งคือ การจัดระบบ Buddy/ Mentor สำหรับดูแลคนใหม่ ไม่ใช่การสร้างระบบอาวุโส แต่เพื่อดูแลคนใหม่ ให้เข้าที่เข้าทางกับงานได้มากขึ้น ให้สนิทสนมกับทีมได้เร็วขึ้น
และสุดท้าย หากโรงเรียนมี ‘บอร์ด’ ออฟฟิศก็ควรมี ‘บอร์ด’ ไว้สำหรับฟีดแบ็ก อาจเป็นที่แปะโพสต์อิต ให้ความเห็นของทุกคนได้ขึ้นกระดาน หรือเป็นกระดานไว้ถ่ายทอดความในใจก็ไม่ว่ากัน แต่นั่นทำให้เห็นว่าออฟฟิศของคุณไม่ได้สักแต่ว่าสั่งอย่างเดียว แต่เสียงทุกเสียงมีความหมายและจะถูกรับฟัง
สุดท้าย ออฟฟิศแบบโรงเรียนมัธยมไม่ใช่เพียงเรื่อง ตกแต่ง แต่คือการสร้างระบบนิเวศของความเป็นเพื่อนร่วมชั้น พื้นที่กระตุ้นการคุย การถกเถียง การดวลไอเดีย และการพักแบบไม่รู้สึกว่า ‘พัก’
เพราะงานที่ดีที่สุดของเรา ไม่ได้เกิดบนโต๊ะทำงาน แต่เกิดตอนที่เราคุยกับใครสักคน แลกเปลี่ยนกับเพื่อน เหมือนที่เคยคุยกันในโรงเรียนมัธยม
Tags: ออฟฟิศ, โรงเรียนมัธยม, ทีม, การทำงาน, WorkTips




